นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 256 หย่าร้าง5
“อ้อข้าเข้าใจแล้ว สมองของเจ้ามีปัญหาแน่ ให้หมอหวังช่วยดูให้เจ้าไหม? เมื่อกี้ข้าเพิ่งเชิญหมอหวังมาที่หมู่บ้านต้าสือ มาดูให้ได้สะดวก” รอยยิ้มโจวกุ้ยหลานยิ่งกว้างขึ้น น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความเหน็บแนม
โถ่ๆ ผู้หญิงแปลกประหลาดคนนี้ พี่สาวใหญ่หลงรักเขาไปได้ยังไง คนแบบนี้ ไม่หย่าร้างจะเก็บไว้บูชาหรือ? ไม่ได้ สิ่งที่ขบขันที่สุดในวันนี้ก็ล้วนคือเขา
ในใจซุนโก่วต้านอัดอั้น ไม่รู้จะระบายยังไง ทำยังไงก็ไม่มีความสุข แม่ของเขาโกรธแย่แล้ว ในฐานะที่กุ้ยหลานอายุน้อยกว่า ไม่ควรที่จะเอาใจแม่ของเขา ทำให้แม่ของเขาสบายใจหรือ?
ทำไมน้องคายจือถึงไม่รู้เรื่องแบบนี้? ไม่รู้ว่าอะไรคือกตัญญู ถึงว่าแม่ของเขาไม่ชอบคายจือ ลับหลังของเขาจะต้องไม่ดีกับแม่ของเขาแน่
“ข้าว่า หากเจ้ากตัญญู ก็ให้แม่ของเจ้าตบตีเจ้าเพื่อระบายความโกรธ ไม่งั้นแม่ของเจ้าอายุมากขนาดนี้แล้ว หากโมโหจนเป็นอะไรขึ้นมา หกลัมลงพื้น จะเสี่ยงต่อชีวิตนะ”
โจวกุ้ยหลานพูดขึ้นมาอีก
คิดไม่ถึงว่าเมื่อนางพูดออกมาเช่นนี้ ซุนโก่วต้านที่อยู่ทางด้านนั้นแสดงสีหน้าหวาดกลัว จากนั้นก็รีบวิ่งกลับไป ฉุดดึงป้าซุน ไม่ให้นางโกรธโมโห ป้าซุนคนนั้นกำลังทะเลาะกับคนอื่น เมื่อถูกลูกของตนเองฉุดดึงไว้ จึงเสียเปรียบคนอื่น ก่นด่าไม่ไหว ในใจของนางโกรธโมโหอย่างมาก จึงยกมือขึ้นมาตบหน้าซุนโก่วต้านไปหลายที
ทั้งสองคนฉุดดึงกัน พวกป้าพวกนั้นค่อยสบายขึ้นหน่อย ก่นด่าก็ยิ่งดุเดือดขึ้น
โจวต้าไห่มองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึงตาค้าง พร้อมพูดขึ้นว่า “กุ้ยหลาน เราจะทำอย่างไรดี?”
“ดูไปก่อนสิ เดี๋ยวกำนันมา ก็จะไม่สนุกแบบนี้แล้ว” สายตาโจวกุ้ยหลานจ้องมองดูแม่ลูกพิสดารตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เสียดายจริงๆ ที่ไม่ได้เอาเมล็ดทานตะวันออกมาด้วย
คึกคักกันขนาดนี้ สักพัก ป้าซุนก็เหนื่อยแล้ว ใบหน้าซุนโก่วต้านก็บวมจนดูไม่ได้ แต่ก็ยังพูดขอร้องให้ป้าซุนอย่าโกรธโมโหจนเสียสุขภาพ
“โชคดีที่สวีฉางหลินไม่มีแม่” โจวกุ้ยหลานอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” โจวต้าไห่ได้ยินไม่ชัดเจน จึงหันมาถามโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานเดินออกมาจากทางด้านหลังของเขา พร้อมส่ายหัวพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไร ข้าก็แค่พูดว่าข้าไม่มีพ่อแม่สามีให้กตัญญู ถือว่าไม่เลว”
แน่นอน สวีฉางหลินก็ไม่ใช่ซุนโก่วต้าน นางเองก็ไม่ใช่พี่สาวใหญ่
ในใจครุ่นคิด สายตาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองทางด้านที่สวีฉางหลินจากไป แล้วก็มองเห็นสวีฉางหลิน กำลังแบกคนคนหนึ่งวิ่งมาทางนี้
โจวกุ้ยหลานตกใจ เมื่อจ้องมองดู ก็เห็นว่าสวีฉางหลินกำลังแบกกํานันมา
ผู้ชายของนาง แบกผู้ชายคนหนึ่ง
สวีฉางหลินรวดเร็วอย่างมาก ไม่นานก็แบกกํานันมาถึงที่นี่ โจวต้าไห่เห็นแล้วก็รีบไปช่วยประคองกํานัน สวีฉางหลินวางกํานันลงยนพื้น กํานันคนนั้นมึนงงเวียนหัว แทบจะยืนไม่ไหว โชคดีที่โจวต้าไห่ประคองไว้
“ลุงกํานัน ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?” โจวต้าไห่รีบถามกํานันที่โซเซไปมา
กํานันคนนั้นโบกมือ บ่งบอกว่าตนเองไม่เป็นไร แต่สีหน้าค่อนข้างขาวซีด
พาเขาวิ่งมาตลอดทาง จนกระดูกอันมีอายุของเขาแทบกระจาย
เมื่อป้าซุนมองเห็น ก็รีบคว้าดึงซุนโก่วต้าน จนซุนโก่วต้านยืนขึ้นมาพร้อมแรงดึงของแม่เขา แล้วรีบเดินมตรงหน้ากํานัน ป้าซุนคนนั้นรีบพูดกับกํานันทันทีว่า “กํานัน ในที่สุดท่านก็มา บ้านของเราจะหย่าภรรยา ท่านรีบช่วยพวกเราเขียนหนังสือหย่า”
“อะไรนะ?” ตอนนี้กํานันยังค่อนข้างมึนงง ได้ยินเสียงหึ่งในหูของตนเอง
“หนังสือหย่า ตระกูลซุนของเราจะหย่ากับโจวคายจือ” ป้าซุนกลัวกํานันไม่ได้ยิน เสียงจึงดังขึ้นหลายเท่า
บรรดาแม่ยายและลูกสะใภ้ที่อยู่รายล้อมโอบล้อมมาอย่างรวดเร็ว ก่นด่าป้าซุน ความหมายก็คือโจวคายจือไม่ได้ทำอะไรผิด หย่ากับนางไม่ได้
กํานันอยู่ตรงกลางอย่างปวดหัว ตะโกนอยู่หลายครั้ง ผู้หญิงพวกนั้นก็ยังคงทะเลาะกันอย่างรุนแรง
โจวกุ้ยหลานรีบก้าวเดินไปดึงสวีฉางหลินออกมา มองดูสถานการณ์ทางนั้น แล้วก็กระซิบถามเขาว่า “เจ้าคุยเรื่องนี้ให้ลุงกํานันรู้เรื่องหรือยัง?”
“ยัง” สวีฉางหลินพูดขึ้นมาอย่างหน้าตาเฉย
“ทำไมเจ้าไม่พูดก่อน?” โจวกุ้ยหลานถามขึ้น
พูดก่อนเป็นฝ่ายได้เปรียบ เจ้าเป็นคนไปหา ถือว่าเป็นโอกาสดีที่สุด
สวีฉางหลินหันไปมองดูกํานัน แล้วก็หันกลับมามองดูภรรยาของตน พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าพูดไม่เป็นธรรม”
คำพูดประโยคนี้ ทำให้โจวกุ้ยหลานหายโมโหลงบ้าง เพราะยังไงเขาก็เป็นคนพูดไม่ค่อยเป็นธรรมจิงๆ
จึงไม่สร้างความลำบากใจให้เขา แต่คิดได้ถึงอีกเรื่องหนึ่ง จึงเปลี่ยนไปพูดถึงโจวคายจือ พร้อมถามสวีฉางหลินว่า “หากนางหย่าร้างแล้วจริงๆ ข้าให้นางกลับลูกมาอยู่กับเราได้ไหม? ต่อไปงานที่บ้านเราจะมีเยอะ มีนางคอยช่วย เราจะได้ขยายกิจการ….”
พูดถึงเรื่องนี้ โจวกุ้ยหลานค่อนข้างละอายใจ เพราะยังไงเรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องภายในครอบครัวของนาง ไม่รู้ว่าสวีฉางหลินจะคิดยังไง
เพิ่งพูดเสร็จ สวีฉางหลินก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
โจวกุ้ยหลานมองเห็นท่าทีของเขาแล้วก็ยิ่งขาดความมั่นใจ กลัวเขาไม่ยินยอม จึงพูดขึ้นอีกว่า “หากไม่ได้ เราก็ให้พวกเขายืมเงิน หาที่อยู่ให้กับพี่สาวใหญ่ของข้า รอต่อไปนางมีชีวิตที่ดีแล้ว ค่อยให้นางคืนให้กับพวกเรา?”
พูดถึงขนาดนี้แล้ว สวีฉางหลินก็ยังขมวดคิ้ว และดูไม่ค่อยพอใจ
โจวกุ้ยหลานจึงพูดขึ้นมาอย่างโกรธโมโหว่า “สวีฉางหลิน ทำไมเจ้าถึงใจร้ายใจดำขนาดนี้ นางเป็นพี่สาวใหญ่ของข้า ยังไงก็ต้องช่วยเหลือ….”
“นางมาอยู่กับเรา ข้าก็จะไม่ได้นอนกับเจ้า” สวีฉางหลินเศร้าสร้อย
นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่ได้นอนกอดภรรยาของตนเองจะทรมานขนาดไหน? ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะทำให้เสี่ยวเทียนไปนอนคนเดียว อีกอย่างเขาอดทนมาตั้งนานขนาดนี้ กว่าจะได้นอนกับภรรยา…..
โจวกุ้ยหลานฟังอยู่อย่างหน้าแดง เหลือบหันไปมองคนรอบๆ เห็นว่าไม่มีใครสนใจนาง ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย แล้วก็รีบพูดปลอบสวีฉางหลินว่า “ไม่เป็นไร ตอนกลางคืนต่างคนต่างก็นอนในห้องของตนเอง ไม่รบกวน…..”
ไม่รอให้นางพูดจบ สวีฉางหลินก็พูดแทรกนางขึ้นมาอีกครั้งว่า “เจ้าจะอาย ไม่ให้ข้าแตะต้อง”
เรื่องนี้ เขารู้จักภรรยาของตนเองดี ไม่อย่างงั้นเขาก็จะต้องมีชีวิตเหมือนอย่างพระสงฆ์หรือ?
โจวกุ้ยหลานแทบจะเป็นบ้า กลางวันแสกๆ ด้านข้างยังมีคนมากมายขนาดนั้น เขาก็ยังพูดถึงแต่เรื่องนี้?
จู่ๆมือก็ถูกคว้าจับไว้ โจวกุ้ยหลานตกใจ เงยหน้าหันไปมองสวีฉางหลิน แล้วก็เห็นเขาพูดขึ้นมาอย่างจริงจังว่า “เจ้าดูสิ เจ้าอาย”
นี่จะไม่ให้อายได้อย่างไร? ดูสิที่นี่มีคนตั้งมากมายเท่าไหร่?
ต่อไปจะออกจากบ้านได้อย่างไร?
โจวกุ้ยหลานแอบบ่นอยู่ในใจ จากนั้นก็คิดถึงโจวคายจือกับพวกเด็กๆ จึงฮึดสู้ เขย่งเท้า ฉวยโอกาสตอนที่คนพวกนั้นไม่ได้มองมาทางนี้ นางรีบหอมแก้มสวีฉางหลิน จ้องมองตาสวีฉางหลิน พร้อมพูดขึ้นว่า “แบบนี้ดีหรือยัง?” ร่างกายสวีฉางหลินแข็งทื่อ ยื่นมือจะไปโอบกอดภรรยา โจวกุ้ยหลานเบี่ยงกาย หลบหลีกแขนของเขาที่ยื่นมาหา