นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 71 ใครให้ท่านรักแต่ลูกชายไม่สนใจลูกสาวกัน
สวีฉางหลินเห็นอย่างนั้น ก็กลับมานั่งที่ตน ไม่ต่างอะไรกับก่อนหน้านี้เลย
พวกเขาพึ่งนั่งลงเรียบร้อย ไป๋ยี่เซวียนก็เดินเข้ามา ในมือยังถือถุงเงินถุงหนึ่ง เห็นทั้งคู่ยังนั่งเหมือนตอนที่เขาออกไป ในใจก็ชื่นชมทั้งคู่มากขึ้นหลายส่วน
“ท่านทั้งสอง นี่คือห้าร้อยตำลึง รบกวนนับด้วย” เขายังคงมีรอยยิ้มสุภาพบนใบหน้าอยู่ และพูดกับทั้งสองคน
โจวกุ้ยหลานยิ้มรับ “ขอบคุณเถ้าแก่ไป๋”
และลุกขึ้น เดินมายืนหน้าไป๋ยี่เซวียน รับถุงเงินจากมือเขา พลางหันไปยื่นให้สวีฉางหลินว่า “ท่านพี่ เจ้านับดูสิ”
สวีฉางหลินรับมาชั่งดู ในใจก็รู้ละ และพยักหน้าให้โจวกุ้ยหลาน
ไป๋ยี่เซวียนที่อยู่ข้างๆเห็นการกระทำของพวกเขา เขายังคงยิ้มอย่างสุภาพ
พอรู้ว่าไม่มีปัญหา โจวกุ้ยหลานยิ้มบอก “เถ้าแก่ไป๋ ข้าไม่รู้หนังสือ ดังนั้นเลยไม่สามารถเขียนสูตรให้ท่านได้ เช่นนั้นข้าพูด ท่านจดดีหรือไม่?”
นี่มันยุคอะไรนางก็ไม่รู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวหนังสือในยุคนี้ด้วย
ไป๋ยี่เซวียนชะงักกึกราวกับไม่คิดว่า สามีภรรยาคู่ที่ดูไม่ธรรมดาคู่นี้กลับไม่รู้หนังสือ แต่ก็แค่แวบเดียว เขาก็สงบจิตใจตนเอง ให้คนตระเตรียมพู่กันหมึกกระดาษให้โจวกุ้ยหลานพูด เขาเขียน แต่ยิ่งเขียน เขาก็ยิ่งตกใจ รอจนเขียนเสร็จ เขามองตัวหนังสือในสูตรอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
“นี่มัน…เป็นตัวยาทั้งหมดรึ?”
“เป็นตัวยา แต่ก็เป็นเครื่องปรุงรส ใช้สิ่งเหล่านี้ทำอาหารไม่มีปัญหาใดๆดอก หากมิเชื่อ ก็สามารถไปสอบถามดูกับท่านหมอที่เชื่อใจได้” โจวกุ้ยหลานอธิบาย
สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องหอมที่คนปัจจุบันใช้มาตลอด ต้องไม่มีปัญหาแน่
ไป๋ยี่เซวียนพยักหน้า เก็บสูตรไว้ในอกเสื้อตน คิดๆว่าต้องหาคนไปลองดู
แน่นอนว่าคำพูดพวกนี้เขาไม่ได้พูดออกมา เพียงแต่ตอนที่ส่งทั้งคู่ออกจากโรงเตี๊ยม ทำราวกับว่าไม่ตั้งใจเอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่รู้ต่อไปจะไปหาทั้งสองท่านได้ที่ไหน?”
“พวกเราเป็นคนของหมู่บ้านต้าสือ ต่อไปท่านไปหมู่บ้านต้าสือหาพวกเราได้ แต่ต่อไปพวกข้าคงเข้าเมืองบ่อยขึ้น ยังต้องเอาของป่ามาขายเถ้าแก่อีกนะ” โจวกุ้ยหลานยิ้มบอก
สามารถทำการค้านี้ได้สำเร็จ นางอารมณ์ดีมาก ต่อให้รู้ว่าตอนนี้ไป๋ยี่เซวียนกำลังใช้คำพูดเลียบเคียงถามนาง นางก็ไม่สนใจ
จะว่าไปมันก็เป็นเรื่องปกติของคน ถ้าของสิ่งนี้ไม่ปลอดภัยจริงๆ เขาก็ต้องเผื่อไว้ก่อน แน่นอน นางรู้ว่ามันปลอดภัยมาก
ไป๋ยี่เซวียนเห็นอย่างนั้น และคารวะพวกเขา มองดูทั้งคู่จากไป
ทั้งคู่ที่มีเงินมากมายอยู่ในตัวไม่กล้าเดินเล่นอีก รีบก้าวเดินเข้าไปยังร้านเสื้อผ้านั้นซื้อชุดบุรุษที่นางถูกใจก่อนหน้านี้แล้ว พอเดินมาถึงปากทางเข้าเมือง นั่งรอบนรถเทียมวัวของเหล่าหม่าโถว ไม่นาน รถก็นั่งเต็มไปด้วยสตรีที่มาซื้อของในเมือง
พวกนางดูหวาดกลัวสวีฉางหลินไม่น้อย และนั่งห่างไกลออกไป บางครั้งก็จะคุยกับโจวกุ้ยหลานบ้าง
รอจนกลับถึงหมู่บ้านต้าสือ โจวกุ้ยหลานกับสวีฉางหลินไปบ้านโจวพร้อมกัน
พอเข้าไป เจ้าก้อนน้อยก็พุ่งออกมาจากในห้อง กอดขาโจวกุ้ยหลานหมับ
ได้รับการต้อนรับที่เร่าร้อนขนาดนี้ โจวกุ้ยหลานอุ้มเสี่ยวไหน่เปาขึ้นมาอย่างดีใจ
เดินเข้ามาในห้อง และได้เห็นอาสะใภ้ชุ่ยฮวานั่งอยู่บนตั่งของโจวเหล่าไท่ไท่ “นี่เป็นคู่สร้างคู่สมเลยนะ เจ้าลองคิดดูดีๆเถิด”
“อาสะใภ้ชุ่ยฮวา?” โจวกุ้ยหลานพอเห็นคนก็เรียกออกมา
“อ้อ กุ้ยหลานกลับมาแล้ว?” อาสะใภ้ชุ่ยฮวารับคำ สายตาที่มองเลยไปยังสวีฉางหลินมีแววกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
โจวเหล่าไท่ไท่มองเห็นทั้งคู่ “กลับมาแล้วรึ?”
“อืม”
โจวกุ้ยหลานรับคำ สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆก็ทักทายเหล่าไท่ไท่ จากนั้นก้าวเท้าออกจากห้องไป
“ข้าว่าเจ้าลองคิดดูดีๆ ต้าไห่ของเจ้าน่ะอายุไม่น้อยแล้ว ขืนรอต่อไป จะแก่แล้วนะ บ้านข้ายังมีเรื่อง ข้ากลับก่อนนะ”
อาสะใภ้ชุ่ยฮวาพูดจบ ก็เหยียบตั่งลงมา ใส่รองเท้า
โจวกุ้ยหลานและโจวเหล่าไท่ไท่ก็ลงมา ส่งนางออกไป
ตอนกลับมา ทั้งคู่นั่งลง โจวกุ้ยหลานหยิบน้ำตาลในห่อผ้าตนเองออกมาใส่ปากเจ้าก้อนน้อย เจ้าก้อนน้อยนั่งกินอย่างเงียบๆด้านข้าง
“แม่ อาสะใภ้ชุ่ยฮวามาเป็นแม่สื่อให้พี่ชายข้ารึ?”
“บอกว่าเป็นแม่นางจากอีกหมู่บ้านหนึ่ง ไม่เลวเลย อายุได้แล้ว อยากหาคนที่เหมาะสมให้กับนาง พี่ชายเจ้าเหมาะสมพอดี”
เหล่าไท่ไท่พูด พลางหยิบเข็มกับด้ายมาเย็บพื้นรองเท้า
“นิสัยเป็นอย่างไร?” โจวกุ้ยหลานถามขึ้นมา
ที่บ้านมีผู้ชายคนเดียวคือพี่ชายนางที่รอแต่งเมีย ถ้าไม่ดี ต่อไปเหล่าไท่ไท่ไม่มีทางเป็นสุขละ
“ได้ยินอาสะใภ้ชุ่ยฮวาของเจ้าบอกว่าดีนะ ทำงานได้ งานในบ้านนอกบ้านทำได้หมด แต่บ้านเราพึ่งแต่งเจ้าออกไป ก็ไม่มีเงินมากนัก จะแต่งงานต้องใช้เงิน บ้านเราไม่มีมากขนาดนั้น ข้ากำลังเครียดอยู่เลย”
เหล่าไท่ไท่พูด พลางหยิบเข็มมาวัดดูที่หนัง ก่อนจะเย็บพื้นรองเท้าต่อไป
“ตอนเช้าข้าก็อยากบอกเจ้าเรื่องนี้แล้ว แต่พวกเจ้ารีบร้อนเข้าเมือง ข้าก็คิดอยู่ว่า เจ้ายังมีเงินอีกไหม ถ้ามี ก็ขอยืมมาให้พี่ชายเจ้าแต่งงานก่อน ต่อไปค่อยคืนเจ้า แล้วพี่สาวสองคนของเจ้าน่ะ ข้าก็ให้คนส่งจดหมายไปละ เผื่อจะขอยืมได้มากน้อยแค่ไหน”
พูดถึงเงิน เหล่าไท่ไท่ที่เก่งกาจมาตลอดก็เครียดเหมือนกัน
โจวกุ้ยหลานคิดๆก่อนพูด “ในบ้านยังพอมีเงินอยู่ เดี๋ยวข้ากลับไปคุยกับสวีฉางหลินก่อน แม่ จะแต่งเมียต้องใช้เงินเท่าไหร่กัน?”
“ต้องดูว่าฝ่ายหญิงจะเอาอย่างไร ปกติแล้วมีหลายตำลึงก็พอแล้ว” เหล่าไท่ไท่ฟังออกความหมายในคำพูดของโจวกุ้ยหลาน ก็ถอนหายใจโล่งอก
ดูท่า เนื้อทรายที่พวกเขาแบกไปขายในเมืองจะได้ราคาดี
โชคดีที่ลูกเขยตนเก่งนะเนี่ย!
หลายตำลึงหรอ….
โจวกุ้ยหลานเองก็ถอนหายใจโล่งอก งั้นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ละ
แต่ถ้าไม่ใช่เพราะตอนเช้านางหาได้มาห้าร้อยตำลึง ตอนนี้ก็ไม่มีจริงๆ
ยุคนี้มันจนมากเกินไปแล้ว
“ได้ ข้ากลับไปคุยกับสวีฉางหลินดู ยังไงก็ไม่ยอมให้พี่ชายแต่งเมียไม่ได้หรอก” โจวกุ้ยหลานพูดยิ้มๆ
มือเหล่าไท่ไท่หยุดชะงักกึก หันมาจ้องโจวกุ้ยหลานตาเขม็ง “นังหนูนี่ เจ้ามีเงินมากใช่ไหม?”
ไม่อย่างนั้น นังหนูนี่ได้ยินคำว่าหลายตำลึงจะมีท่าทีสบายแบบนี้ได้หรือ?
“ต่อให้มีก็บอกท่านไม่ได้หรอก แม่ ข้าน่ะเป็นลูกสาวที่แต่งออกไปแล้ว เป็นน้ำที่สาดออกไปแล้วนะ” โจวกุ้ยหลานก็ไม่ใช่ย่อย รับคำตอบทันที
ถึงนางจะมีเงินเก็บแล้ว แต่กิจการเพาะพันธุ์ของนางยังไม่สำเร็จเลย ต่อไปมีอีกหลายจุดต้องใช้เงินนะ ก็ไม่สามารถเอามาเติมเต็มบ้านได้หมดสิ
ในด้านนี้นางคิดตกแล้ว ขอเพียงนางมีข้าวกิน นางก็ไม่มีทางให้เหล่าไท่ไท่หิวแน่ แต่ถ้าจะให้นางบอกเหล่าไท่ไท่ว่านางมีเงินเท่าไหร่ เหล่าไท่ไท่ก็จะบีบให้นางเอาเงินออกมา และไม่ให้พี่ชายนางคืนนางด้วย
คำพูดนี้ทำเอาเหล่าไท่ไท่โกรธจนหัวเราะ “ทำไม ยังกลัวข้าแย่งเงินเจ้ารึ?”
“ก็กลัวนี่ ใครให้ท่านรักแต่ลูกชายไม่สนใจลูกสาวกัน….” โจวกุ้ยหลานแอบบ่นพึมพำ แต่ไม่กล้าให้เหล่าไท่ไท่ได้ยิน