นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 66 ขอบคุณ
พอคำพูดนี้ออกมา แขกคนอื่นก็ดีใจนัก พากันขอบคุณ ต่างคนแยกย้ายกลับไปทานอาหารต่อที่
โต๊ะของตนเอง
พริบตาเดียว ในห้องก็เหลือแค่คนของโรงเตี๊ยม และสองสามีภรรยาโจวกุ้ยหลานและสวีฉางหลินล่ะ
ไป๋ยี่เซวียนกำหมัดคารวะทั้งสองคนอีกครั้ง “ทั้งสองท่านโปรดตามข้ามา”
ระหว่างพูด ก็ทำท่าเชื้อเชิญ
โจวกุ้ยหลานพยักหน้า ลากสวีฉางหลินเดินตามไป
ไป๋ยี่เซวียนหันมามองด้านหลัง พลางเอ่ยปากว่า “พวกเจ้ากลับไปห้องครัว และเหลือสองคนมาเก็บกวาดห้องส่วนตัวให้เรียบร้อย และส่งอาหารชั้นเลิศไปที่ห้องด้านข้าง”
พอได้รับคำสั่งของเขา คนที่ต่างยืนอยู่ก็พากันเริ่มขยับอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ในใจโจวกุ้ยหลานยกระดับไป๋ยี่เซวียนขึ้นอีก
คนคนนี้เก่งจริง อายุน่าจะยี่สิบต้นๆ จัดการเรื่องได้อย่างฉมังคล่องแคล่ว และยังจัดการดูแลโรงเตี๊ยมใหญ่ขนาดนี้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดาเลย!
ระหว่างครุ่นคิด ไป๋ยี่เซวียนได้พาพวกเขาเข้ามายังห้องว่างข้างๆ จากนั้นพอทั้งสองคนนั่งลง ก็ยกมือคารวะทั้งคู่อีกว่า “วันนี้ขอบคุณทั้งสองท่านมากที่ยื่นมือเข้าช่วย ข้าขอเลี้ยงอาหารพวกท่านสักมือแล้วกัน”
โจวกุ้ยหลานยิ้มบอก “เถ้าแก่ไป๋นี่มีราศีรู้จักกาลเทศะ เช่นนั้นพวกเราคงไม่ปฏิเสธแล้วล่ะ เพราะคนจนอย่างพวกเราไม่เคยได้กินอาหารโรงเตี๊ยมอย่างนี้มาก่อนเลยนะ!”
คำพูดนี้ถึงจะเป็นการรับคำ และยังไม่ปิดบังเลยว่าตนนั้นยากจน แต่ท่าทีกลับดูราบเรียบไม่อ่อนด้อย กลับทำให้ไป๋ยี่เซวียนมองนางใหม่อยู่หลายส่วน
ไป๋ยี่เซวียนยิ้มถามว่า “ไม่ทราบว่าพี่ฉางหลินเรียนวรยุทธ์มาจากที่ใดกันรึ ถึงกลับทำเอาพวกเขาพ่ายแพ้ไปเยี่ยงนี้ได้?”
คำพูดนี้ออกมา โจวกุ้ยหลานก็มองสวีฉางหลินอย่างรอคอยเช่นกัน
นางก็อยากรู้มากนะ สามีนางเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ชาวเขาธรรมดาเลย
ดูจากราศีแล้ว คนเหนือคนชัดๆเลย!
สวีฉางหลินมองเห็นสายตาทั้งคู่ ริมฝีปากบางเผยออกว่า “เรียนจากการล่าสัตว์บนเขา”
โจวกุ้ยหลานปากกระตุก ผู้ชายคนนี้ซื่อเกินไปแล้ว เวลานี้คุยโม้หน่อยสิ ทำให้นางเลื่อมใสเขามากขึ้นไม่ได้หรือไง?
แต่ว่านางไม่อยากให้สามีตนมารำคาญใจมากไปกับเรื่องที่ตนเองไม่อยากพูดถึง เลยเปลี่ยนเรื่องไปถามไป๋ยี่เซวียนว่า “เถ้าแก่ไป๋ คนพวกนั้นมันเรื่องอะไรกันน่ะ?”
พูดถึงเรื่องนี้ ต่อให้ไป๋ยี่เซวียนเก็บท่าทีเก่งแค่ไหน เวลานี้ก็สีหน้าเปลี่ยนเช่นกัน “นี่เป็นนักเลงกลุ่มหนึ่ง คงจะเป็นโรงเตี๊ยมไป่เว่ยตรงข้ามส่งมา”
โรงเตี๊ยมไป่เว่ย?
ตอนโจวกุ้ยหลานพึ่งมาก็ได้เห็นแล้ว เหมือนว่าจะเป็นโรงเตี๊ยมสามชั้น ใหญ่กว่าโรงเตี๊ยมของไป๋ยี่เซวียนเสียอีก
“เรื่องนี้ ทำไมท่านถึงสงสัยพวกเขาล่ะ ไม่สงสัยว่าเป็นนักเลงพวกนั้นมาโกงท่านรึ?” โจวกุ้ยหลานถามอีกครั้ง
ยังไงซะคนพวกนี้ก็ไม่เคยพูดถึงโรงเตี๊ยมไป่เว่ยเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แต่จากความหมายของไป๋ยี่เซวียน เขาดูมั่นใจมาก
“นักเลงธรรมดาอย่างมากก็แค่กินไม่จ่ายเงิน เจอพวกเก่งกล้า ก็ไม่กล้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่พวกเขากลับแสดงท่าทีชัดเจนว่า ตั้งใจมาปลดป้ายโรงเตี๊ยมของข้า มันพอๆกับจะพังโรงเตี๊ยมของข้าแล้ว นักเลงธรรมดาจะไม่ทำเรื่องให้ใหญ่โตแบบนี้”
พูดอย่างมีหลักการนัก
โจวกุ้ยหลานรู้สึกเห็นด้วย พ่อครัวรวมพนักงานของโรงเตี๊ยมนี้ก็มีไม่น้อยเลย ไม่กลัวพวกเขาที่มากันสิบคนแปดคนหรอก
“เดือนนี้เมืองมีจัดการคัดเลือกโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งของเมือง ต้องแข่งกันด้วยอาหารสามอย่าง พวกเราทางนี้กำลังเตรียมตัวกันเลย นี่ก็มีคนมาก่อกวนทุกสองวันสามวัน ลูกค้าเลยลดน้อยลงไป”
ไป๋ยี่เซวียนพูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงเริ่มไม่ดีแล้ว
ในการทำการค้า คนทำสายเดียวกันถือเป็นคู่แข่ง เรื่องลอบแทงข้างหลังแบบนี้มีไม่น้อยเลย แต่มาก่อเรื่องอย่างพวกเขานี่กลับหาได้ยากนัก
“นี่คืออยากให้พวกท่านทำการค้าไม่ได้?” โจวกุ้ยหลานถามอีกครั้ง
ถ้าเป็นการประลองทำอาหาร หาคนมาก่อกวนแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์นี่นา สู้มาซื้อตัวพ่อครัว ขโมยสูตรอาหารพวกเขาไม่ได้
แน่นอน นี่เป็นความคิดของนาง
ไป๋ยี่เซวียนเม้มปากบอก “รายได้คือยอดขาย ถ้าทำยอดขายได้ถึง พวกเราถึงจะสามารถส่งพ่อครัวไปแข่งขันได้”
“แบบนี้นี่เอง…”
โจวกุ้ยหลานพึมพำออกมา ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นนี่ก็เป็นอัพระดับตนที่ง่ายที่สุดละ โรงเตี๊ยมเล็กๆพวกนั้นก็โดนกีดกันอยู่รอบนอกของการแข่งขันละ พวกโรงเตี๊ยมใหญ่นี่ถึงจะเข้าร่วมได้ แบบนี้ยิ่งทำให้ชื่อเสียงมีสิทธิ์แพร่ไปไกลมากขึ้น
ระหว่างพูดกัน พนักงานก็นำอาหารเข้าห้องมา ไป๋ยี่เซวียนเชื้อเชิญให้พวกเขาทาน
โจวกุ้ยหลานมองแล้วถึงรู้สึกว่าสมบูรณ์จริง มีทั้งหมูสามชั้นตุ๋น ปลาแมนดารินราดน้ำแดง
แค่ดูวัตถุดิบก็รู้แล้วว่า ไป๋ยี่เซวียนลงทุนเงินมหาศาลเลี้ยงข้าวมื้อนี้กับพวกตนจริงๆ แต่เป้าหมายของนางวันนี้คือลองชิมรสชาติให้ดี
ระหว่างคิด นางยื่นตะเกียบออกไปคีบปลาแมนดารินราดน้ำแดงนั่น สุดท้ายสวีฉางหลินไวกว่านางหนึ่งก้าว เขาคีบเนื้อช่วงท้องของปลามาวางลงในจานตนเอง
ผู้ชายคนนี้กินเป็นจริงๆ ก้างปลาตรงส่วนท้องน่ะน้อยที่สุด เนื้อก็มีรสชาติอร่อยเลิศด้วย
แต่เป็นสามีตนเอง นางก็ไม่แย่งหรอก เลยหันไปคีบเนื้อส่วนอื่นแทน
ที่พึ่งสำคัญของทางนี้ หลังจากนางมาแล้วก็ได้กินเนื้อไม่น้อยเลย แต่ยังไม่เคยได้กินปลาเลยนะ ตอนนี้ก็อยากกินมากแล้วล่ะ
พึ่งจะคีบชิ้นหนึ่งลงในชามตนเอง ด้านข้างก็มีมือหนึ่งยื่นมาคีบเนื้อในจานนางไป
แย่งของกินข้าประดุจฉีกเลือดเนื้อข้า!
โจวกุ้ยหลานหันมองสวีฉางหลินที่แย่งอาหารนางอย่างโกรธจัด และได้เห็นสวีฉางหลินยื่นชามตนมาทางนางด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นก็หยิบตะเกียบมาคีบก้างปลาในชามนั้นของนางออก
“เจ้าทำอะไรน่ะ?”
โจวกุ้ยหลานทนไม่ไหวถาม
สวีฉางหลินตอบไม่เงยหน้าเลยสักนิดว่า “เดี๋ยวก้างติดคอ”
ดังนั้นเขากำลังคีบก้างปลาให้นาง?
โจวกุ้ยหลานตื้นตันใจมาก ถ้าไม่ใช่มีไป๋ยี่เซวียนอยู่ที่นี่ นางต้องกระโดดกอดเขาสักฟอดแน่
ชายหยาบกร้านนี่ ทำไมเอาใจใส่ขนาดนี้นะ?
ชายหยาบกร้านสวีฉางหลินไม่รู้ความรู้สึกเมียตนเลยสักนิด เขาคีบก้างปลาออกจากชิ้นเนื้อในชามหมดแล้ว และคีบเนื้อปลามาใส่ชามโจวกุ้ยหลาน จากนั้นหยิบตะเกียบไปคีบเนื้อปลาแมนดารินชิ้นนั้น
โจวกุ้ยหลานคีบเนื้อปลาในชามตนเข้าปาก เคี้ยวกร้วมๆขึ้นมา
เนื้อปลาสดมาก เห็นได้ชัดว่าฝีมือพ่อครัวไม่เลวเลย เพียงแต่ว่าขาดกลิ่นหอมไป นั่นไง อาหารนี่ขาดเสน่ห์เฉพาะตัว
“เถ้าแก่ไป๋ ท่านก็ลองชิมเนื้อปลานี้ดู” โจวกุ้ยหลานเงยหน้าขึ้นพูดกับไป๋ยี่เซวียน
“ไม่ต้องดอก พวกท่านทานเถิด” ไป๋ยี่เซวียนยิ้มบอก
ในฐานะเถ้าแก่โรงเตี๊ยม ย่อมได้กินอาหารพวกนี้เป็นประจำอยู่แล้ว และสองสามีภรรยาคู่นี้ยากจนนัก สมควรให้พวกเขาทานให้เอร็ดอร่อย
เพียงแต่สองสามีภรรยาคู่นี้แปลกยิ่งนัก คนที่มาโรงเตี๊ยมของเขาล้วนเป็นภรรยาคอยดูแลสามี พวกเขากลับตรงกันข้าม
สวีฉางหลินคอยคีบก้างออกให้ หางตาเหลือบมองเมียตน ดูว่านางอยากกินอะไร ถ้าไม่สะดวกยังไง เขาจะเข้าช่วยแน่
เมื่อครู่เขาเห็นเมียตนน้ำลายไหลกับปลาจานนั้น เขากลัวก้างติดคอนาง
โจวกุ้ยหลานที่กินปลาแล้วชิมอาหารจนครบทุกจาน ในใจก็พอเข้าใจละ ถึงวางตะเกียบลง วางมือบนมือสวีฉางหลินที่คีบก้างปลาออกให้ พลางบอกเขา “ข้ากินอิ่มแล้ว เจ้ากินเองบ้างเถอะ”