หาได้ยากที่จะได้หยอกล้อพูดไร้สาระอยู่ตรงหน้าสวีฉางหลิน โจวกุ้ยหลานสบายอารมณ์ กล่าวว่า“พวกเราลงไปด้านล่างภูเขายังยากลำบากขนาดนี้ สรุปนางกลับมายังไง? ท่านคิดดูนะ เหตุใดนางจะต้องพยายามกลับมา? มาหาเยี่ยมเยียนท่านแม่จริงๆนะหรือ? ตลอดปีไม่กลับมาสักครั้งหนึ่ง แต่กลับมาช่วงตรุษจีนที่เดินทางอย่างยากลำบาก?”
ยิ่งพูด โจวกุ้ยหลานยิ่งแปลกประหลาดใจ พี่สาวรองคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ!
สวีฉางหลินพยักหน้า หิมะอยู่บนพื้นเดินทางยากลำบาก อีกอย่างมาจากตำบลถึงชนบทถิ่นเกิดด้วย
“แต่ในตำบลไม่เหมือนชนบทบ้านเรา คนไปๆมาๆ ไม่มีกลุ่มก้อนหิมะเยอะเหมือนพวกเรา แล้ววันนี้เป็นวันฉลองตรุษจีน คนเดินทางเยอะ จะต้องมีรอยเท้าแน่นอน ตอนนางเดินมาน่าจะไม่ได้ลำบากขนาดนั้น”
โจวกุ้ยหลานตบสวีฉางหลินเบาๆ ไม่อยากให้เขาใส่ใจขนาดนั้น
สวีฉางหลินตอบ“อืม” แล้วถักสานตะกร้าไม้ไผ่ของตัวเองต่อ
“ท่านเลิกถักสานได้แล้ว ถือโอกาสนี้พักผ่อนเถอะ รีบสอนข้ากับเสี่ยวเทียนรู้หนังสือเถอะ”โจวกุ้ยหลานพูด แล้วลุกขึ้นยืน
ตะกร้านี้ซื้ออยู่ที่เมืองอันหนึ่งไม่กี่อีแปะเอง นางหาเงินที่อื่นก็ได้ เรียนรู้หนังสือสำคัญกว่า
เจ้าก้อนน้อยที่อยู่ด้านข้างรีบลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ จากนั้นต่อแถวกับโจวกุ้ยหลาน มองพ่อของตัวเองตาปริบๆ
สวีฉางหลินวางงานที่อยู่ในมือลง ถือตอกไม้ไผ่ขึ้นมาหนึ่งอัน แล้วกล่าวว่า“วันนี้เรียนรู้ยี่สิบคำ”
“ยี่สิบคำพอที่ไหนกัน สามสิบคำเถอะ”โจวกุ้ยหลานโบกสะบัดมือพัลวัน
ตอนบ่ายไม่ได้ทำอะไรเลย จะรู้แค่ยี่สิบคำได้ที่ไหนกัน?
สวีฉางหลินส่งสายตาให้นาง โจวกุ้ยหลานมองตามสายตาของเขา ก็เห็นเจ้าก้อนน้อยกำลังกระสับกระส่าย
เอ่อ นางลืมนึกถึงว่าเจ้าก้อนน้อยยังเด็ก……
“ยังไงล่ะ วันนี้ข้ากินอิ่มแปล้เกินไปแล้ว อย่างนั้นก็เรียนรู้ยี่สิบคำก่อนก็แล้วกัน”
เจ้าก้อนน้อยเงยหน้ามองไปทางท่านแม่ของตัวเอง เมื่อเห็นนางเอามือวางนาบท้องของตัวเอง เขาเลยเอื้อมมือไป และเอามือวางไว้บนท้องของโจวกุ้ยหลาน เพื่อช่วยนางนวด
โจวกุ้ยหลานหัวเราะไม่ออกบอกอะไรไม่ถูก ลูบศีรษะของเขา
วันตรุษจีนวันที่สามตอนบ่าย สวีฉางหลินได้เริ่มวาดตัวหนังสือลงบนพื้นเพื่อสอนคนตัวเล็กตัวใหญ่เขียนอักษร
ด้านล่างภูเขา โจวซ่านเย่กลับมาที่เรือนของแม่ นั่งลงก็ไม่ลุกขึ้นแล้ว นางพูดเรื่อยเปื่อยกับเหล่าไท่ไท่ ก็เพราะอยากจะสืบเรื่องราวของสวีฉางหลินกับโจวกุ้ยหลาน แต่จะทำอย่างไรได้เหล่าไท่ไท่ปากแข็ง ไม่เปิดเผยออกมาเลยแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ ข้าอยากรู้เรื่องน้องสาวของตัวเองเจ้าค่ะ ทำไมท่านถึงไม่บอกอะไรกับข้าเลย?”โจวซ่านเย่ไม่พึงพอใจ
เหล่าไท่ไท่เหลือบมองนางแวบหนึ่ง แล้วกำเมล็ดแตงโมให้เด็กๆ“เจ้าอยากรู้ไปทำไมเยอะแยะ กุ้ยหลานพักอยู่หมู่บ้าน เจ้าอยู่ในตำบล ตลอดทั้งปีก็ไม่เจอกันคราหนึ่ง”
“นั่นไม่ใช่เพราะเมื่อก่อนลูกยังเล็กหรือ แล้วข้าปลีกตัวไม่ได้ ต่อไปข้าจะกลับมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆเจ้าค่ะ”โจวซ่านเย่กล่าว แววตาเฉไฉ ทำเป็นไม่สนใจ กล่าวขึ้นว่า“ท่านแม่ ได้ยินว่าพวกต้าไห่ก็เผาถ่านด้วยกันกับกุ้ยหลาน ได้เงินไม่น้อยเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้วเป็นปม กล่าวว่า“เจ้าฟังใครพูดมา?”
“ไม่ใช่ว่าข้าไปนั่งอยู่ที่เรือนของลุงใหญ่สักพักหนึ่งหรือ ป้าพูดเจ้าค่ะ”
“พูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็ยังไม่ได้จัดการเจ้า! ข้าเอาชิวเซียงไปให้เจ้าดูแล เจ้าดูแลเช่นนี้หรือ?”จู่ๆน้ำเสียงของเหล่าไท่ไท่ก็ดังกังวานขึ้น ตะคอกด้วยความเดือดดาล
โจวซ่านเย่ตื่นตะลึง เมื่อมองท่าทางของเหล่าไท่ไท่ ก็รู้ว่าถ้าตัวเองพูดเรื่องไม่ดี เกรงว่าเหล่าไท่ไท่จะต้องเอาไม้ตะบองมาเฆี่ยนนางแน่นอน
นางยิ้มเอาอกเอาใจเหล่าไท่ไท่ แล้วกล่าวว่า“ท่านแม่ เรื่องนี้ก็จะมาตำหนิข้าไม่ได้นะเจ้าคะ ข้าช่วยดูให้นางหลายคน นางล้วนไม่ถูกใจ รังเกียจว่าไม่ดี กลับกันได้ไปมีสัมพันธ์อันดีกับเถ้าแก่เฉียน ข้าเคยเกลี้ยกล่อมแล้ว นางบอกกับข้าว่าตั้งครรภ์ ข้าก็ไม่มีหนทางเจ้าค่ะ……”
พอพูดประโยคนี้ออกมา ซุนโก่วต้านกับโจวคายจือที่นั่งอยู่ด้านข้างต่างถลึงตามองโจวซ่านเย่
“ชิวเซียงยังไม่ได้แต่งงานเลยนะ!”โจวคายจือเอะอะโวยวายขึ้น
สายตาเฉียบแหลมของเหล่าไท่ไท่เหลือบมองไป กล่าวว่า“พูดสุ่มสี่สุ่มห้าอะไร? กลัวคนอื่นไม่รู้หรือว่ายังไง?”
โจวคายจือรีบก้มหน้าลง ไม่กล้าพูดจาแล้ว ส่วนซุนโก่วต้านยิ่งไม่กล้าพูดออกมาเลยสักประโยคเดียว
เมื่อจัดการฝั่งนี้แล้ว เหล่าไท่ไท่ก็จ้องไปทางโจวซ่านเย่“ยังมีเด็กอยู่ เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?”
โจวซ่านเย่ตบปากของตัวเองเบาๆ ยิ้มสำนึกผิด กล่าวว่า“ดูปากของข้าสิ พูดก็ไม่มีหูรูดเลย ท่านพี่ ท่านพี่เขยอย่าใส่ใจเลยนะเจ้าคะ!”
“ไม่เป็นไรๆ ”โจวคายจือรีบโบกมือพัลวัน เพื่อบ่งบอกว่าไม่เป็นไร
ฝ่ามือเหล่าไท่ไท่ฟาดตบลงที่ท้ายทอยของโจวซ่านเย่ ทำให้โจวซ่านเย่ที่ยิ้มอยู่เมื่อสักครู่นี้หน้าเหวอเลยทันที
“เจ้าเป็นคนที่ข้าให้กำเนิด ข้าจะไม่รู้จักเจ้าหรือ? ชิวเซียงพักอาศัยอยู่ในบ้าน นางออกไป มีหรือที่เจ้าจะไม่รู้? ข้าก็ว่าแล้วแต่ก่อนคนขี้งกอย่างเจ้าทำไมถึงได้มีมิตรไมตรีกับชิวเซียง เจ้ารอเวลานี้อยู่สินะ? ยังไง เหล่าหูของเจ้าได้ขึ้นเงินเดือนหรือ?”
ประโยคนี้พูดถึงก้นบึ้งหัวใจของโจวซ่านเย่ ตอนนี้คนที่ชอบพูดตั้งแต่ไหนแต่ไรมาอย่างนางก็เงียบไม่ปริปากเลย
เหล่าไท่ไท่เห็นท่าทางแบบนี้ของนางก็เดือดดาล ชี้หน้าโจวซ่านเย่แล้วด่าทอว่า“ช่วงปีที่ผ่านมานี้เจ้าอยู่ข้างนอกไปเรียนรู้อะไรมา? นั่นคือลูกพี่ลูกน้องของเจ้า! ลุงใหญ่ของเจ้าปฏิบัติกับครอบครัวของพวกเรายังไง แม้แต่ลูกสาวของเขาเจ้าก็คิดวางแผนการด้วย ใจของเจ้านี่มันสีดำใช่หรือไม่?”
“ท่านแม่ ช่วงฉลองตรุษจีน ท่านอย่าด่าพี่สาวรองเลย……”โจวต้าไห่กล่าววาจาออกมาหมายจะห้ามปราม
“ฉลองตรุษจีนแล้วยังไง? วันปกติเจ้าเห็นนางกลับมาหรือ? ข้ายังคิดว่าวันนี้เจ้าไม่กลับมาแล้ว หิมะตกปกคลุมภูเขาเจ้ากลับมา นี่ก็สามารถจริงๆ! ข้าจะบอกเจ้าให้นะซ่านเย่ ลุงใหญ่ของเจ้าไม่ตำหนิเจ้านั่นคือใจกว้างเมตตา ถ้าครั้งนี้มีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับชิวเซียง ข้าจะเฆี่ยนเจ้าให้ตาย!”
ตั้งแต่เหล่าไท่ไท่รู้ว่าชิวเซียงมีลูกกับเถ้าแก่เฉียน นางก็กลัดกลุ้มอดทนอดกลั้น ไม่พูดบอกใคร นางกลัวว่าหน้าแก่ๆนี้จะเสียรักษาไว้ไม่ได้ แต่นังลูกคนนี้ เอาความสนใจไปอยู่ที่ตัวน้องสาวแท้ๆของตัวเองแล้ว นางเลยเอาความโกรธชังที่มีมาแต่เก่าด้วย มาชำระพร้อมกันเลยเสียเลย
ภายในบ้านเงียบสงบสักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงของเหล่าไท่ไท่ พวกเด็กๆพากันก้มหน้า แม้แต่เมล็ดแตงโมยังไม่กล้ากิน ส่วนโจวคายจือกับซุนโก่วต้าน ยิ่งไม่กล้ามอง
โจวซ่านเย่รู้สึกว่าตัวเองถูกตีจนน่าเวทนา ยังไงนางก็ใกล้จะอายุสามสิบปีแล้ว มีลูกสามคน ท่านแม่คิดจะตีก็ตีเลย ไม่ไว้หน้านางเลยสักนิดหนึ่ง!
“ท่านแม่ ท่านใจเย็นๆ นี่เป็นวันฉลองตรุษจีนอย่าทำเรื่องไม่สบายใจเลย ท่านดูตอนเช้าที่ด่าพี่สาวใหญ่กับพี่เขยใหญ่ไปแล้วหนึ่งยก พอตกบ่ายมาด่าทอพี่สาวรอง ทุกคนล้วนไม่มีความสุขไม่ใช่หรือ?”โจวต้าไห่เป็นคนกล่าวพูดเกลี้ยกล่อมขึ้น
ประโยคนี้พูดทะลุแทรกซึมถึงหัวใจเหล่าไท่ไท่ ไม่ง่ายที่ลูกสาวจะพากันกลับมา นางยังโวยวายจนไม่มีความสุข แต่ลูกสาวทั้งสองคนนี้ช่างไม่ทำให้นางวางใจได้เลยจริงๆ แต่ละคนก่อความวุ่นวาย!
พอคิดเช่นนี้ นางก็ไม่พูดอีก แต่ก้นบึ้งหัวใจยังเดือดดาลอยู่
พอถึงยามดึก นางนั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าว ขาหมูที่โจวกุ้ยหลานส่งมาก็ตุ๋นแล้ว ทุกคนพากันกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เรื่องหงุดหงิดช่วงกลางวันต่างก็ปล่อยวางลง
โจวคายจือกับซุนโก่วต้านพาเด็กๆไปนอนเตียงเมื่อก่อนที่โจวกุ้ยหลานเคยนอน ส่วนโจวซ่านเย่นอนเตียงเดียวกับเหล่าไท่ไท่