นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 246 ไม่มีเวลาใส่ใจเจ้า
โจวชิวเซียงโกรธจนแทบระเบิด ทั้งไม่อยากจะคุยกับคนพวกนี้อีกแล้ว ยกมือขึ้นได้ก็ฟาดเข้าใส่มือของไป่ยี่เซวียนจัง ๆ พูดด้วยน้ำเสียงโกรธจัด “ข้ามาตามหาพี่สาวของข้า เจ้าจะมารั้งข้าไว้ทำไม?”
ไป๋ยี่เซวียนเองก็ไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสองคนพี่น้องคู่นี้สักเท่าไร แต่เมื่อเห็นความแตกต่างระหว่างโจวชิวเซียงกับโจวกุ้ยหลานแล้ว ในใจก็รู้สึกว่าสองคนนี้แตกต่างกันมากจริง ๆ
เมื่อเห็นเขาหยุดชะงัก โจวชิวเซียงก็เดินเบียดผ่านเขาไป แล้วรีบตรงดิ่งขึ้นชั้นบนไปทันที
เมื่อเห็นนางบุกขึ้นไปเองแล้ว ไป๋ยี่เซวียนก็รีบร้อนตามขึ้นไปด้วย
“โจวกุ้ยหลาน! โจวกุ้ยหลานเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ระหว่างที่โจวชิวเซียงเดินไปพลาง มือก็ผลักเปิดประตูของแต่ละห้องไปพลาง มองหาไปทีละห้อง ๆ
ไป๋ยี่เซวียนที่อยู่ข้างหลังคิดจะเข้าไปดึงนางไว้ นางจึงร้องตะโกนลงไปชั้นล่างเสียงดังลั่น “ข้าถูกลวนลาม! เถ้าแก่ไป๋ลวนลามข้า!”
จะอย่างไร ไป๋ยี่เซวียนคนนี้ก็เป็นคนที่ต้องรักษาหน้าตาชื่อเสียงอันดีไว้ จึงทำได้แค่ต้องถอนมือกลับมา แล้วพูดจาเกลี้ยกล่อมจากด้านหลังว่า : “พี่สะใภ้ เจ้าทำแบบนี้จะไม่ไปรบกวนแขกคนอื่น ๆ เข้าหรอกหรือ?”
โจวชิวเซียงแค่นเสียงเย้ยหยันเย็นชาในใจ กิจการที่นี่ของเจ้าไม่มีเสียได้นั่นแหล่ะยิ่งดี นางไม่สนใจไป๋ยี่เซวียนโดยสิ้นเชิง ยังคงตะโกนร้องเรียกต่อไปไม่หยุด
“โจวกุ้ยหลาน เจ้ารีบโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
โจวกุ้ยหลานที่อยู่ในห้อง แทบอยากจะเอาหัวมุดฝังเข้าไปในโต๊ะเลยทีเดียว
โจวชิวเซียงอยากจะทำตัวขายหน้าชาวบ้านก็แล้วไปเถอะ ทำไมจะต้องมาลากนางให้พลอยขายหน้าไปด้วยล่ะเนี่ย?
ถ้ายังแหกปากตะโกนต่อไปแบบนี้ คนทั้งโรงเตี๊ยมคงได้ยินกันหมดแน่
โจวกุ้ยหลานลุกขึ้นด้วยความโกรธ เดินไปที่ประตู เปิดประตูห้องแล้วปรายตามองคนที่อยู่ข้างนอก
“จะเรียกอะไรนักหนา?”
เมื่อเห็นว่าโจวกุ้ยหลานออกมาแล้ว โจวชิวเซียงพลันบังเกิดความรู้สึกว่าตัวเองชนะแล้ว ยกชายกระโปรงพลางเดินเชิดหน้าชูคอเข้าไปหาทันที
“ทำไม? ซ่อนไม่ไหวจนต้องโผล่หัวออกมาแล้วล่ะสิ?” โจวชิวเซียงเดินไปพลางปากก็ถามไปด้วย
ไป๋ยี่เซวียนที่อยู่ด้านหลังเห็นสีหน้าของโจวกุ้ยหลาน ย่อมเข้าใจได้เป็นธรรมดาว่าความสัมพันธ์ระหว่างโจวกุ้ยหลานกับโจวชิวเซียงนั้นไม่ค่อยจะดี จึงรีบตามขึ้นไป ก่อนจะเอ่ยปากขอโทษโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานมุมปากกระตุก “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเถ้าแก่ไป๋หรอก ขอเถ้าแก่ไป๋อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลยนะ”
“ทำไมจะไม่เกี่ยวกับเขา? ไม่ใช่ว่าเจ้ามากินข้าวที่โรงเตี๊ยมของเขาหรอกรึ?” โจวชิวเซียงแค่นเสียงเย็นชา
โจวกุ้ยหลานมองดูบรรดาคนที่ออกมาจากห้องเพื่อชมดูเรื่องสนุก รู้สึกแค่ว่าหน้าของตัวเองแทบจะถูกโจวชิวเซียงขายออกไปจนหมดไม่มีเหลือแล้ว
“เจ้ามีธุระอะไร?”
“เจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งพ่อของข้า ทำไมไม่ไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมของบ้านเรา กลับเผ่นมากินที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียง เจ้าคิดว่าข้าควรจะมีธุระหรือไม่ล่ะ?”
โจวชิวเซียงพูดไป ๆ สองมือก็เลื่อนขึ้นมาเท้าเอวโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว
ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องนี้ โจวกุ้ยหลานยกยิ้มเย้ยหยัน “ถ้าข้าไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมเจ้า ไม่ต้องจ่ายเงินได้หรือไม่ล่ะ?”
“แบบนั้นมันได้ซะที่ไหนล่ะ? กินข้าวคนอื่นแล้วทำไมจะไม่ต้องจ่ายเงิน?” โจวชิวเซียงปรายตามองโจวกุ้ยหลานด้วยสายตาที่ใช้มองคนโง่เง่าปัญญาอ่อน
คราวนี้โจวกุ้ยหลานควบคุมน้ำเสียงของตัวเองไม่ได้แล้วจริง ๆ: “ในเมื่อเจ้าให้ข้าจ่ายเงิน เช่นนั้นข้าจะไปกินที่ไหน ไม่ใช่ข้าที่เป็นคนจ่ายเงินตัดสินใจ แต่เป็นเจ้าซึ่งเป็นคนที่อยากได้เงินจากกระเป๋าข้าเป็นตัดสินใจว่างั้น?”
“เจ้า!” โจวชิวเซียงโกรธจนใบหน้าที่เดิมทีทาแป้งจนแดงเถือกอยู่แล้ว ยิ่งแดงเถือกขึ้นไปอีก
“ถ้าเจ้ามาเพราะเรื่องนี้ล่ะก็ รีบกลับไปจะดีกว่า ข้ายังหิวอยู่ ไม่มีเวลามาใส่ใจเจ้าหรอกนะ” โจวกุ้ยหลานพูดพลาง เอื้อมมือออกไปเตรียมจะปิดประตู
โจวชิวเซียงรีบยื่นมือขึ้นไปค้ำที่บานประตูไว้ทันที โจวกุ้ยหลานกลัวว่าพอถึงเวลานางจะมาหาเรื่องตัวเองเข้าอีก จึงรีบปล่อยมือทันที
เมื่อเห็นดังนั้น โจวชิวเซียงก็รีบผลักประตูเปิดออกทันที พูดอย่างดุดันว่า: “โจวกุ้ยหลาน ข้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้านะ เจ้ามีเงินแต่กลับไม่ยอมให้ข้าได้ส่วนแบ่งบ้างเลยรึ? ไม่ช่วยเหลือญาติตัวเอง แต่กลับไปช่วยเหลือคนนอกไม่หยุดหย่อน นี่เจ้าตั้งใจจะเป็นศัตรูกับข้าใช่หรือไม่ ?”
“เงินของข้า ข้าย่อมตัดสินใจเองได้ ไม่มีอะไรอื่นแล้วก็รีบ ๆ กลับไปซะ!” โจวกุ้ยหลานไม่คิดอยากจะพูดคุยอะไรกับนางอีกต่อไป
แค่มองดูใบหน้าดวงนี้ ดูปิ่นปักผมสีทองบนหัวด้ามนั้น นางหลงเหลือคำพูดแค่สองคำในสมองและสองตาเลยคือ : หยาบช้า!
“เงินของเจ้า? ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของข้าช่วยเหลือครอบครัวของเจ้าไว้ ป่านนี้เจ้าได้อดตายไปนานแล้ว! พ่อของข้าช่วยชีวิตคนในบ้านเจ้าไว้ทั้งบ้าน นี่เป็นสิ่งที่เจ้าติดค้างพวกเรา!” โจวชิวเซียงยื่นมือข้างหนึ่งออกมา แล้วชี้ไปที่ปลายจมูกของโจวกุ้ยหลาน ปากก็แผดเสียงตะโกนด้วยความโกรธเคือง
ช่างเป็นผู้หญิงที่พอได้รับผลประโยชน์แล้วก็ถีบหัวส่งโดยแท้ ไม่รู้จักตอบแทนน้ำใจผู้มีพระคุณ!
น่าขยะแขยงจริง ๆ ทำไมพี่ฉางหลินถึงได้หลงรักผู้หญิงพรรค์นี้เข้าไปได้?
เป็นคำพูดประโยคนี้อีกแล้ว นึกรำคาญกันบ้างไหมเนี่ย?
“เป็นอะไรไปล่ะ? ไม่กล้าพูดแล้วล่ะสิ? พูดออกไปแล้วคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนสิท่า! เจ้าลองดูสิ่งที่เจ้าทำกับพวกเราซิ มากินข้าวที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียง แต่ไม่ยอมไปกินที่โรงเตี๊ยมไป่เว่ย จะทำธุรกิจถ่านก็ยังไม่ยอมมาร่วมทุนกับเหล่าเฉียนของเรา นี่เจ้าจงใจเป็นศัตรูทางการค้ากับเหล่าเฉียนบ้านข้าใช่หรือไม่?”
ยิ่งโจวชิวเซียงพูดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมั่นอกมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น
คนตั้งมากมายขนาดนี้ ผู้หญิงคนนี้ต้องร้อนตัวแน่!
พอคิดแบบนี้ นางก็ยิ่งเย่อหยิ่งจองหองมากขึ้น: “ถ้าในใจเจ้ายังมีมโนธรรมอยู่บ้าง ก็จงมาทำธุรกิจกับเหล่าเฉียนของข้า ไม่งั้นล่ะก็ ข้าจะแฉเรื่องที่เจ้าเคยทำมาทั้งหมดให้คนอื่นรู้ แล้วข้าจะคอยดูว่าวันหลังเจ้าจะยังมีหน้าก้าวขาออกจากบ้านอยู่หรือไม่!”
เมื่อเถ้าแก่โจว ที่อยู่ในห้องได้ยินสิ่งที่โจวชิวเซียงพูด ในใจก็ตื่นตระหนกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว กลัวว่าโจวกุ้ยหลานจะรับมือไม่ไหว ไม่คิดจะร่วมมือกับเขาอีกต่อไป
นี่เป็นธุรกิจที่เขาสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก จะให้ยอมวางมือไปง่าย ๆ แบบนี้ เขาจะยอมได้อย่างไรล่ะ?
เมื่อคิดแบบนี้ เขาก็นั่งไม่ติดแล้ว รีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปที่ประตู ช่วยพูดแทนโจวกุ้ยหลานว่า: “กุ้ยหลานกับข้าเริ่มทำธุรกิจถ่านร่วมกันตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำไมกุ้ยหลานจะไม่มีมโนธรรมล่ะ?”
“เจ้าคือเถ้าแก่โจวรึ?” โจวชิวเซียงมองคนที่มา มองสำรวจขึ้น ๆ ลง ๆ อายุก็ดูจะไม่น้อยแล้ว ดู ๆ รูปร่างหน้าตาก็ไม่เท่าไหร่ ส่วนเสื้อผ้าที่ใส่ก็ทำจากผ้าฝ้ายธรรมดา ๆ ยังเทียบกับเหล่าเฉียนของนางได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
สวีฉางหลินเช็ดมุมปากตัวเองเบา ๆ ด้วยผ้าเช็ดปาก ลุกขึ้น แล้วเดินไปที่ประตูทีละก้าว ๆ ยังไม่ทันที่เขาจะเดินไปถึง ก็ได้ยินเสียงภรรยาตัวน้อยพูดจาเย้ยหยันขึ้นว่า “ข้าจะมีหรือไม่มีมโนธรรม มันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยล่ะ?”
“เจ้า! โจวกุ้ยหลาน เจ้าจงใจเป็นศัตรูกับข้าใช่หรือไม่? เจ้าแค่อิจฉาที่ข้าแต่งได้สามีดี มีเงินทอง เจ้าเลยไม่พอใจ เจ้ามันขี้อิจฉาตาร้อน!”
โจวชิวเซียงแผดเสียงตะโกนอย่างโกรธจัด
โจวกุ้ยหลานแค่นเสียงเย็นชาขึ้นมาอีกครั้ง: “อิจฉาเจ้า? อิจฉาหน้าแดง ๆ นี้ของเจ้าน่ะรึ?”
“อย่างเจ้าจะไปรู้อะไร? นี่เรียกว่าแป้งชาดแดงหรอก!” พูดถึงตรงนี้ โจวชิวเซียงก็ยกมือขึ้นลูบ ๆ ใบหน้าของตัวเอง ในใจนึกลำพองขึ้นมาเล็กน้อย
แป้งชาดสีแดงที่นางใช้อยู่ตอนนี้ เป็นแป้งชาดที่ดีที่สุดในตำบลแล้ว อย่างโจวกุ้ยหลานน่ากลัวว่าแม้แต่เห็นก็คงจะยังไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ ช่างน่าอับอายซะจริง!
“อ้อ คนอื่นเขาก็ทาแป้งชาดแดงเถือกเหมือนก้นลิงแบบเจ้าอย่างนี้ด้วยรึ?” โจวกุ้ยหลานชำเลืองหางตามองแวบหนึ่ง ปากก็พูดจิกกัดเย้ยหยันไปด้วย
“เจ้า! เจ้าก็แค่อิจฉาข้า! เจ้าไม่อยากให้ข้าใช้ชีวิตอยู่ดีมีสุข! โจวกุ้ยหลาน ข้าจะไม่เสียเวลาคุยอะไรกับเจ้าอีกต่อไปแล้ว วันนี้เจ้าต้องไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมไป่เว่ย แล้วก็ยังมีธุรกิจถ่านที่ต้อง……”
ยังพูดไม่ทันจบก็เห็นสวีฉางหลิน นางถึงกับชะงักค้างไปชั่วขณะ ในใจแอบรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
ถ้ารู้แต่แรกว่าพี่ฉางหลินอยู่ที่นี่ นางก็คงจะไม่แผดเสียงตะโกนดังลั่นแบบนั้นแล้ว ถ้าพี่ฉางหลินเกิดความประทับใจที่ไม่ดีกับนางขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ?
“พี่ฉางหลิน….”
โจวชิวเซียงกระซิบเรียกชื่อสวีฉางหลินเบา ๆ
น้ำเสียงนั้น แสนจะอ่อนโยน ทั้งยังแฝงความเหนียมอายน้อย ๆ
จากความกราดเกรี้ยวโมโหร้ายเมื่อครู่ มาจนถึงความที่จู่ ๆ ก็เหนียมอายอย่างกะทันหัน การเปลี่ยนแปลงนี้มากมายเกินไป จนหลายคนที่ดูอยู่ถึงกับแอบนึกแปลกใจกันเลยทีเดียว ผู้หญิงคนนี้ทำได้ยังไงกันนะ?
โจวกุ้ยหลานอดตัวสั่นไม่ได้: ” โจวชิวเซียง เจ้าควรเรียกว่าพี่เขยต่างหาก”
พี่หลินอะไรไม่ทราบ? สวีฉางหลินกลายเป็นพี่ชายของนางไปตั้งแต่เมื่อไหร่?
ไป๋ยี่เซวียนที่อยู่ข้างนอก ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจมองไปที่สวีฉางหลิน เมื่อเห็นว่าเขายังคงมีท่าทีเย็นชาดังที่เคยเป็นมาโดยตลอด ก็ย้ายสายตากลับไปที่โจวชิวเซียงอีกครั้ง ในใจผุดความคิดที่สุดแสนจะไร้สาระขึ้นมาประการหนึ่ง
คงไม่ใช่ว่าแม่โจวชิวเซียงคนนี้ จะตกหลุมรักสวีฉางหลินเข้าแล้วหรอกนะ? แบบนั้นกุ้ยหลานก็…..