นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 176 พวกเขารังแกเจ้าหรือ?
ครั้นนางตอบรับแล้ว เหล่าไท่ไท่ก็เอะอะมะเทิ่ง “ห้าตำลึง เอาไม่เอาก็ตามใจ ไม่อย่างนั้นก็พาลูกเจ้าไปเถอะ!”
นางตะเบ็งเสียงออกมาอย่างนี้ คนอื่นๆ จึงหยุดแล้วเขาไปดู
หลิวฝูตะลึงงัน เมื่อครู่ไม่ใช่บอกว่าแปดตำลึงหรือ ทำไมจึงกลายเป็นห้าตำลึงไปเสียเล่า?
“แปดตำลึง ห้ามขาดแม้แต่แดงเดียว!” หลิวฝูพลันเอ่ย
หลิวเซียงใบหน้าสิ้นหวังอยู่ข้างๆ ยามนี้นางถูกคนต่อรองราคาราวกับเนื้อหมูชิ้นหนึ่ง แล้วยังต่อหน้าคนสองหมู่บ้านอีก
แต่นางก็ยังเปี่ยมด้วยความหวัง หวังว่าตระกูลโจวจะพยายามอีกหน่อย หรือไม่ก็ใช้เงินแปดตำลึงซื้อตัวนาง…
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เอาตัวลูกสาวกรอบทองของเจ้าคนนี้กลับไปเถอะ จริงสิ คืนไข่ไก่กับอาหารข้ามาด้วย นางอยู่บ้านข้าตั้งหลายวัน รวมแล้วให้ข้าสิบอีแปะก็พอ” เหล่าไท่ไท่เท้าเอวตะคอกกับหลิวฝู
“เจ้า! ยังจะเอาเงินอีก?”
“ไม่เอาเงินแล้วจะอย่างไร? นางเป็นลูกข้าหรือ? ทำไมข้าต้องเลี้ยงดูนางด้วย? เอาของกับเงินมาคืนข้าเร็วเลย ไม่พกของมาด้วยก็คิดเป็นเงินให้ข้า!”
เหล่าไท่ไท่ไม่ยอมถอย ใบหน้าปราศจากอารมณ์ผิดปกติ
“นั่นสิ หมู่บ้านต้าสือเราทำไมต้องสนใจความเป็นความตายคนหมู่บ้านหลิวพวกเจ้าด้วย?”
“นั่นสิ หมู่บ้านพวกเรายังกินไม่อิ่มเลย!”
“รีบคืนเงินมา!”
คนหมู่บ้านต้าสือรู้สึกว่าตนถูกจึงเอะอะขึ้นมาทันที
เมื่อมีคนจำนวนมากกดดัน หลิวฝูก็เริ่มขาสั่นนิดๆ เขามาต่างหมู่บ้าน ไหนเลยจะต้องพกเงินมาด้วย? อีกอย่าง ถึงจะพกเงิน เขาก็ไม่อยากล้วงออกมาหรอก!
คนหมู่บ้านหลิวเห็นคนหมู่บ้านต้าสือจำนวนมากกำลังตะโกนอยู่ก็พลันร้อนรน “อาฝู ท่านก็คืนเงินพวกเขาไปเถอะ พวกเขาก็พูดถูก พวกเราสมควรจ่ายนะ”
“นั่นสิ แค่ยี่สิบอีแปะ จ่ายแล้วพวกเราจะได้รีบกลับ”
คนหมู่บ้านหลิวที่เหลือทยอยถอยไปอีกฝั่งหนึ่ง คนเยอะแยะอย่างนี้ พวกเขายืนอยู่ตรงกลางไม่ใช่จะหาเรื่องใส่ตัวหรือ?
พอเห็นพวกเขาถอยไปอยู่รวมกัน คนของหมู่บ้านต้าสือก็ยิ่งฮึกเหิมใหญ่ โวยวายทันที “รีบจ่ายเงินสิ!”
“จ่ายเงินแล้วก็รีบไสหัวไปเสีย!”
หลิวฝูขาสั่นพั่บๆ มักรู้สึกว่าคนพวกนี้พร้อมเข้ามาตีได้ทุกเมื่อ
“พี่ฝู ท่านรีบเอาเงินออกมาเร็ว พวกเราจะได้พาตัวหลิวเซียงกลับ!”
“ข้ามีเงินที่ไหนกันเล่า?” หลิวฝูตวาดกับคนเหล่านั้น
คนหมู่บ้านหลิวอึ้งงัน แต่พอคิดดูก็ใช่ พวกเขาก็ไม่พกเงินเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
“พวกเราลองรวมๆ กันดู มีเท่าไรก็เอาออกมาให้หมด กลับไปค่อยไปเอากับพี่ฝู!”
หนึ่งในนั้นเสนอ จากนั้นก็ล้วงเงินของตัวเองจากอก คนอื่นๆ พอได้ยินแล้วก็รีบล้วงด้วย
คนส่วนมากต่างไม่มีเงิน แต่ถึงจะมี นั่นก็เพียงสองสามอีแปะเท่านั้น ล้วงได้แล้วก็ยื่นไปตรงหน้าหลิวฝู
พอหลิวฝูเห็นเงินอีแปะที่ยื่นมาตรงหน้าตัวเองแล้วก็หนังตากระตุก เงินพวกนี้หากเอามาแล้ว กลับไปยังต้องคืนอีก กับอีแค่ตัวสิ้นเปลืองเงินทองเพียงคนเดียว ตอนนี้เขายังต้องควักยี่สิบอีแปะ?
แถมรวมมาแล้วก็แลกได้แค่ที่ดินดินทรายผืนเดียว!
ไม่ได้ จะควักเงินไม่ได้! ไม่อย่างนั้นเขาก็ขาดทุนสิ!
เป็นเพราะเจ้าตัวสิ้นเปลืองเงินทองไม่เชื่อฟัง ถึงกับแอบหนีออกมา ไม่อย่างนั้นจะให้คนอื่นบีบเอาเงินเยอะแยะขนาดนี้ได้อย่างไร?
ถ้าเอาตัวกลับไปแล้วนางหนีไปอีก นั่นเขามิต้องเสียที่ดินนั้นไปอีกหรือ?
ครั้นคิดอย่างนี้ เขาก็ยิ่งรังเกียจเดียดฉันท์หลิวเซียง จึงตัดสินใจพลัน “ขายให้พวกเจ้าห้าตำลึง ข้าจะเอาเงินสด!”
“ได้! อย่างนั้นต้องให้กำนันมาเป็นพยาน พวกเราเขียนกระดาษขาวอักษรดำให้ชัดเจน ข้าจ่ายห้าตำลึง ต่อไปหลิวเซียงจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลหลิวอีก!”
โจวกุ้ยหลานเอ่ยปากรับคำ
เดิมทีนางคิดจะซื้อหลิวเซียงด้วยเงินแปดตำลึง คิดไม่ถึงว่ามารดาของนางจะเก่งกาจปานนี้ ทำจนประหยัดได้ตั้งสามตำลึงแน่ะ
“ได้!”
หลิวฝูรีบรับคำ กลัวว่านางจะพลิกลิ้นลดราคาลงอีก
“หลิวเซียง เจ้ายินยอมหรือไม่?”
โจวกุ้ยหลานไม่สนใจหลิวฝู แต่หันไปถามหลิวเซียง
นี่ถือว่าขายตัวแล้ว แม้นางจะรู้สึกว่าตัวเองช่วยหลิวเซียง แต่ก็ต้องเคารพความคิดเห็นของนางด้วย ไม่เช่นนั้นจะเป็นการบังคับซื้อขาย นางไม่คิดจะหวังดีแต่กลับทำเรื่องเลวทราม
“ยินยอม! ข้ายินยอม!” หลิวเซียงรีบตอบ อาจเป็นเพราะรีบพูดเกินไป ดังนั้นจึงไอแค็กๆ ต่อกันติดๆ
“ได้ อย่างนั้นข้าจะไปตามกำนันมาเขียนหนังสือสัญญาเดี๋ยวนี้” โจวกุ้ยหลานเอ่ยพลางหมุนตัว
แต่กลับมีคนหนุ่มในหมู่บ้านคนหนึ่งโพล่งเอ่ย “ข้าจะไปตามกำนันเอง!”
ว่าแล้วก็วิ่งไป
โจวกุ้ยหลานเห็นดังนั้นจึงไม่ขยับอีก พวกเขายืนรออยู่อย่างนั้น
ครั้นคนจำนวนมากของหมู่บ้านต้าสือเห็นว่าพวกเขาจะทำหนังสือสัญญากัน ก็พากันวิตกกังวล กลัวว่าโจวกุ้ยหลานจะสร้างบ้านไม่ได้ แต่อีกด้านหนึ่งก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน เกรงว่าหากพวกเขาไปแล้วคนหมู่บ้านหลิวจะเล่นลูกไม้อะไรอีก
ขณะพวกสวีฉางหลินกำลังหาบถ่านกลับมา ก็เห็นว่ามีคนมุงอยู่หน้าประตูบ้านตัวเองจำนวนมาก หัวใจพวกเขาพลันรัดแน่น กลัวว่าจะเกิดเรื่อง
สวีฉางหลินเดินปรี่ หาบของวิ่งไปที่ประตูบ้าน ความเร็วนั้นว่องไวยิ่ง ทิ้งคนอื่นอยู่ข้างหลังจนหมด
กระทั่งเข้ามาใกล้แล้ว จึงเห็นแม่ยายของตนบังภรรยาตัวน้อยอยู่ข้างหลัง
“กุ้ยหลาน!”
ครั้นตะเบ็งเสียง เขาก็พุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็วแล้ว มือหนึ่งทิ้งถ่าน อีกมือหนึ่งคว้ามือของโจวกุ้ยหลาน สำรวจมองบนล่าง น้ำเสียงตื่นตระหนก “ไม่บาดเจ็บใช่ไหม? มีคนรังแกเจ้าใช่ไหม?”
“ไม่ ข้าสบายดี แต่คนหมู่บ้านหลิวมาหาเรื่องนะสิ” โจวกุ้ยหลานตอบ จากนั้นก็เท้าความเรื่อง
สวีฉางหลินกลับมาได้นางก็วางใจ ตอนนี้ไม่กลัวจะต้องชกต่อยแล้ว หากก่อนหน้านี้เขาอยู่บ้าน ยังต้องให้นางกับมารดาร้องแรกแหกกระเชออยู่ที่นี่หรือ?
ครั้นได้ยินภรรยาตัวน้อยของตนบอกว่าไม่เป็นไรแล้วจึงเงยหน้า เห็นคนแปลกหน้ายี่สิบกว่าคนยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม และกำลังมองมาทางนี้ในเวลานี้
“พวกเขารังแกเจ้า?” ถึงสวีฉางหลินจะเอ่ยกับภรรยาตน แต่สายตากลับจ้องคนจากหมู่บ้านหลิวยี่สิบกว่าคนทางฝั่งตรงข้ามเขม็ง
คนหมู่บ้านหลิวเหล่านั้นไม่รู้เพราะเหตุใดกลับรู้สึกหวาดกลัวชายที่อยู่ตรงหน้าจากก้นบึ้งหัวใจ พวกเขาถอยหลังอย่างไม่รู้ตัวสองสามก้าว หลายคนยังถึงกับเหยียบเท้าคนด้านหลังด้วย บ้างร้องอุทาน บ้างผลักกัน
“ก็จะมารังแกนั่นแหละ แต่ไม่สำเร็จ” โจวกุ้ยหลานตอบตามความเป็นจริง
ตอนนี้ก็ได้วิธีแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางไม่อยากทำให้เกิดประเด็นอื่นขึ้นมาอีก
แม้นางจะเชื่อมากว่าสวีฉางหลินสามารถระบายอารมณ์แทนนางได้ แต่อีกฝ่ายเป็นชายฉกรรจ์จากหมู่บ้านหลิวยี่สิบกว่าคน นางไม่อยากให้สวีฉางหลินบาดเจ็บ
เมื่อนั้นความเกรี้ยวโกรธในใจของสวีฉางหลินจึงทุเลาลง สำรวจภรรยาของตนอย่างละเอียด พบว่าไม่บาดเจ็บแล้วจึงวางใจลงมาก
แต่พอเหลือบตา กลับเห็นมีดทำครัวในมือนาง ทันใดนั้นก็ร้อนรนอีก ยื่นมือรับมีดจากมือนางมา