“ก็ซุนหงอคงอย่างไรเล่า ตีลังกาทีหนึ่งไปไกลหนึ่งแสนแปดหมื่นลี้” โจวกุ้ยหลานพูดไปเรื่อย
เจ้าก้อนน้อยจ้องโจวกุ้ยหลาน ทำหน้าประหลาดใจ
โจวกุ้ยหลานหยั่งถาม “เจ้ารู้จักซุนหงอคงหรือไม่?”
เจ้าก้อนน้อยส่ายหน้าอย่างงงัน บ่งบอกว่าตนไม่รู้เลยว่านั่นคืออะไร
ที่แท้ที่นี่ก็ไม่มี《ไซอิ๋ว》หรือ? เช่นนั้นก็พอดีเลย นางค่อยๆ เล่าเรื่องได้ กลางคืนก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว
คิดแล้วโจวกุ้ยหลานก็เดินไป อุ้มเจ้าก้อนน้อยขึ้นมาวางให้นั่งอยู่ดีๆ บนเตียงเตา ยิ้มตาหยีเอ่ยกับเขา “อย่างนั้นข้าจะเล่าเรื่องซุนหงอคงให้เจ้าฟัง!”
นางคุ้นเคยกับ《ไซอิ๋ว》ดี เรื่องในนั้นนางดูจากละครโทรทัศน์มาแล้วไม่น้อยกว่าสิบรอบ นิยายก็อ่านมาสองรอบเหมือนกัน
ในห้อง โจวกุ้ยหลานเล่าเรื่อง《ไซอิ๋ว》ให้เจ้าก้อนน้อยฟัง เจ้าก้อนน้อยอ้าปากหวอ ฟังด้วยความตั้งใจ
โจวกุ้ยหลานเห็นปฏิกิริยาเขาอย่างนี้แล้วก็ดีใจมาก เล่าเรื่องอย่างครึ้มอกครึ้มใจ
ล่วงเลยเวลาเข้านอนตามปกติไปแล้ว แต่เจ้าก้อนน้อยยังไม่ง่วงสักนิด โจวกุ้ยหลานจึงตระหนักว่าตนจะเล่าต่อไม่ได้อีก
“เอาล่ะ ที่เหลือพรุ่งนี้ค่อยเล่า พวกเรานอนกันก่อนดีไหม?”
“ท่านแม่ เสี่ยวเทียนไม่ง่วง” เจ้าก้อนน้อยกำลังฟังจนตาตื่น ไหนเลยจะอยากนอน?
โจวกุ้ยหลานอดหาวไม่ได้ “แต่ข้าง่วงแล้ว ถ้านอนไม่เต็มอิ่ม พรุ่งนี้ข้าจะทำงานไม่ได้”
ต่อให้อยากฟังแค่ไหนก็ให้มารดาอดนอนไม่ได้ ดังนั้นเจ้าก้อนน้อยจึงได้แต่หลับตานอนแต่โดยดี
โจวกุ้ยหลานห่มผ้าให้เขาและนอนอยู่ข้างๆ
นิทานก่อนนอนอะไร เจ้าเด็กนี่ยิ่งฟังยิ่งตาตื่นมิใช่หรือ?
โจวกุ้ยหลานคิดอยู่ในใจ จากนั้นจึงค่อยๆ เข้าสู่นิทรา
เช้าวันถัดมาขณะที่นางตื่น เจ้าก้อนน้อยก็รีบตื่นตามนางด้วย “ท่านแม่ จะเล่าเรื่องไหม?”
โจวกุ้ยหลานกุมหน้าผากตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ
แต่ตอนนี้นางยังมีความอดทนอยู่ อธิบายกับเจ้าก้อนน้อย “ข้าต้องตื่นมาทำงาน เอาไว้ตอนกลางคืนก่อนนอนค่อยเล่านิทานให้เสี่ยวเทียนฟังดีหรือไม่?”
เจ้าก้อนน้อยได้ยินก็พยักหน้า จากนั้นจึงหยิบเสื้อผ้าสวมใส่ด้วยตัวเอง
โจวกุ้ยหลานช่วยเขาใส่เสื้อผ้า พาเขาออกไปหวีผมล้างหน้า ขณะเห็นเหล่าไท่ไท่อยู่ที่ห้องโถง ก็พบว่านางทำหน้าขมึงตึง
“ท่านแม่ นี่ท่านเป็นอะไรไปแต่เช้าเนี่ย?” โจวกุ้ยหลานถาม อดหาวไม่ได้
ไอ้หยา วันนี้เหมือนจะตื่นเร็วไปหน่อยนะ
“ยังไม่ใช่เพราะพี่สาวใหญ่เจ้าหรือ? ทำไมข้าถึงมีลูกสาวไม่ได้เรื่องแบบนี้นะ!” เหล่าไท่ไท่หงุดหงิด
ขณะโจวกุ้ยหลานกำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นโจวคายจือเดินออกมาจากห้อง เมื่อเห็นโจวกุ้ยหลาน โจวคายจือก็อีหลักอีเหลื่อนิดๆ
“กุ้ยหลานตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรือ?”
“พี่ก็เช้าเหมือนกัน” โจวกุ้ยหลานทักทาย
ชนบทยุคสมัยนี้ไม่มีความบันเทิงอะไร ดังนั้นจึงหลับแต่หัววันและตื่นเช้ามาด้วย
“นับวันกุ้ยหลานของเราจะสวยมากขึ้นแล้วนะ” โจวคายจือมองโจวกุ้ยหลานผ่านตะเกียงน้ำมัน
โจวกุ้ยหลานยิ้ม ไม่ได้ตอบคำอะไรอีก
ระยะนี้นางพบว่าตัวเองผิวขาวมากขึ้น กินดี ใบหน้าก็มีคอลลาเจนด้วย ดูดีกว่าตอนแรกมากทีเดียว หากยังห่างจากสวยอีกระดับหนึ่ง
“น้องเจ้าหัวดี อยู่ที่ไหนก็ทำให้ตัวเองสุขสบาย ไหนเลยจะเหมือนเจ้า?” เหล่าไท่ไท่พูดกระทบกระเทียบโจวคายจือ
โจวคายจือเงียบ
เห็นอย่างนี้แล้ว เหล่าไท่ไท่ก็รู้สึกแต่รำคาญใจ จึงหมุนตัวจากไป
นางยังไม่ได้เลี้ยงไก่เลย หมูก็ยัง มีงานเยอะแยะ ไม่มีเวลาจะขลุกอยู่กับนาง
โจวกุ้ยหลานเห็นท่าทางของโจวคายจือ นางสนทนาด้วยสองประโยคก็ไปห้องครัวด้วยกัน เมื่อเข้าไปถึงก็พบว่าหลิวเซียงกำลังก่อไฟแล้ว
โจวคายจือเดินไปสองสามเก้า ช่วยนางทำอาหารเช้า โจวกุ้ยหลานหวีผมล้างหน้าให้เจ้าก้อนน้อย หยิบไม้กวาดกวาดบ้าน โจวต้าไห่ก็ตื่นและวิ่งออกไปผ่าฟืนแล้ว
ตอนเช้าพวกเขาทำงาน กระทั่งทำงานเสร็จแล้วจึงกินอาหารด้วยกัน
หลังจากกินเสร็จ โจวคายจือก็ตามไปช่วยงานกับโจวกุ้ยหลาน แต่กลับถูกเหล่าไท่ไท่ห้าม
“เสื้อผ้าในบ้านยังไม่ได้ซักเลย เจ้าซักเสื้อผ้าก่อนเถอะ อยู่เฝ้าบ้าน กลางวันพวกเรายังจะกลับมา”
โจวคายจือย่อมไม่กล้าขัดคำพูดของเหล่าไท่ไท่โดยสมบูรณ์ ได้แต่รับคำด้วยความขลาด
เหล่าไท่ไท่ยกเท้าเดินเร็วจากไป
คนที่เหลือก็รีบตามนางขึ้นเขาด้วย ตลอดทาง ไม่มีใครออกตัวสนทนากับเหล่าไท่ไท่ก่อน อย่าได้แหยมกับเหล่าไท่ไท่ที่กำลังโกรธจัด ต่อให้เป็นโจวกุ้ยหลาน ตอนนี้ก็ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวเหมือนกัน
ขณะอยู่ที่ปากประตูบ้านโจวต้าซาน โจวต้าไห่ก็แยกจากกลุ่มพวกของเหล่าไท่ไท่แล้ว
พวกนางเดินไปข้างหน้าต่อ
วันนี้เหล่าไท่ไท่เดินเร็วมาก คนอื่นๆ ตามกันจนเริ่มเหนื่อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าก้อนน้อย
เจ้าก้อนน้อยย่างขาสั้นๆ ของตัวเอง วิ่งไปข้างหน้าอย่างเปลืองแรง กัดฟันทน โจวกุ้ยหลานเห็นสองขาเล็กๆ ของเขาตามไม่ทันแล้ว จึงไม่ฝืนเขาอีก เอื้อมมืออุ้มเขาขึ้นมาแล้วพยายามตามไป
หลังจากพวกเขาขึ้นเขา เหล่าไท่ไท่ก็ทักทายกับสวีฉางหลิน จากนั้นก็ไปจุดไฟที่เตา
โจวกุ้ยหลานวางเจ้าก้อนน้อยลงพื้น จูงเขาไปอยู่ข้างตัวสวีฉางหลิน นั่งอยู่บนเก้าอี้ โบกมือไม่หยุด
อุ้มเจ้าก้อนน้อยมาไกลขนาดนี้ แถมยังต้องเดินเร็วอีก นางชักจะไม่ค่อยไหว
สวีฉางหลินกินอาหารเช้า เบนสายตาไปที่ตัวโจวกุ้ยหลาน กระซิบถาม “ท่านแม่เป็นอะไรไป?”
“ไม่รู้สิ ตอนนี้กำลังโกรธใหญ่ พวกเราอย่าไปยั่วนางจะดีกว่า” โจวกุ้ยหลานตอบ อุ้มเจ้าก้อนน้อยวางบนเก้าอี้
เจ้าก้อนน้อยใช้มือทุบขาตัวเอง แบบนี้จะได้ไม่ปวดขา
โจวกุ้ยหลานเห็นจึงช่วยเขานวดขาสั้นๆ ด้วย ถามสวีฉางหลิน “กระชุพวกเจ้าพอใช้หรือไม่?”
“เมื่อวานสานอีกสองใบ พอแล้ว”
โจวกุ้ยหลานพยักหน้า ไม่ถามอีก หนึ่งครอบครัวสามชีวิตนั่งพักหนึ่ง รอสวีฉางหลินกินเสร็จแล้ว ทางโจวต้าซานก็มาถึง คนหนุ่มสองสามคนไปเผาถ่าน โจวกุ้ยหลานอยู่กับโจวต้าซาน คุมคนเหล่านั้นที่มาสร้างบ้านใหม่
เหล่าไท่ไท่หมกมุ่นอยู่กับการทำงาน กระทั่งถึงตอนกลางวัน ขณะที่ทุกคนต่างคนต่างกลับไปกินข้าวที่บ้าน โจวต้าซานก็ลงเขากับโจวกุ้ยหลานพวกเขาด้วย
“น้องสะใภ้ คายจือกลับมาแล้วหรือ?” โจวต้าซานถามเหล่าไท่ไท่
“กลับมาแล้ว กลับมาเมื่อคืน ข้าให้นางทำงานอยู่ที่บ้าน เดี๋ยวจะให้นางไปเยี่ยมป้าใหญ่ของนาง” เหล่าไท่ไท่เก็บกดไฟโกรธ ตอบโจวต้าซาน
โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว เมื่อก่อนเหล่าไท่ไท่เกรงใจโจวต้าซานมากนี่ วันนี้อารมณ์บูดแค่ไหนกันถึงได้กล่าววาจาเช่นนี้?
“ไม่เป็นไร ป้าใหญ่นางก็สบายดีไม่ใช่หรือ? หลายวันนี้นางลุกขึ้นนั่งเองได้แล้ว แต่นั่งไม่ได้นาน” โจวต้าซานยิ้มเอ่ย
ครั้นนึกถึงว่าหลี่ซิ่วยิงขยับตัวได้แล้ว เขาก็สบายใจขึ้นไม่น้อย อย่างไรตอนนี้ก็เคลื่อนไหวได้ ต่อไปหาดูแลดีๆ ดีไม่ดีอาจจะหายก็ได้