กล่าวจบ นางไม่ได้ร่วมนินทากับลูกสาวรอง ก็ลากโจวกุ้ยหลานให้ไปช่วยทำอาหารที่ครัว
โจวซ่านเย่รีบแยกมือเหล่าไท่ไท่กับโจวกุ้ยหลานออกจากกัน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไอหยา ท่านแม่ กุ้ยหลานเพิ่งจะกลับมา ให้นางไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะไปช่วยท่านทำอาหารเอง!”
มองนางทำดี โจวกุ้ยหลานก็ไม่ขัด กล่าวว่า “พอดีเลย พี่สาวใหญ่กับพี่สาวรองไปช่วยท่านแม่ทำอาหาร ข้าจะได้ไปอวยพรปีใหม่บ้านลุงใหญ่กับบ้านอาสะใภ้สาม”
กล่าวจบ หันไปมองสวีฉางหลิน “เจ้าพาเสี่ยวเทียนนั่งตรงนี้ครู่หนึ่ง อีกเดี๋ยวข้ากลับมา”
สวีฉางหลินพยักหน้า วางเจ้าก้อนน้อยนั่งลงข้างที่นั่ง ตนเองก็นั่งลงด้านข้าง สองพ่อลูกผิงไฟกันอย่างสงบนิ่ง และรอโจวกุ้ยหลานหลับมา
โจวกุ้ยหลานถือตะกร้าไปบ้านโจวต้าซานก่อน
พอถึงหน้าประตู ได้ยินหลี่ซิ่วยิงสบถอยู่ข้างใน แต่ละคำก็ว่าตาแก่ขี้โวยวาย
นี่ยังทะเลาะกันอยู่อีกหรือ…
โจวกุ้ยหลานสงบจิตใจ อยู่ที่ลานบ้านตะโกนเรียกคน ผ่านไปครู่หนึ่ง ซานเฉียงก็เปิดประตูออกมา
“คนที่บ้านเป็นอะไรกัน” โจวกุ้ยหลานเดินไปก็ถามซานเฉียงเสียงต่ำ
“ท่านพ่ออยากให้ชิวเซียงแท้งเด็ก แล้วหาคนในหมู่บ้านมาแต่งงานด้วย ท่านแม่ไม่ยอม ทั้งสองคนก็เลยทะเลาะกันมาหลายวันแล้ว” ซานเฉียงตอบกลับอย่างรำคาญใจ
โจวกุ้ยหลานยืดหมวกของตนให้ตรง อดถอนหายใจไม่ได้ “เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะมีอะไรให้ทะเลาะกันอีก แล้วเถ้าแก่เฉียนยังอยู่ที่บ้านเจ้าหรือไม่”
“กลับไปแล้ว ตอนหิมะเพิ่งตกเขาก็กลับไปแล้ว มิฉะนั้นท่านแม่ข้าไม่โวยวายขนาดนี้หรอก!” น้ำเสียงของซานเฉียงกล่าวอย่างดูแคลน
ชายชราขนาดนั้น ไม่รู้ว่าแม่เขากับชิวเซียงคิดอะไรกันอยู่
“กุ้ยหลาน อีกเดี๋ยวเจ้าเกลี้ยกล่อมพ่อของข้าให้ดี ๆ อย่าให้เขาโวยวายกับแม่ข้าอีก น่าขายหน้าเสียจริงชะมัด!” ซานเฉียงหันมามองโจวกุ้ยหลาน แล้วฝากฝังกับนาง
โจวกุ้ยหลานเบะปาก “ข้าเป็นคนรุ่นหลังจะเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ได้ที่ไหนกัน อีกอย่าง เจ้าก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าข้ากับชิวเซียงไม่ชอบหน้ากัน ข้าพูดเรื่องนี้นางจะไม่ด่าข้าว่ามีเจตนาไม่บริสุทธิ์หรอกรึ”
“เจ้าน่ะหรือกลัวนาง” ซานเฉียงไม่เชื่อ
โจวกุ้ยหลานโบกมือไล่ให้เขาเดินไป
“รอดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากัน”
ทั้งสองเดินเข้าไปในบ้าน โจวกุ้ยหลานถือตะกร้าเข้าบ้านโจวต้าซาน ก็พบโจวต้าซานกำลังซ่อมม้านั่งในบ้าน หลี่ซิ่วยิงนั่งขัดสมาธิด่าทอบนเตียงเตา
“ท่านป้า ข้ามาอวยพรปีใหม่พวกท่าน ที่บ้านไม่มีอะไรเลย เลยแบ่งเนื้อมาให้พวกท่าน” โจวกุ้ยหลานกล่าวด้วยรอยยิ้ม ถอดถุงมือ ยกเนื้อชิ้นหนึ่งออกมาจากตะกร้า แล้วยกขึ้นไปกลางอากาศ
เมื่อเห็นเนื้อชิ้นใหญ่ขนาดนี้ หลี่ซิ่วยิงไหนเลยจะมามัวทะเลาะเบาะแว้ง รีบลงจากเตียงเตา สวมรองเท้าแล้วกล่าวยิ้ม ๆ “แหม กุ้ยหลาน มาแล้ว ยังต้องให้อะไรกันอีก เนื้อนี่คงจะสักสองสามจินกระมัง”
“การกตัญญูต่อพวกท่านก็สมควรแล้ว ท่านป้า ท่านว่าเนื้อนี่…” โจวกุ้ยหลานกล่าวครึ่งเดียว มองโจวต้าซานแล้วมองไปที่หลี่ซิ่วยิง ด้วยน้ำเสียงลำบากใจ
“ให้ข้าให้ข้า ข้าจะได้นำไปทำอาหารจานเนื้อให้เจ้ากิน!” กล่าวจบ หลี่ซิ่วยิงก็ใส่รองเท้าเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามา ยื่นมือหยิบเนื้อในมือโจวกุ้ยหลานไป
โจวกุ้ยหลานยิ้มแล้วปล่อยมือ กล่าวว่า “ท่านป้าใหญ่ไม่ต้องทำหรอก อีกเดี๋ยวข้าจะกลับไปกินกับแม่ข้า”
กล่าวจบประโยค หลี่ซิ่วยิงก็ไม่รั้งไว้ ชี้ไปที่ผ้าขี้ริ้วข้างเตียงเตา “เจ้าก็เช็ดมือเองละกัน ช่วยข้าเกลี้ยกล่อมตาแก่คนนี่ด้วย”
กล่าวจบ ก็รีบจากไป ทั้งยังปิดประตูให้พร้อม
โจวกุ้ยหลานเดินไป หยิบผ้าขี้ริ้วผืนนั้นมาเช็ดมือ แล้วหยิบตะกร้าไปวางบนพื้น นั่งยอง ๆ ลงข้างโจวต้าซาน
“ท่านลุงใหญ่ ท่านทะเลาะกันทั้งวันไม่รู้สึกเบื่อหน่ายหรือ”
“ทำไมจะไม่เบื่อ ข้ามีทางเลือกหรือไร” โจวต้าซานตอบกลับหนึ่งประโยค วางม้านั่งบนพื้น ยืนมือผลักม้านั่ง รู้สึกมั่นคงแล้ววางลงหน้าโจวกุ้ยหลาน“นั่งบนม้านั่งสิ”
โจวกุ้ยหลานหยิบม้านั่งมานั่ง กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ท่านลุงใหญ่ ท่านขึ้นเขากับข้าสักสองสามวันไหม จะได้ไม่กวนน้ำให้ขุ่น”
“เจ้านี่ อยากพูดอะไรก็พูดมา” โจวต้าซานนั่งตัวตรง หยิบยาสูบบนโต๊ะขึ้นมา
โจวกุ้ยหลานยิ้มตาหยี “ข้าว่านะ คนที่เข้าใจข้าที่สุดเป็นแม่ข้า ลำดับที่สอง ก็ต้องเป็นท่านลุงใหญ่!”
“แต่ข้าไม่รู้เลยนิสัยเจ้านะ” โจวต้าซานตอบกลับหนึ่งประโยค ก็สูบยาเส้นหนึ่งกำมือ
“ใครเห็นเจ้าเป็นอย่างนี้ ก็รู้แล้วว่ามีเรื่องจะพูด”
โจวกุ้ยหลานยิ้มไม่หุบ “งั้นท่านว่าข้าจะพูดอะไรกับท่าน”
โจวต้าซานเหลือบมองนาง สูบยาเส้นเข้าไปอีก แล้วพ่นหมอกควันออกมา “ป้าของเจ้าไม่ใช่ว่าให้เจ้าเกลี้ยกล่อมข้าหรอกรึ”
“ทำไมข้าต้องเกลี้ยกล่อมท่านเล่า ท่านคือลุงใหญ่ข้า ท่านป้าใหญ่ก็ต้องอยู่ลำดับหลังจากท่านนะ ข้าย่อมต้องอยู่ข้างท่านอยู่แล้ว” ขณะโจวกุ้ยหลานกล่าว ก็โบกมือสะบัดไปมา ปัดควันยาสูบกลางอากาศให้หาย
ที่กล่าวมาก็เหมือนจะถูก นางเป็นหลานสาวแท้ๆ ของเขา ทำไมต้องฟังภรรยาเขาเล่า
“งั้นเจ้าคิดว่าข้าควรให้ชิวเซียงแท้งเด็กไหม ให้นางแต่งกับคนในหมู่บ้าน” โจวต้าซานถาม
โจวกุ้ยหลานเบิกตากว้าง อย่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ใช่เจ้าค่ะ!เถ้าแก่เฉียนนั่นแก่เกินไปแล้ว แต่งออกไปแค่ฟังก็แย่แล้ว! ถ้าเป็นข้า จะให้ชิวเซียงแท้งเด็ก แล้วค่อยหาคนดี ๆ ให้นาง แต่ว่าคนในหมู่บ้านล้วนรู้เรื่องนี้แล้ว หมู่บ้านรอบข้างก็ให้แต่งไม่ได้ ข้าว่า ยิ่งไกลยิ่งดี ออกนอกเมืองถึงจะดีที่สุด”
โจวต้าซานขมวดคิ้ว “งั้นทั้งชีวิตคงไม่ได้พบเจอนางแล้วสิ”
“นี่เพื่อการดีต่อนางเลย ได้แต่งไปไกลก็ไม่เป็นไร ข้าว่านะ คนที่อยากแต่งลูกสะใภ้ที่อยู่ไกล ครอบครัวส่วนใหญ่ล้วนยากจน แต่พวกเราไม่ได้กลัวความยากจน ขอแค่เป็นคนดี วันเข้าหอเกรงคนจะดูออก…ก็ไม่ต้องกลัว ถึงเวลาก็มอมเหล้าคนผู้นั้น ให้สับสนมึนงง แต่ว่านะ เจ้าเด็กที่จะเกิดมาทีหลังนั้นยุ่งยาก ไม่อาจขอให้หมอตำแย ไม่งั้นต้องรู้เรื่องที่นางแท้งได้เลย…”
โจวต้าซานขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
โจวกุ้ยหลานเหลือบมองเขา แล้วกล่าวอย่างยิ้ม ๆ ต่อว่า “จริงสิ งั้นก็ไม่อาจพานางไปหาหมอได้ ไม่งั้นท่านหมอคงจะดูออก ถ้าบ้านสามีรู้เข้าคงหย่าร้างกับนางงั้นก็แย่อล้ว แต่ถ้าไม่หย่าก็ดีไป หากว่านางได้อยู่กับบ้านที่ดี อย่างสุดก็ได้เป็นวัวเป็นม้าให้บ้านสามีของนาง”
“นี่เจ้าเกลี้ยกล่อมข้ารึ” โจวต้าซานมองโจวกุ้ยหลาน แล้วถามกลับ
โจวกุ้ยหลานมองด้วยสายตาไร้เดียงสา “เปล่านะ ข้าแค่ออกความคิดเห็นให้ท่านเอง”
“กุ้ยหลาน ชิวเซียงทำกับเจ้าอย่างนั้น เจ้ายังจะคิดเพื่อนางอีก ข้า…ข้ารู้สึกว่ามัน…ถ้าไม่ใช่ว่ารู้ว่านางท้อง ข้าจะตีนางให้ตาย!”
โจวต้าซานคิดถึงเรื่องคืนนั้น ยังคงคับแค้นใจ
ทางด้านนี้ โจวกุ้ยหลานกำลังกล่อมโจวต้าซาน ส่วนที่ด้านนอกบ้านหลี่ซิ่วยิงจูงมือโจวชิวเซียงเดินออกมาด้วยรอยยิ้ม เมื่อถึงโถงบ้าน ก็กล่าวอย่างดีใจว่า “ข้าว่าแล้วพ่อเจ้าต้องฟังกุ้ยหลานพูด เจ้านั้นฉลาดหลักแหลม พ่อเจ้าย่อมต้องฟังนาง!”