เหล่าไท่ไท่มองท่าทางหญิงสาวคนรอง ก็รู้ว่านางกำลังเอาใจกุ้ยหลาน ใช้เท้าคิดยังรู้เลยว่านางต้องการอะไร แต่ก็ไม่ได้เปิดปากทันที ยื่นมือไปหยิบตะกร้าเข็มกับด้ายของตัวเอง หยิบเข็มกับด้ายเย็บพื้นรองเท้าต่อ
โจวคายจือที่อยู่ด้านข้างขานรับเสียงเบาสองสามประโยค เพียงแต่หลายครั้งนางแทรกพูดไม่ได้ ได้แต่นั่งอย่างสงบนิ่ง
โจวซ่านเย่รู้ว่าถ้าไม่นำเรื่องนี้ออกมาพูด กุ้ยหลานก็ไม่อาจพูดนำได้ ขณะนี้จัดเสื้อผ้าตัวเอง “กุ้ยหลาน วันนี้เถ้าแก่เฉียนแต่งชิวเซียงแล้ว ก็เป็นน้องเขยพวกเรา มีเรื่องดี ๆ แบบนี้ก็ต้องคิดถึงญาติตัวเองไม่ใช่หรือ บ้านเจ้าเผาถ่าน ก็ขายให้ร้านขายของชำเถ้าแก่เฉียน ให้เถ้าแก่เฉียนช่วยเจ้าส่งเสริมการขายด้านนอกไม่ดีหรือ”
โจวกุ้ยหลานกะพริบตาทั้งสอง แม้ในใจจะเข้าใจสิ่งที่โจวซ่านเย่ต้องการคุยเรื่องนี้กับนางแต่แรก คาดไม่ถึงว่านางจะไม่ชักแม่น้ำทั้งห้าเหมือนเมื่อก่อน โผงผางเสียจริง
แต่ว่านะ ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน1 ว่าตามตรงนางก็ไม่ได้กลัวพี่สาวรอง
“พี่สาวรอง ถ้าแต่แรกท่านกับข้าพูดกับข้าอย่างนี้ข้าย่อมรับปาก แต่วันนี้เรื่องนี้ไม่เหมือนเดิม พวกเราทำธุรกิจกับเถ้าแก่โจวมานานแล้ว เขากรุยทางหมดแล้ว ข้าจะข้ามแม่น้ำได้แล้วรื้อสะพานได้ยังไง”
“กุ้ยหลานพูดก็ถูก” โจวคายจือพยักหน้า แสดงออกว่าตัวเองเห็นด้วยกับคำพูดของโจวกุ้ยหลาน
โจวซ่านเย่ที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วแล้วจ้องโจวคายจือ สุดท้ายโจวคายจือก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ตัวเองตัวคนเดียวยังดูแลไม่ได้ ยังคิดจะมายุ่งเรื่องของนาง? พี่สาวใหญ่คนนี้ยิ่งโตยิ่งไม่ได้ความจริง ๆ!
ขณะในใจนางคิด บนหน้าก็ทำเป็นกลั้นอารมณ์ของตัวเอง กล่าวยิ้ม ๆ “กุ้ยหลาน ธุรกิจก็เรื่องของธุรกิจ พวกเราพูดเรื่องมีน้ำใจต่อกันนะ ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าจะไม่อาจมองพวกข้าอดอยากได้ไม่ใช่หรือ”
โจวกุ้ยหลานเบิกตากว้าง ไม่กล้าจะเชื่อ “อดอยาก? พี่สาวรอง ทำไมเถ้าแก่เฉียนยังอดอยากอยู่ นั่นไม่ได้การแล้ว ทำธุรกิจต้องมีทั้งหนทางทั้งเงิน ถ้าเขาเลี้ยงครอบครัวเดียวของตัวเองไม่ไหว ไหนเลยจะทำธุรกิจกับเขาได้กันล่ะ”
“ไม่ใช่เถ้าแก่เฉียน แต่เป็นพี่สาวรองเจ้า!ครอบครัวพวกเรากำลังอดอยาก!” โจวซ่านเย่รีบอธิบาย
“พี่สาวรอง ทำไมท่าถึงอดอยากล่ะ ไม่ใช่ว่าทำงานกับเถ้าแก่เฉียนแล้วหรือ” โจวกุ้ยหลานตอบกลับอย่างแปลกใจ ก็ถามต่อทันที “เถ้าแก่เฉียนคงไม่ขี้เหนียวขนาดนั้นหรอก ตัวใช้ชีวิตดี ให้ผู้ที่ร่วมงานกับเขามาหลายปีกินไม่อิ่มท้อง คนผู้นี้ไม่อาจทำธุรกิจด้วยได้ ไม่อาจทำธุรกิจกับเขาได้…”
ขณะกล่าว โจวกุ้ยหลานก็ส่ายหน้าไปมา
ในใจโจวซ่านเย่โมโหมาก น้องสาวเห็นชัดแล้วยังจะแกล้งโง่อยู่อีก!
เมื่อครู่ยังคิดจะแกล้งโง่ แต่โจวกุ้ยหลานพูดมาขนาดนี้ นางก็แสร้งทำตัวน่าสงสารต่อไปไม่ได้
งั้นก็พูดตามตรงไปเลยละกัน “กุ้ยหลาน พี่สาวรองเห็นทุกวันนี้บ้านพวกเจ้าชีวิตดีแล้ว ในใจข้าก็อิจฉา แม้บ้านพวกข้าไม่ถึงขั้นอดอยาก แต่ทุกวันนี้ใช้ชีวิตไม่ดี ไม่อาจกินเนื้อกินข้าวขาวได้เหมือนบ้านท่านแม่ ถ้าจ้ามีความสามารถ ช่วยสงเคราะห์พี่สาวรองสักหน่อย ก็ไม่ได้ขอให้เจ้าทำอะไรมาก เพียงขอให้เจ้าขายถ่านให้บ้านพวกเรา และขอเจ้าให้พี่เขยรองขายให้เถ้าแก่เฉียนก็พอ”
ที่แท้อยากพูดอย่างนี้นี่เอง
ในใจโจวกุ้ยหลานครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่าการแผนของพี่สาวรองของตัวเองนั่นคิดดีจริง ๆ เลย
ซื้อถ่านจากนาง แล้วขึ้นราคาขายให้เถ้าแก่เฉียน ระหว่างนั้นที่ไม่ต้องเสียแรงสักนิดก็รับเงินไปง่าย ๆ ไม่พูด ยังทำให้เถ้าแก่เฉียนถูกใจพี่เขยรอง ตำแหน่งก็คงไม่เหมือนเดิมแล้ว
เพียงแต่ ที่นางคิดคำนวณไปทั้งหมดอาจจะคิดมากเกินไป?
“พี่สาวรอง อย่างที่บอกไปแล้ว เถ้าแก่โจวเพื่อจะขยายช่องทางธุรกิจขายถ่านนั้นสูญเสียตำลึงเงินไปไม่น้อย ไม่ว่าอย่างไรข้าไม่อาจทำให้เขาขาดทุนได้อีก ตระกูลโจวพวกเราไม่ใช่คนไร้มโนธรรม ท่านว่าใช่ไหม”
โจวกุ้ยหลานเผชิญหน้า กล่าวอย่างจริงจัง
อ้างถึงตระกูลโจวจะไร้มโนธรรม ตอนนี้โจวซ่านเย่ก็ไม่อาจพูดต่อได้
เหล่าไท่ไท่ที่อยู่ด้านข้างหยุดทำงานในมือ ดวงตาคู่เล็กมองไปทางโจวซ่านเย่ “ข้าว่าเจ้าไม่ถามซ้ำซากทั้งวันได้หรือไม่ เจ้ากำลังบีบคั้นให้น้องสาวเจ้าทำธุรกิจในอนาคตไม่สำเร็จ ทำให้ครอบครัวพวกเราแทะข้าวโพดต่อไป”
“ท่านแม่ ทำไมท่านพูดอย่างนั้นล่ะ ข้าก็เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของท่าน ท่านก็ไม่ช่วยข้า!” โจวซ่านเย่ตอบเหล่าไท่ไท่อย่างไม่ยินดี
เป็นญาติกันจะช่วยนางสักหน่อยไม่ได้หรือไร ก็ไม่ได้ไม่ให้เงินพวกเขาเสียหน่อย!
“รอให้บ้านเจ้าใกล้อดตายแล้ว เจ้าก็รู้แล้วว่าข้าจะช่วยหรือไม่ช่วยเจ้า” เหล่าไท่ไท่ตอบกลับมา แล้วก้มหัวเย็บพื้นรองเท้าต่อทันที
ลูกคนเล็กนางแทบไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับชิวเซียง แต่ลูกสาวคนรองยังพยายามให้ลูกสาวคนเล็กเชื่อมสัมพันธ์กับบ้านสามีชิวเซียง คิดจะทำอะไรกัน?
แต่ลูกสาวคนรองก็ไม่ใช่คู่ปรับของลูกสาวคนเล็ก นางจึงไม่ต้องกลัว
“พี่สาวรองวางใจ พวกเราไม่ปล่อยให้บ้านท่านอดตายแน่นอน!” โจวกุ้ยหลานกล่าวให้คำมั่นเสริมจากคำพูดของเหล่าไท่ไท่
“ใช่แล้ว พี่สาวน้องสาวย่อมต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน…” โจวคายจือก็กล่าวอีกหนึ่งประโยค
เพียงแต่ประโยคเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ในใจโจวซ่านเย่สบายใจ นางก็ไม่ผิดนี่ ทำไมท่านแม่กับพี่สาวใหญ่ล้วนช่วยกุ้ยหลานล่ะ
“อ๊ะ ข้าเกือบลืมไป ฉางหลินยังไม่รู้ว่าข้ากลับมาแล้ว ถ้าเขากลับบ้านแล้วไม่เจอข้าคงจะตามหาข้าเป็นแน่ ท่านแม่ ข้าต้องไปแล้วล่ะ ท่านอย่าลืมช่วยข้าถามหาเรื่องลูกหมูในหมู่บ้านด้วย อย่าลืมนะเจ้าคะ”
ขณะโจวกุ้ยหลานพูด ตัวก็ลุกขึ้นมา เตรียมรีบจากไปอย่างเร่งรีบ
เหล่าไท่ไท่ก็หยัดกายใส่รองเท้า “เจ้าวางใจเถอะ ข้าคุยกับหลายบ้านแล้ว ให้ช่วยเก็บไว้ให้เจ้าแล้ว แต่ช่วงนี้อากาศหนาว เกรงว่าจะใช้เวลาหลายวัน”
โจวกุ้ยหลานพยักหน้า ด้านนอกบ้าน พาเจ้าก้อนน้อยที่นอนคว่ำสอนพวกเด็ก ๆ เขียนอักษรอยู่บนพื้นขึ้นมา จูงมือเล็ก ๆ ของเขาเตรียมออกไปข้างนอก
“เสี่ยวเทียน พวกเราต้องรีบกลับแล้ว ถ้าอีกเดี๋ยวพ่อเจ้ากลับบ้านไม่เห็นพวกเราจะเป็นกังวลเอา”
เจ้าก้อนน้อยพยักหน้าตัวเอง สองเท้าเล็ก ๆ เร่งเดินไปข้างหน้า อยากจะตามให้ทันฝีเท้าของท่านแม่
โจวซ่านเย่ที่ตามหลังออกมาอยากจะตะโกนเรียก แต่โจวกุ้ยหลานก็ไปถึงสวนแล้ว สิ่งที่นางอยากจะพูดอะไรไปก็สายไปเสียแล้ว…
โจวกุ้ยหลานเดินไปไม่กี่ก้าว ก็ก้มหน้าลง เห็นเจ้าก้อนน้อยก้มหน้าวิ่งตามมาอย่างไว คอแดงไปหมด นางจึงหยุดเดิน ย่อตัวลง ให้เจ้าก้อนน้อยปีนขึ้นหลังนาง แบกเจ้าก้อนน้อยขึ้นมาแล้วรีบวิ่งหาเขาไป
เมื่อผ่านบ้านโจวต้าซาน เห็นหลี่ซิ่วยิงกำลังกระแทกที่ประตูใส่หวังหยู่ชุน ด่าสาดเสียเทเสียอยู่หน้าบ้าน
นางก็ไม่ได้โอ้เอ้ รีบเร่งฝีเท้าไปที่ตีนเขา สวีฉางหลินก็ลงจากเขามาแล้ว ไม่ไกลก็เห็นร่างทั้งสอง
เขาเร่งฝีเท้าเดินมา ยื่นมือไปรับเจ้าก้อนน้อยไป เห็นภรรยาตัวน้อยหอบเหนื่อย ในใจก็เจ็บปวด “เจ้าจะรีบวิ่งทำไม”
“ก็กลัวเจ้าจะกังวลไง ไม่ได้บอกเจ้าว่าพาลูกกลับบ้านท่านแม่มา” ขณะโจวกุ้ยหลานพูด ก็ตบไปที่หน้าอกตัวเอง ให้ตัวเองหายใจคล่องขึ้น
สวีฉางหลินชะงัก มือขวาอุ้มเจ้าก้อนน้อย มือซ้ายจูงโจวกุ้ยหลานเดินขึ้นเขาไป
โจวกุ้ยหลานปล่อยให้สวีฉางหลินจูงมือ ค่อย ๆ เดินขึ้นเขาไป มีสวีฉางหลินคอยประคอง ขณะนางเดินขึ้นไปก็ออมแรงไปได้ไม่น้อย
(1) ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน หมายถึง ไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้