นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 88 แม่ช่วยเจ้า
ก่อนหน้านี้ต้องไปแบกน้ำมาดื่ม และเอาเสื้อผ้าเดินไปซักที่แม่น้ำเชิงเขา ตอนนี้ที่บ้านมีบ่อน้ำของตัวเองแล้ว โจวกุ้ยหลานก็ขี้เกียจไปซักผ้าที่ลำธารอีก
ข้างลำธารเป็นสถานที่แห่งการก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท เป็นที่ไว้ซุบซิบนินทาเรื่องชาวบ้าน พวกป้าๆ น้าๆ คุยกันสนุกสนาน นางก็ไม่อยากมีส่วนร่วม
หลังจากซักเสื้อผ้าแล้วก็นำมาตากบนกิ่งไม้
ตอนนี้อุณหภูมิลดลงแล้ว น่าจะประมาณยี่สิบองศา หลังจากฝนตกอีกหลายครั้งคงจะเข้าหน้าหนาว บ้านนี้มีเพียงผ้าห่มบางๆ สองผืน และผ้านวมสองผืนเท่านั้น
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปถึงหน้าหนาวคงหนาวน่าดู
ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับฤดูหนาวก่อนที่อากาศจะหนาว…
คิดแล้วนางก็กลับไปที่ห้องทิศเหนือ หยิบผ้าห่มในห้องเจ้าก้อนน้อยออกมาวางบนกองไม้ในสวนผักข้างๆ ให้มันไม่ชื้น
เป็นผ้าห่มนวมที่เหล่าไท่ไท่เพิ่งทำให้เมื่อไม่นานมานี้ แต่ละผืนมีฝ้ายเพียงสามหรือสี่จินเท่านั้น ตอนนี้ยังใช้ได้ แต่อีกไม่นานก็ใช้ไม่ได้แล้ว
โจวกุ้ยหลานคิดถึงเรื่องนี้อยู่ แล้วก็ตัดสินใจจะไปซื้อฝ้ายและผ้าในตำบลหลังจากทำผักเสร็จ
ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ นางก็ได้ยินคนเรียกนางอยู่ข้างนอก “กุ้ยหลาน! เจ้าอยู่บ้านหรือเปล่า”
โจวกุ้ยหลานชะงักไป นั่นเสียงแม่ของนางไม่ใช่เหรอ
นางตอบกลับเสียงดัง “อยู่ ข้ามาแล้ว”
พูดจบนางก็ตบผ้าห่มนวมอีกสองสามครั้งก่อนจะออกจากแปลงผักแล้วรีบกลับเข้าบ้าน
เหล่าไท่ไท่ยืนอยู่หน้าประตูบ้าน เมื่อเห็นนางมาต้อนรับจึงดึงนางเข้าบ้าน
“เจ้าไปเอาของมาเร็ว เราต้องรีบไปเยี่ยมชิวเซียงกับป้าใหญ่ของเจ้า”
โจวกุ้ยหลานนึกถึงผักพวกนั้นในบ้าน กลัวว่าเหล่าไท่ไท่จะเห็นมัน จึงรีบดึงเหล่าไท่ไท่ “ท่านแม่ข้ารู้แล้ว ให้ข้าไปทำงานข้างนอกก่อนแล้วข้าค่อยไป”
“เจ้ายังมีงานอะไรที่ทำไม่เสร็จ แม่ช่วยเจ้าทำเอง” เหล่าไท่ไท่ปล่อยโจวกุ้ยหลาน ยืดแขนออกเริ่มพับแขนเสื้อเตรียมจะทำงาน
โจวกุ้ยหลานรีบห้ามนาง “ไม่เป็นไรท่านแม่ แม่นั่งพักข้างนอกก่อนครู่หนึ่ง ข้าจะกลับบ้านไปเก็บกวาดสักหน่อย เดี๋ยวออกมาเลย!”
“ยัยเด็กนี่พูดอะไรน่ะ สรุปว่ามีงานหรือไม่มีงาน”
เหล่าไท่ไท่งุนงง
โจวกุ้ยหลานโบกมือ “แม่มีงานก็ต้องไว้ทีหลังนี้ แต่ข้าจะเข้าไปเก็บกวาดก่อน ท่านแม่รอข้าข้างนอกนะ!”
พูดจบนางก็เดินผ่านเหล่าไท่ไท่รีบเดินก้าวยาวเข้าไปในบ้าน
ข้างนอกจะมีงานอะไรที่ไหนเลย ก็แค่ห้ามเหล่าไท่ไท่ไว้ นางต้องเอาผักใบที่เน่าเสียออกให้หมดก่อนที่เหล่าไท่ไท่จะเข้ามา ไม่อย่างนั้นหากเหล่าไท่ไท่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่
“ยัยเด็กคนนี้นี่เจ้าบอกข้าก็ได้ว่าไม่อยากให้ข้าเข้าบ้าน อะไรกัน ข้าเป็นแม่เจ้านะข้าเข้าบ้านเจ้าไม่ได้แล้วเหรอ” เหล่าไท่ไท่พูดอยู่ข้างนอก และเท้าก็ก้าวข้ามธรณีประตู
บ้านของลูกสาวตัวเองทำไมนางเข้าไม่ได้ ยัยเด็กคนนี้หาข้ออ้างน่ะสิ!
ทันทีที่เข้าไปก็เห็นโจวกุ้ยหลานกำลังแบกถังใบใหญ่ นางแปลกใจจึงก้าวเข้าไปหา “เจ้าจะถือถังไปทำอะไร”
โจวกุ้ยหลานตกใจ ในสมองมีแค่สี่คำ “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว…”
“เปล่า ข้าว่าจะทำผักดอง…” โจวกุ้ยหลานยังพยายามกลบเกลื่อน
เหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้ว รีบเดินเข้าไปหา เห็นผักกาดขาวเน่าในมือของเจ้าก้อนน้อย เช่นเดียวกับผักเหล่านั้นในมือของโจวกุ้ยหลาน แล้วหัวใจก็พลันเต้นแรง
“นี่มันถูกทำลายเสียหายไม่ใช่เหรอ”
ผักทั้งหมดนี่ เหล่าไท่ไท่ปวดใจ!
โจวกุ้ยหลานรู้ดีว่าปกคลุมเหล่าไท่ไท่ไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยให้เป็นไปตามกรรมแล้วกัน จึงวางถังใบใหญ่ที่ใส่ผักกาดขาวลงบนพื้น
เจ้าก้อนน้อยที่อยู่ข้างๆ กลัวเหล่าไท่ไท่จะรังแกแม่ของเขา จึงรีบลุกขึ้นทักทายอย่างน่ารัก “สวัสดีคุณท่านยาย”
เหล่าไท่ไท่ตอบ “อืม” จากนั้นก็หันไปมองหน้าโจวกุ้ยหลาน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น หมูป่าเข้าที่แปลงผักของเจ้าเหรอ”
โจวกุ้ยหลานหุบปากไม่พูด
นี่หมายความว่ายอมรับโดยปริยาย เหล่าไท่ไท่ก็ปวดใจยิ่งกว่าเดิมแล้ว “เจ้านะเจ้า… ไม่คลุมแปลงผักให้ดี หมูป่าเลยมาหยียผักหมด พวกเจ้าไม่มีผักกินแล้วจะอยู่ยังไง”
พูดจบนางก็ก้มหน้าลงไปหยิบใบผักเน่า แล้วก็ปวดใจอีกรอบ
ขาดแคลนอาหารเมื่อหลายปีก่อน ช่วงนี้เพิ่งจะดีขึ้นหน่อย ทำไมกลายเป็นแบบนี้
ยัยเด็กนี่ดำรงชีวิตไม่เป็นจริงๆ! ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายก็ไม่ว่าแล้ว แม้แต่ผักก็ดูแลไม่ได้!
ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ นางอดไม่ได้ที่จะด่า “ข้าคิดว่าเจ้ามีชีวิตที่ดีมาไม่ได้นาน ก็ไม่รู้เลยว่าเสบียงอาหารล้ำค่า! ผักดีๆ ถูกทำลายเสียหายหมด เจ้าทำให้ข้าโกรธจะตายแล้วนะ!”
เมื่อเห็นนางโกรธจริงๆ โจวกุ้ยหลานก็ไม่กล้าที่จะยั่วโมโหนางอีก ได้แต่พูดว่า “ท่านแม่ สำหรับเรื่องนี้ความผิดไม่ได้อยู่กับข้านะ มีคนจงใจทำลายมัน”
“อะไรนะ คนชั่วช้าคนไหนมาทำลายแปลงผักของเจ้าเหรอ” เหล่าไท่ไท่ดวงตาเบิกกว้างถามอย่างโกรธจัด
โจวกุ้ยหลานไม่ได้ปฏิเสธอีก เดินเข้าไปด้วยหลายก้าวไปจับแขนเหล่าไท่ไท่และบอกนางว่า “ท่านแม่ลดเสียงลงหน่อย เมื่อคืนสวีฉางหลินไม่ได้นอนทั้งคืนเลย ตอนนี้กำลังนอนพักอยู่”
เหล่าไท่ไท่กวาดตาเล็กมองและไม่เห็นลูกเขยจริงๆ คิดว่าสิ่งที่ลูกสาวน้อยตนเองพูดเป็นความจริง จึงได้แต่พยายามข่มอารมณ์ตัวเอง แล้วไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโจวกุ้ยหลานอย่างโมโห
“คราวนี้น้องสาวเจ้าถูกงูพิษกัด ป้าใหญ่ของเจ้าก็เอวยอกนอนติดเตียง เจ้าเอาของมามากหน่อย ไม่ให้ใครมาหาเรื่องจับผิดเอาได้”
หลี่ซิ่วยิงเอวยอกเหรอ
สวีฉางหลินไม่เห็นบอกเลย
โจวกุ้ยหลานแปลกใจ แต่ก็ได้ตอบคำ นางถือตะกร้าเข้าไปใส่ไข่มาสามสิบฟอง และใส่แป้งสองจิน
ให้เหล่าไท่ไท่ดูเพื่อถามความเห็นเหล่าไท่ไท่ เหล่าไท่ไท่ยืนขึ้นเอ่ยตอบ “ดีมากแล้ว ของเหล่านี้ไม่น้อยแล้ว”
พูดพลางจึงเดินไปข้างนอก โจวกุ้ยกลานรีบตามไป
เจ้าก้อนน้อยลังเลอยู่ แล้วจะพยายามใช้ขาสั้นๆ เดินตามไป แต่เมื่อถูกเหล่าไท่ไท่เห็นจึงหยุดก้าวเดินทันที “เจ้าอยู่บ้านดีๆ อย่าตามมาวุ่นวาย!”
ถูกเหล่าไท่ไท่ตะคอกใส่แบบนี้เจ้าก้อนน้อยก็กลัวจนไม่กล้าขยับ
ตอนนี้โจวกุ้ยหลานไม่สามารถพูดกับเหล่าไท่ไท่ต่อหน้าเจ้าก้อนน้อยได้ จึงได้แต่กระซิบปลอบโยน “เสี่ยวเทียนอยู่บ้านช่วยเลือกผักให้แม่นะ เดี๋ยวแม่ก็กลับแล้ว”
เมื่อถูกปลอบเช่นนี้เจ้าก้อนน้อยจึงพยักหน้าหนัก ยิ้มจนเห็นฟัน ก่อนจะกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เด็ดผักต่อไป
เหล่าไท่ไท่ที่กำลังหงุดหงิดนั้นไม่สนใจเจ้าก้อนน้อย นางก้าวขามุ่งหน้าเดินไป โจวกุ้ยหลานไม่มีทางเลือกนอกจากตามไป
ทางลงจากภูเขาเดินยาก แต่ช่วงนี้มีการไปๆ กลับๆ บ่อยครั้ง โจวกุ้ยหลานก็เคยชินแล้ว และเดินลงไปตามเส้นทางเล็กๆ
ระหว่างทาง โจวกุ้ยหลานเล่าเรื่องแปลงผักของตัวเองที่ถูกคนทำลาย
ทันทีที่เหล่าไท่ไท่ได้ยินก็ยิ่งโมโห “คนพวกนี้สมควรตาย จิตใจมืดบอดนัก กล้ามาทำลายกับแปลงผักของเจ้า!”
“แช่งให้ลูกมึงเกิดมาไม่มีรูก้นจริงๆ ทำไมฟ้าไม่ผ่าลงมาฆ่าไอ้เวรนั่น ไอ้คนหน้าไม่อาย”
โจวกุ้ยหลานฟังแล้วเหงื่อตก เหล่าไท่ไท่สรรหาคำด่าคนมาไม่ซ้ำเลย แถมยังเป็นการด่าลับหลังด้วย ถ้าเป็นต่อหน้าคงน่ากลัวพิลึก…