นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 248 นอนกับเจ้า
เหล่าไท่ไท่ไม่ค่อยชอบเจ้าก้อนน้อย ไม่เพียงแต่โจวกุ้ยหลานเท่านั้นที่รู้ แต่สวีฉางหลินเองก็รู้เช่นกัน แม้จะพูดได้ว่าฉากหน้าเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร แต่สุดท้ายก็ยังทำให้เด็ก ๆ ได้ยินคำพูดแสลงหู จะสบายใจเท่ากับอยู่บ้านของตัวเองได้อย่างไรล่ะ?
นอกจากนี้ จะอย่างไรเสี่ยวเทียนก็ต้องชอบพ่อแม่ของตัวเองมากกว่าแน่
คราวนี้ สวีฉางหลินค่อยยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับโจวกุ้ยหลาน น้ำเสียงที่พูดแฝงความน้อยเนื้อต่ำใจ: “น้องนาง พวกเราไม่ได้นอนด้วยกันนานมากแล้วนะ”
ผู้ชายคนนี้นี่….ฟ้ายังไม่ทันมืดเลยนะ!
สีหน้าของโจวกุ้ยหลานออกแววขวยเขินสะเทิ้นอายเล็กน้อย ก้มหน้างุด เบนสายตาออกไปจากเขา: “ทำไมจะไม่ได้นอนล่ะ? ไม่ใช่ว่าได้นอนอยู่ทุกวันหรอกรึ?”
“ข้าไม่ได้นอนกับเจ้ามานานมากแล้ว” สวีฉางหลินไม่เปิดโอกาสให้นางเบี่ยงประเด็นแม้แต่น้อย พูดแบบตรงประเด็นไม่มีอ้อมค้อม
โจวกุ้ยหลานคิดจะหาทางเฉไฉก็ยังไม่ได้
ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยนอนด้วยกันมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่กลางวันแสก ๆ แบบนี้มาโดนสวีฉางหลินพูดใส่ตรง ๆ ในใจนางย่อมรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้างเล็กน้อย
“ถ้ามีเรี่ยวแรงดีขนาดนั้น ไม่สู้เอาไปทำงานให้มากขึ้นอีกหน่อยเล่า!” โจวกุ้ยหลานตอบกลับไปประโยคหนึ่ง
หัวใจของสวีฉางหลินร้อนรุ่มแทบจะลุกเป็นไฟ ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติอันโอชะมาก่อนเขาก็ยังพอจะทนได้ แต่นับจากได้ลิ้มรสอันหอมหวานนั้นแล้ว ในใจก็ยิ่งอยากนอนกับภรรยาให้มากขึ้น ติดอยู่ที่ว่าเพราะคืนแรกเขาเตลิดเกินไปหน่อย จนทำให้ภรรยาไม่สบายไปหลายวัน เขาเลยต้องฝืนอดทนอดกลั้นมาโดยตลอด
วันนี้เขาเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว มองดูท้องฟ้า จากนั้นก็โยนจอบขุดดินในมือทิ้งไปทันที ก้าวเดินยาว ๆ สองสามก้าวเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าโจวกุ้ยหลานที่นั่งยอง ๆ อยู่ ค้อมตัวลง แล้วอุ้มโจวกุ้ยหลานขึ้นมาทันที
โจวกุ้ยหลานร้องอุทานขึ้นมาเสียงหนึ่ง ด้วยความที่กลัวว่าจะตกลงไป จึงรีบเอาแขนโอบรอบคอของสวีฉางหลินไว้ทันที
“สวีฉางหลิน เจ้าจะทำอะไร?”
“นอนกับเจ้า”
“แต่นี่มันยังกลางวันแสก ๆ อยู่เลยนะ!” โจวกุ้ยหลานร้องคัดค้าน
อีกทั้งพวกเขาก็ยังทำงานอยู่ด้วยนะ!
สวีฉางหลินเหลือบมองนางแวบหนึ่ง น้ำเสียงยังคงจริงจังไม่เปลี่ยน: “นอนกับเจ้าก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไปรับลูกชายกลับ”
ใบหน้าของโจวกุ้ยหลานกระตุกอย่างหนักจนแทบดูไม่ได้ ฝืนบังคับระงับความอยากทุบตีเขาให้ตายคามือสุดขีด พยายามควบคุมน้ำเสียงตัวเอง แล้วต่อรองกับเขาว่า “เจ้าดูสิ วันนี้พวกเราเข้าตำบลไปก็ยุ่งกันมาทั้งวันแล้ว แถมยังเหนื่อยแล้วด้วย หรือไม่เราเลื่อนออกไปอีกสักสองวัน…..”
“เจ้านอนนิ่ง ๆ ก็พอ เดี๋ยวข้าขยับเอง” สวีฉางหลินตัดบทคำพูดของภรรยาตัวน้อยไปเลยตรง ๆ
เลือกวันไว้ก็สู้วันที่เหมาะสมไม่ได้ วันนี้ดีที่สุด
เรื่องแบบนี้ มันใช่เรื่องที่แค่ให้นางนอนนิ่ง ๆ แล้วจะไม่เหนื่อยได้ด้วยเรอะ?
ยังมีอีก กลางวันแสก ๆ แบบนี้ จะให้นางที่เป็นสาวใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงาน…. ไม่ใช่สิ! ให้นางที่เป็นผู้หญิงคนนึงทำแบบนี้ จะไม่น่าอายเกินไปหน่อยรึ?
นางพยายามดิ้นรน “สวีฉางหลิน พวกเราต้องรีบทำงานนะ ไม่อย่างนั้นเราจะปลูกหญ้าเนเปียร์แคระไม่เสร็จ พวกเราควรจะทำก่อน….”
“พรุ่งนี้เช้าข้าจะมาปลูกเอง”
สวีฉางหลินตัดบทคำขอร้องของโจวกุ้ยหลานอีกครั้ง
โจวกุ้ยหลานโกรธมากจึงพยายามดิ้นรนจะลงมาให้ได้ แต่น่าเสียดายที่สองแขนของสวีฉางหลินมั่นคงดังเหล็กกล้า ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นไม่นาน สวีฉางหลินก็อุ้มโจวกุ้ยหลานเข้าไปในเรือน ลงกลอนประตูเรือนจนแน่นสนิท อีกฟากหนึ่งของเรือน เสียงร้องของบรรดาเป็ด ไก่ หมูที่อยู่ในเล้า ต่างก็ดังอื้ออึงจนข้ามแปลงผักเข้ามาในเรือนทิศใต้ที่พวกเขาอยู่ หลังจากปิดประตูเรือนหลัก สวีฉางหลินก็วางโจวกุ้ยหลานลง
โจวกุ้ยหลานถอนหายใจด้วยความโล่งอก หันหลังกลับคิดจะวิ่งไปเปิดประตูเผ่นหนี น่ากลัวเกินไปแล้ว เรื่องนี้มันลำบากเกินไป นางไม่เอาด้วยหรอก!
ทันใดนั้น ที่หัวไหล่ก็ถูกชายคนหนึ่งคว้าไว้จนแน่น กดนางเข้ากับกำแพงอย่างง่ายดาย จากนั้นก็กดตัวเองตามลงไปอย่างดุดัน ไม่เปิดโอกาสให้นางขัดขืนได้แม้แต่น้อย
ดวงอาทิตย์ลอยเด่นอยู่เหนือท้องฟ้า สาดแสงส่องเข้ามาจากทางรอยแตกของประตู สะท้อนเงาร่างทั้งสองที่พัวพันคลอเคลียกันอยู่เนิ่นนาน…..
สวีฉางหลินอาบน้ำอาบท่าเสร็จ เปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าสะอาด ช่วยอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวให้โจวกุ้ยหลานที่หมดสติไปแล้ว อุ้มนางไปที่เตียงเตา นำผ้าห่มมาห่มให้นาง แล้วเดินออกจากบ้านลงเขาไปอย่างอารมณ์ดี
ล่วงเข้าสู่ช่วงอาทิตย์อัสดง เขาก็มาถึงบ้านของโจวต้าซาน เมื่อมอบเงินที่เดิมทีเป็นของเขาไปให้เสร็จเรียบร้อย ค่อยไปที่บ้านของเหล่าไท่ไท่ พอไปถึงประตูก็เห็นพวกเด็ก ๆ กำลังทำงานของตัวเองอยู่ ส่วนเจ้าก้อนน้อยกำลังนำซานญากับเสี่ยวหู่ให้เอาไม้มาขีด ๆ เขียน ๆ อะไรบางอย่างบนพื้นด้วยกัน
เมื่อเจ้าก้อนน้อยเห็นเขา ก็รีบลุกขึ้นยืน อาศัยสองขาอันสั้นป้อมวิ่งตรงเข้าไปหาพ่อของตัวเองอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้คนที่ได้กินจนอิ่มเต็มคราบบางคน ไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับลูกชายที่เอาแต่จ้องจะแย่งความสนใจจากภรรยาตัวเองทั้งวัน ยื่นมือออกไปประคองร่างกายที่วิ่งมาด้วยท่าทางโย้เย้ไม่มั่นคงของเขาให้นิ่ง
เจ้าก้อนน้อยคว้ามือของสวีฉางหลิน ฉุดเขาไปยังจุดที่เขานั่งยอง ๆ อยู่เมื่อครู่ สวีฉางหลินจึงยอมเดินตามเขาไป
ซานญากับเสี่ยวหู่พร้อมใจกันร้องทักเขาว่า “ท่านอา” เสียงหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าพูดอะไรอีก เพราะเมื่อคราวก่อนท่านอาถึงกับใช้แค่มือเดียว ก็ยกพ่อที่ตัวใหญ่ขนาดนั้นของพวกเขาได้แล้ว ดังนั้นก็แปลว่าท่านอามีความสามารถมากกว่าน่ะสิ!
รอจนเจ้าก้อนน้อยยืนได้มั่นคงแล้ว เขาก็ก้มหน้ามองลงไป จึงได้เห็นว่าเมื่อครู่นี้ลูกชายกำลังเขียนตัวหนังสือบนพื้น จากนั้นกิ่งไม้เล็ก ๆ นั่นก็ถูกยัดใส่เข้ามาในมือของเขา เจ้าก้อนน้อยใช้เท้าเช็ด ๆ ตัวหนังสือบนพื้นทิ้ง แล้วชี้ไปที่พื้นดิน: “พ่อ หู่!”
หู่? อะไร?
สวีฉางหลินไม่ค่อยเข้าใจนัก ก้มหน้าลงมองเจ้าก้อนน้อย
เมื่อเจ้าก้อนน้อยเห็นว่าพ่อของตัวเองไม่ขยับสักที ก็เริ่มมีท่าทางร้อนใจ: “หู่!”
“อะไรรึ?” สวีฉางหลินถามออกมาในที่สุด
“ท่านอาเล็ก ท่านช่วยสอนข้าเขียนชื่อของข้าหน่อยเถอะ!” เสี่ยวหู่ที่อยู่ข้าง ๆ รวบรวมความกล้าร้องตะโกนออกมา
คราวนี้ สวีฉางหลินค่อยเข้าใจสิ่งที่พวกเขาต้องการจะสื่อถึงได้ในที่สุด จากนั้นจึงย่อตัวลง หยิบกิ่งไม้มาขีด ๆ วาด ๆ บนพื้นเพื่อเขียนเป็นตัวอักษร พวกเด็ก ๆ ต่างเข้ามารุมล้อมเขากันให้สลอน
ในตอนที่เหล่าไท่ไท่เอาผักที่ล้างเสร็จกลับมาจากข้างนอก ก็เห็นภาพฉากนี้เข้าพอดี จึงห้ามไม่ให้พวกเสี่ยวหู่เข้าไปรุมล้อมสวีฉางหลินแบบนั้น พอสวีฉางหลินบอกว่าเขากำลังสอนเด็ก ๆ เขียนชื่อของตัวเองอยู่ เหล่าไท่ไท่จึงไม่ได้ว่าอะไรพวกเด็ก ๆ อีก
หลังจากเขียนอักษรตัวนั้นเสร็จแล้ว เด็ก ๆ ต่างก็มีความสุขกันจนล้นปรี่ รีบคุกเข่าลง ค่อย ๆ ใช้กิ่งไม้ลากเป็นตัวอักษรบนพื้นช้า ๆ สวีฉางหลินมอบเงินส่วนของวันนี้ให้กับเหล่าไท่ไท่ ทำเอาเหล่าไท่ไท่ยิ้มร่าจนหุบปากไม่ลงเลยทีเดียว
ลูกเขยคนนี้นางยิ่งมองก็ยิ่งพอใจ ยิ่งดูก็ยิ่งชอบจริง ๆ!
“แม่จะไปทำอาหารแล้ว พวกเจ้าอยู่กินข้าวกันที่นี่ก่อนค่อยไปเถอะนะ จริงสิ แล้วกุ้ยหลานล่ะ?”
พูดพลาง นางก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน พอกุ้ยหลานได้ยินเสียงของนางก็จะต้องรีบออกมาทันที แต่ทำไมวันนี้ผ่านไปจนจะหมดวันอยู่แล้ว นางก็ยังไม่เห็นพวกเขาเลยล่ะ?
“นางเหนื่อยน่ะ เลยพักผ่อนอยู่ที่บ้าน” สวีฉางหลินตอบ เมื่อนึกถึงท่าทางขวยเขินสะเทิ้นอายของภรรยาตัวน้อยของเขา มุมปากก็ยกโค้งขึ้นจนปรากฏเป็นรอยยิ้ม
เหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้วมุ่น: “ฟ้ายังไม่มืดเลยนะ ทำไมถึงหลับเสียแล้วล่ะ? ช่างเกียจคร้านไม่ได้ความเสียจริง ฉางหลิน ถ้าคราวหน้านางทำแบบนี้อีกล่ะก็ เจ้าต้องต่อว่านางแล้วนะ ข้าจะยืนอยู่ฝั่งเจ้าแน่ เข้าใจหรือไม่?”
“กุ้ยหลานเหนื่อยมากแล้วจริง ๆ นะแม่” สวีฉางหลินไม่ตอบรับคำพูดของเหล่าไท่ไท่ แต่กลับแก้ตัวให้โจวกุ้ยหลานแทน
ลูกสาวของตัวเองถูกลูกเขยตามใจขนาดนี้ เหล่าไท่ไท่ย่อมมีความสุขเป็นธรรมดา ปากนางไม่พูดจาต่อว่าอะไรอีก แต่ในใจกลับคิดว่าคราวหน้าจะปล่อยให้กุ้ยหลานทำตัวเอาแต่ใจแบบนี้อีกไม่ได้แล้ว
ขณะที่คุยกันอยู่ โจวคายจือก็เดินเข้ามาในบ้าน บนไหล่ยังแบกจอบมาด้วยด้ามหนึ่ง สวมหมวกฟางไว้บนหัว เมื่อเห็นสวีฉางหลินก็เอ่ยปากทักทาย จากนั้นก็ถูกเสี่ยวหู่ที่กำลังมีความสุขจนล้นปรี่ ตรงเข้ามาลากไปดูชื่อของเขาที่เขาเขียนเองทันที
สวีฉางหลินถอนสายตากลับมา พูดกับเหล่าไท่ไท่ว่า “แม่ อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว คนเริ่มเผาถ่านกันน้อยลงแล้วล่ะ จากนี้ไปอีกเดือนนึงก็คงจะเอาแค่สองไม่ก็สามร้อยจิน ให้พี่ชายเริ่มทำไร่เถอะ ถ้าพวกแม่ทำไม่ไหวก็เรียกพวกเราแล้วกัน”