นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 263 ไม่ใช่คนทั้งภายในและภายนอก
โจวกุ้ยหลานหน้าแดง
เดิมนางก็อยากเรียนหนังสือ คิดว่าจะไปนั่งฟังตอนที่หลิวเกาสอน พอสวีฉางหลินรู้เรื่อง ก็ให้นางล้มเลิกความคิด แล้วสอนนางเองทุกคืน เพราะยังไงตอนนี้พวกเขาก็ไม่สามารถทำอย่างอื่น…..
แน่นอนว่าตอนกลางวันนางอาบแดดอยู่อย่างน่าเบื่อ ก็จะใช้กิ่งไม้ขีดเขียนบนพื้น สักพักก็สามารถลบทิ้งเขียนใหม่ได้อีก จนตอนนี้นางสามารถอ่านหนังสือได้อย่างไม่มีปัญหา
เจ้าก้อนน้อยก้มหน้าลงอย่างหดหู่ พร้อมพูดขึ้นว่า
“เสี่ยวเทียนโง่ วันหนึ่งเสี่ยวเทียนจำได้ไม่ถึงร้อยคำ….”
โจวกุ้ยหลานเห็นแล้วก็สงสาร เอื้อมมือจะไปอุ้มเขา สวีฉางหลินเหมือนดูออกว่านางจะทำอะไร จึงเอียงตัวเบียดเจ้าก้อนน้อยออกไป แล้วเขาเดินตรงกลาง
ผู้ชายคนนี้ ไม่สนใจความรู้สึกของเจ้าก้อนน้อยเลย
ไม่สามารถจูงมือของเจ้าก้อนน้อย โจวกุ้ยหลานจึงจำต้องเอียงหัวไปพูดปลอบเจ้าก้อนน้อยว่า “เสี่ยวเทียนไม่ต้องเสียใจ แม่เป็นผู้ใหญ่ หัวใหญ่กว่าเจ้า จึงเรียนรู้ได้เร็ว หัวของเจ้าเล็ก จึงสามารถใส่ข้อมูลได้ไม่เยอะ”
เจ้าก้อนน้อยยกมือแตะริมฝีปากของตนเอง เงยหน้ามองดูแม่ของตน พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนหวานว่า “งั้นเสี่ยวเทียนไม่เรียนแล้ว รอหัวใหญ่แล้วค่อยเรียน”
นี่….. ความคิดนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ผิด…..
โจวกุ้ยหลานพูดไม่ออก กำลังคิดอยู่ว่าจะตอบยังไง สวีฉางหลินก็พูดขึ้นมาว่า “เจ้าไม่เรียน หัวจะขยายใหญ่ได้ยังไง?”
นี่…. กำลังหลอกลวงเด็กจริงๆ….
เจ้าก้อนน้อยครุ่นคิด เห็นว่าพ่อพูดถูก จึงพยักหัวพร้อมพูดขึ้นว่า “งั้นเสี่ยวเทียนจะตั้งใจเรียน รอหัวขยายใหญ่แล้ว เสี่ยวเทียนก็ฉลาดแล้ว”
เพิ่งพูดเสร็จ เท้วก็เตะถูกก้อนหิน ร่างกายน้อยๆล้มไปข้างหน้า
สวีฉางหลินยื่นมือขวาจับแขนของเขาไว้ แล้วประคองเขาขึ้นมายืน
กลัวว่าเขาจะหกล้มอีก จึงจับมือเขาไว้แล้วก็เดินต่อไป
โจวกุ้ยหลานละอายใจ นางเป็นคนที่เคยร่ำเรียนมาแล้วคนหนึ่ง ตอนนี้กลับมาเรียนตัวอักษรเต็มอีกครั้ง จึงถือว่าเรียนรู้ได้ไว แต่เจ้าก้อนน้อยไม่เคยร่ำเรียนมาก่อน เวลาเรียนจึงค่อนข้างเรียนรู้ได้ช้า นางจะทำให้เจ้าก้อนน้อยรู้สึกเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้อีกไม่ได้ จะต้องรีบเปลี่ยนเรื่องพูด
ถามถึงความก้าวหน้าในการเรียนของเจ้าก้อนน้อย ซึ่งเจ้าก้อนน้อยสามารถท่องคัมภีร์ตรีอักษรได้แล้ว ระหว่างทางจึงท่องคัมภีร์ตรีอักษรให้พวกเขาทั้งสองคนฟัง
ทั้งสามคนเดินมุ่งหน้าไปที่บ้านของหมอหวังอย่างเชื่องช้า เจ้าก้อนน้อยท่องคัมภีร์ตรีอักษรเสร็จ สวีฉางหลินก็ให้เขาท่องย้อนกลับมา
“เสี่ยวเทียนยังเล็กอยู่ เจ้าให้เขาท่องย้อนกลับแบบนี้ เขาจะทำได้ยังไง?” โจวกุ้ยหลานช่วยพูดให้กับเจ้าก้อนน้อย
สวีฉางหลินกลับไม่สะทกสะท้าน แล้วพูดขึ้นว่า “ท่องย้อนกลับไม่ได้ ไม่ถือว่าจำได้”
“เจ้าโหดเกินไปไหม? ท่องย้อนกลับไม่มีประโยชน์ จะทำให้สับสนได้ง่ายๆ” โจวกุ้ยหลานเดินไปด้วย ช่วยเจ้าก้อนน้อยเรียกร้องความยุติธรรมไปด้วย
ตอนที่นางเรียนหนังสือ ก็ไม่ชอบการท่องหนังสือที่สุด ถึงแม้ตอนนี้จะรู้ว่ามีความจำเป็น แต่นางก็เห็นใจลูกของตนเอง
“ตอนที่ข้าอายุสี่ขวบ สามารถย้อนท่องคัมภีร์ตรีอักษรกับตำราพันอักษร” สวีฉางหลินไม่เถียงโจวกุ้ยหลาน เพียงแค่พูดถึงตัวเองเป็นตัวอย่าง
โจวกุ้ยหลานแอบตกใจ หวนกลับไปคิดถึงตอนที่ตนเองอายุสี่ขวบ ดูเหมือนกำลังเล่นดินโคลนอยู่….
จึงรีบสะบัดความคิดในหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “นั่นเป็นเพราะเจ้าเรียนหนังสือไว เสี่ยวเทียนของเราเพิ่งได้เรียนโดยมีครูสอนปีนี้เอง”
“ข้าก็เริ่มเรียนหนังสือตอนอายุสี่ขวบ” สวีฉางหลินพูดตอบอย่างเรียบเฉย
อันนี้…..โจวกุ้ยหลานกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะตอบยังไง เจ้าก้อนน้อยกลับพยักหัวอย่างตื่นเต้น พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าท่องย้อนกลับ”
จากนั้นก็เริ่มท่องคัมภีร์ตรีอักษรย้อนกลับ
สวีฉางหลินคอยบอกเขาอยู่ด้านข้าง ตลอดทางที่เดินโลมา โจวกุ้ยหลานพบว่าสวีฉางหลินสามารถท่องย้อนได้คล่องแคล่วมาก
จู่ๆนางก็มีความคิดขึ้นมาว่า ความรู้ของสวีฉางหลินมีมากกว่าหลิวเกาหรือเปล่า…..
เจ้าก้อนน้อยฉลาดมาก ท่องทีละนิดในระหว่างทางที่เดินมา แล้วก็สามารถท่องได้ห้าถึงหกส่วนแล้ว
ในขณะที่โจวกุ้ยหลานแอบคิดว่าเขาฉลาด พวกเขาก็มาถึงบ้านหมอหวังแล้ว
เมื่อเข้าไปในบ้าน ก็เห็นหมอหวังกำลังตากงาดำ
เขาทักทายชวนโจวกุ้ยหลานกับสวีฉางหลินมานั่ง ช่วยตรวจชีพจรให้กับโจวกุ้ยหลาน จากนั้นก็ขมวดคิ้วถามขึ้นว่า “ร่างกายของเจ้า ยังพร่องอย่างรุนแรง เลือดลมไหลเวียนไม่ดี พร้อมทั้งหยินและหยาง….”
“งั้นก็แสดงว่าการอาบแดดไม่ได้ช่วยอะไรเลย?” โจวกุ้ยหลานรีบถามขึ้นมา
ฤดูร้อนแบบนี้ แดดแรงจนนางทนไม่ไหว อากาศร้อนอย่างมากทุกวัน อันนี้ยังไม่สำคัญ ที่สำคัญคือนางว่างจนเบื่อจะขึ้นราแล้ว ทำงานก็ไม่ได้ ยังมีผิวของนางที่กว่าจะขาวขึ้นมา ตอนนี้ก็ดำหมดแล้ว
หากจะให้ตากดดแบบนี้ต่อไป นางคงจะดำยิ่งกว่าสวีฉางหลิน
“ต่อไปจะต้องดูแลบำรุงให้ดี ข้าจะให้ยาเจ้าไปอีกหลายชุด ช่วงนี้ข้ากำลังตากงาดำ ถ้าทำเสร็จแล้วจะเอาไปให้เจ้าทาน
หมอหวังพูดพร้อมกับหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนใบสั่งยา
โจวกุ้ยหลานแทบอยากร้องไห้ พร้อมพูดขึ้นว่า “งั้นต่อไปให้เคลื่อนไหวหน่อย แบบนี้น่าจะดีกว่าไหม?”
“เคลื่อนไหวบ้างก็ดี แต่อย่าให้เหงื่อไหล ไม่อย่างงั้นจะหมดเรี่ยวแรง” หมอหวังแนะนำโจวกุ้ยหลานอีกครั้ง
โจวกุ้ยหลานไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้แล้ว แต่สวีฉางหลินที่อยู่ด้านข้าง สอบถามอยู่อย่างละเอียด แล้วก็ถามเรื่องบนเตียงอีก ความคิดเห็นของหมอหวัง ละเลยไม่ได้
สุดท้ายก็ทายาอยู่ที่บ้านหมอหวัง แล้วก็พากันกลับ
“กลับไปข้าสอนมวยไท่เก๊กให้กับเจ้า” สวีฉางหลินพูดขึ้น
“มวยไท่เก๊ก ข้าเป็นสิบแปดท่า” โจวกุ้ยหลานพูดตอบ
ภพที่แล้วเคยเรียนในมหาวิทยาลัย ยังสอบผ่านแล้วด้วย นางได้คะแนนสูงถึงเก้าสิบแปดคะแนน
สวีฉางหลินกลับประหลาดใจ แต่ก็ไม่ถามอะไรมาก เดินตามโจวกุ้ยหลานกลับหมู่บ้านตนเองไป
รอเมื่อพวกเขากลับมาถึงบ้าน ฟ้าก็ใกล้มืดลงแล้ว เห็นว่าฟ้าจะมืดลงแล้วพวกเขาก็รีบเร่ง ร้องเมื่อพวกเขากลับมาถึง ทุกคนก็นั่งทานข้าวค่ำพร้อมหน้ากัน
เพราะมีเรื่องเมื่อตอนกลางวัน ทุกคนจึงต่างก้มหน้ากินข้าวไม่พูดไม่จา
โจวกุ้ยหลานทำเป็นเหมือนมองไม่เห็น คีบผักให้เจ้าก้อนน้อย เมื่อทานข้าวเสร็จ อาบน้ำเสร็จแล้วก็ไปที่ห้องเจ้าก้อนน้อย เล่านิทานให้เจ้าก้อนน้อยฟัง รอเมื่อเจ้าก้อนน้อยหลับแล้ว นางค่อยปิดประตูกลับไปที่ห้องของตนเอง
เมื่อเข้ามาในห้องหลัก ก็เห็นโจวคายจือยืนถูมืออยู่ตรงกลางห้อง
โจวกุ้ยหลานเดินไปพูดทักทายว่า “พี่สาวใหญ่ มีธุระหรือ?”
เห็นโจวกุ้ยหลานพูดคุยกับนาง โจวคายจือก็แอบโล่งใจ เดินหน้าไปหลายก้าว
“กุ้ยหลาน วันนี้พี่ไม่ดีเอง ปล่อยให้ซุนโก่วต้านมาสร้างความเดือดร้อนในบ้าน ทำให้เจ้าไม่สบายใจ พี่ขอโหทษเจ้า….”
นางพูดอยู่อย่างต่อเนื่อง โจวกุ้ยหลานก็ไม่พูดแทรก
รอเมื่อนางพูดเสร็จ โจวกุ้ยหลานค่อยพูดขึ้นว่า “พี่สาวใหญ่ เจ้าเป็นพี่สาวใหญ่ของข้า เจ้าคิดว่าข้าไม่สบายใจเพราะกลัวเรื่องเดือดร้อนหรือ หากกลัวเรื่องเดือดร้อน ข้าก็จะไม่ให้เจ้าพาลูกมาช่วยงานที่บ้านข้า”
โจวกุ้ยหลานเงียบไปสักพัก แล้วพูดขึ้นมาอีกว่า “พี่สาวใหญ่ ข้าต้องการลักษณะท่าทีของพวกเจ้า ข้าช่วยเรียกร้องความยุติธรรมให้กับพวกเจ้า แต่สุดท้ายพวกเจ้ากลับโทษข้า เห็นว่าข้าโหดเหี้ยมกับซุนโก่วต้านเกินไป ข้ากลายเป็นคนยังไงไปแล้ว?”
“พวกเราก็ไม่ได้เห็นว่าเจ้าทำไม่ถูก และก็ไม่มีใครพูดขึ้นมาไม่ใช่หรือ?” โจวคายจือรีบพูดอธิบาย
โจวกุ้ยหลานส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าไม่พูด แต่ในใจพวกเราคิดแบบนี้ พี่สาวใหญ่ ตอนนั้นเจ้ากับพวกลูกๆมีลักษณะท่าทียังไงก็เห็นกับตา ข้าไม่บังคับพวกเจ้า ยังไงพวกเจ้าก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน พวกเด็กๆเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา แต่เรื่องแบบนี้ข้าไม่เห็นชอบ พวกเจ้าลองคิดดูให้ดี หากยังเห็นว่าเขาเป็นคนในครอบครัว งั้นพวกเจ้าก็วางแผนชีวิตในอนาคตให้ดี”