นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 283 น้ำท่วม 3
ท่อนไม้ซึ่งตากแดดไว้มีเพียงร้อยท่อนเท่านั้น หลังจากผูกมัดจนไม่เหลือแล้ว ผู้ชายบนภูเขาหยิบขวานขึ้นมา ใช้แรงฟันต้นไม้ แม้จะช้าแต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
มีเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายและเสียงร้องไห้ไปทั่วทุกพื้นที่
หลังจากโจวกุ้ยหลานฟื้นตัว นางกับโจวคายจือก็ปลีกตัวออกจากผู้ที่คอยให้ความช่วยเหลือ กลับลงมาที่ตีนเขา เมื่อเห็นว่าระดับน้ำสูงขึ้นมาก บนภูเขาก็เต็มไปด้วยผู้คน ซึ่งตอนนั้นมีคนจำนวนไม่น้อยยืนอยู่รอบด้านและกำลังตะโกนหาญาติพี่น้องของตนเอง
โจวกุ้ยหลานไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ หยิบไม้ท่อนหนึ่งโยนลงไปในน้ำ พายไปทิศทางบ้านซึ่งเหล่าไท่ไท่อาศัยอยู่
สายฝนมักจะทำให้ผู้คนรู้สึกไร้เรี่ยวแรง โดยเฉพาะในตอนที่นางรู้สึกเหนื่อยเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อนึกถึงเหล่าไท่ไท่ นางกัดฟันและเดินหน้าต่อไป
บ้านของเหล่าไท่ไท่ค่อนข้างห่างไกลจากภูเขาบริเวณนี้ นางต้องใช้แรงในการพายเป็นอย่างมาก รู้ว่าบ้านของโจวต้าซานอยู่ไม่ไกล และได้ยินเสียงเหล่าเด็ก ๆ ในบ้านของโจวต้าซานร้องตะโกนออกมา
นางกัดฟัน พายไปหาโดยใช้ความพยายามอย่างมาก ตอบเสียงตะโกนที่ดังมาจากด้านนั้นกลับไป “ลุงใหญ่ ?”
“กุ้ยหลาน ? ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ ?” โจวต้าซานพูดออกมาด้วยความตกใจ
“กุ้ยหลาน ! เจ้ารีบหาทางช่วยพวกเราเร็ว !” หวังหยู่ชุนร้องออกมา
เด็กหลายคนก็ร้องไห้ออกมาน่าสงสารเสียยิ่งกว่านาง
“พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ตอนนี้ทุกคนกำลังเร่งให้ความช่วยเหลืออยู่ เจ้าบอกข้าทีว่าน้ำมันขึ้นไปถึงไหนแล้ว ?” ยิ่งเป็นเวลาที่น่าตื่นตระหนกมากแค่ไหน โจวกุ้ยหลานก็ต้องยิ่งสงบมากเท่านั้น
“ข้าก็ไม่รู้ ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะขึ้นมาถึงหน้าต่างแล้ว !” เสียงของเอ้อร์เฉียงค่อนข้างร้อนรน
ได้ยินเช่นนั้นโจวกุ้ยหลานก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
บ้านของลุงใหญ่นั้นอยู่บนพื้นที่สูง โครงสร้างบ้านของเขาก็ค่อนข้างสูง ดังนั้นคงจะทนต่อไปได้อีกนานพอสมควร
“คนในหมู่บ้านกำลังมาช่วยพวกเจ้า พวกเจ้าไม่เป็นอะไรแน่ พี่เอ้อร์เฉียง เจ้าลองหาดูว่าในบ้านมีอ้างไม้หรือถังไม้ลอยอยู่หรือเปล่า หากเจอก็ลองช่วยตัวเอง ข้าขอตัวไปดูแม่ของข้าก่อนว่าพวกเขาเป็นอะไรหรือไม่ อีกเดี๋ยวจะกลับมาหาพวกเจ้า”
“กุ้ยหลานอย่าเพิ่งไป ! เจ้าช่วยพวกเราก่อน !” หวังหยู่ชุนพูดออกมาด้วยความตกใจ
โจวต้าซานไม่สนใจนาง หันมาโบกมือให้โจวกุ้ยหลานแล้วพูดว่า “เจ้ารีบไปดูแม่ของเจ้าเร็ว !”
เมื่อได้ยินคำพูดของโจวต้าซาน โจวกุ้ยหลานก็รีบเดินหน้าต่อไป
หวังหยู่ชุนซึ่งอยู่ด้านหลังยังคงอยู่ในสภาพตกใจ ต้องการให้โจวกุ้ยหลานกลับมา แต่ก็ได้ยินเสียงตำหนิจากเอ้อร์เฉียง
โจวกุ้ยหลานเองก็ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน แต่เมื่อนางพายมาใกล้ที่พักของเหล่าไท่ไท่ นางก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น
“แม่ ! พี่ ! พวกท่านอยู่ไหน ?”
“กุ้ยหลาน ! เป็นกุ้ยหลาน !”
ในความมืด ได้ยินเสียงตะโกนอันตื่นเต้นของเหล่าไท่ไท่
โจวกุ้ยหลานถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นความเหนื่อยล้าก็ปะทุขึ้น นางรู้ว่าตอนนี้นางไม่มีแรงเหลืออยู่แล้ว
“ลูก ! เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ? น้ำท่วมมาที่นี่แล้ว ที่นี่อันตรายมาก !” เหล่าไท่ไท่ที่เข้มแข็งอยู่เสมอ แต่ตอนนี้น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยเสียงสะอื้น
โจวกุ้ยหลานพยายามที่จะเข้าใกล้ จากนั้นเห็นว่าน้ำท่วมสูงเหนือหน้าต่างแล้ว เกรงว่าอีกไม่นานคงท่วมจนมิด
โชคดี โชคดีที่พวกเขายังไม่เป็นอะไร
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โจวกุ้ยหลานยื่นมือออกไปหาคนที่อยู่บนสุดของหลังคา “รีบดึงข้าไว้ !”
หลังจากนั้นก็รู้สึกได้ว่ามีมือสองคู่จับตรงข้อมือของนาง จากนั้นไม่นานก็มีมือคู่ที่สามเข้ามาจับ
ด้วยแรงดังกล่าวทำให้โจวกุ้ยหลานปีนขึ้นไปได้ เมื่อนั่งลงบนหลังคานางก็ไม่มีแม้แต่แรงที่จะลุกขึ้นยืน
เหล่าไท่ไท่กอดนางไว้พร้อมพูดว่า “ยัยลูกโง่ เจ้ามาที่นี่ทำไม ? นี่มันต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย ?”
“แม่ ท่านก็อยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือไง ข้าไม่มาตามหาท่านแล้วจะให้ข้าไปตามหาใคร ?” โจวกุ้ยหลานพยายามพูดอะไรออกไป
เหล่าไท่ไท่ตบหลังของนางสองครั้ง “เจ้าช่างทำให้ข้าโกรธเหลือเกิน ! นี่ใช่เวลามาพูดล้อเล่นไหม ? นี่มันเป็นเรื่องของชีวิต !”
รู้ว่าอารมณ์ของเหล่าไท่ไท่ไม่คงที่ โจวกุ้ยหลานรีบทำให้อารมณ์ของนางคงที่ จากนั้นก็หันมาพูดกับโจวต้าไห่ที่อยู่ข้าง ๆ “พี่ พี่รีบเกาะไม้ท่อนนั้นและพาพี่สะใภ้กลับขึ้นไปบนเขาเร็ว”
“แล้วเจ้าล่ะ ?” โจวต้าไห่ถามนาง
“อีกเดี๋ยวพี่จะต้องมาช่วยข้าแน่ !” โจวกุ้ยหลานพูดออกไปตามเหตุผล
เมียของโจวต้าไห่คิดจะปฏิเสธ แต่เหล่าไท่ไท่ซึ่งอยู่ข้าง ๆ ก็ขัดพวกเขาเอาไว้ รีบบอกให้พวกเขารีบไปโดยเร็ว
สุดท้ายโจวต้าไห่พาเมียของเขาขึ้นไปบนท่อนไม้ ไม้ท่อนนั้นจมลงทั้งท่อน เห็นได้ชัดว่าการนำผู้ใหญ่ไปด้วยสองคนมันค่อนข้างเปลืองแรง
โจวต้าไห่และเมียของเขาพยายามเคลื่อนตัวออกไป แต่ท่อนไม้ก็เคลื่อนไปด้านหน้าด้วยความยากลำบาก
เมื่อทั้งสองจากไปแล้ว ร่างทั้งร่างของโจวกุ้ยหลานนอนลงบนหลังคา รู้สึกว่าร่างกายของตนเองจะแหลกสลาย
เปียกน้ำทั้งตัวมานานขนาดนี้ ร่างทั้งร่างบวมไปหมดแล้ว
เหล่าไท่ไท่จ้องมองนางอยู่ข้าง ๆ ด้วยความสงสาร โจวกุ้ยหลานหมดแรงที่จะกล่าวปลอบโยน จึงทำได้เพียงปล่อยให้นางเป็นไป
หลังจากนอนลง ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ สว่างขึ้น เหล่าไท่ไท่เห็นริมฝีปากและใบหน้าซีดขาวของโจวกุ้ยหลาน หัวใจของนางรู้สึกเป็นทุกข์
โจวกุ้ยหลานรู้สึกแค่ว่าเท้าและขาของตนเองอ่อนแรง ได้ยินคำพูดของเหล่าไท่ไท่ถึงได้รู้ว่าตอนนี้นางเป็นโรคบวมน้ำ
ทั้งที่ฝนยังตก แต่นางกลับหลับไปทั้งแบบนั้น
เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง โจวต้าไห่นั่งอยู่ในอ่างไม้และลากไม้สองท่อนกลับมาแล้ว
โจวกุ้ยหลานนอนคว่ำหน้าอยู่บนท่อนไม้ และโจวต้าไห่เองก็นอนคว่ำหน้าอยู่บนท่อนไม้อีกท่อนหนึ่ง ทั้งสองถูกโจวต้าไห่ลากขึ้นภูเขาไป
เมื่อผ่านแถวบ้านของโจวต้าซาน พบว่าตอนนี้ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว รู้ว่าชีวิตของพวกเขาได้ถูกช่วยเอาไว้ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และถูกลากไปข้างหน้าเหมือนกองเนื้อตาย
เมื่อกลับมาที่ด้านข้างของภูเขา มองจากระยะไกล พบว่าตีนเขาเต็มไปด้วยผู้คนดำเต็มไปหมด
ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความมึนงง ความเศร้า ความกลัว และความรู้สึกทางอารมณ์ต่าง ๆ ยังมีบางคนที่นั่งร้องไห้อยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่ามีคนจากครอบครัวของเขาจมน้ำเสียชีวิต
โจวกุ้ยหลานหลับตาลงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ในการเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ พลังของพวกของยังน้อยเกินไป
เมื่อพวกเขาขึ้นไปยังด้านบนของภูเขา โจวกุ้ยหลานเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปยังด้านหน้าของผู้ใหญ่บ้านหวังโหยวเกิน
หวังโหยวเกินเห็นว่าเป็นโจวกุ้ยหลาน เขารีบเก็บอาการของเขาทันที
“กุ้ยหลาน ต้องขอบคุณเจ้ามาก ไม่เช่นนั้นพวกเรา……เกรงว่าพวกเราคงไม่มีชีวิตมาถึงตอนนี้……” เมื่อเขาพูดเช่นนี้ ใบหน้าและจิตใจเซื่องซึมเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกหดหู่ ใครจะไปคิดว่าฝนจะตกหนักจนน้ำท่วมเร็วถึงขนาดนี้ ?
ฝนตกหนักมาก โจวกุ้ยหลานทำได้เพียงจัดหมวกซึ่งนางสวมอยู่เพื่อกันไม่ให้ฝนเข้าตา
“ลุง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องพวกนี้ ลุงคิดว่าควรจัดการกับคนมากมายขนาดนี้อย่างไรดี ?”
หวังโหยวเกินขยับริมฝีปากของเขา แต่เขาไม่ได้พูดอะไร
จัดการอย่างไรดี ? บ้านก็ไม่เหลือแล้ว ของกินก็ไม่มี เขาจะไปจัดการอะไรได้ ?
ซิ่วเหลียนที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดของโจวกุ้ยหลาน พูดพร้อมน้ำตาไหลออก “ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ! พวกเราไม่เหลืออะไรแล้ว !”
อาหาร ทุ่งนา และบ้านเรือน ทุกอย่าง ทุกอย่างจมไปกับน้ำฝน พวกเขาไม่เหลืออะไรเลย
มองไปในระยะไกล น้ำเต็มด้านหน้า มันท่วมหลังคา มองแล้วทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวัง
โจวกุ้ยหลานสูดลมหายใจเข้าพร้อมพูดกับเขาว่า “ลุง ตอนนี้ฝนตกหนักมาก คนจำนวนมากขนาดนี้จำเป็นต้องหาที่พัก แม้บ้านของข้าจะมีพื้นที่กว้างพอสมควร แต่ก็ไม่สามารถรองรับคนมากมายขนาดนี้ได้ ข้าคิดว่า ควรใช้โอกาสนี้ในการหาถ้ำหลบฝนจะดีไหม ให้ทุกคนเข้าไปหลบฝนก่อน จากนั้นค่อยคิดหาทางออก ?”
“ใช่ ใช่ ใช่เลย !” หวังโหยวเกินดูเหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ และขอให้ทุกคนยืนขึ้นในทันทีเพื่อมองหาถ้ำ
พวกเขาทั้งหมดเป็นคนในท้องถิ่น ไม่นานพวกเขาพบถ้ำสองสามแห่ง พวกเขาส่วนใหญ่นั่งเบียดเสียดกัน และบางคนไม่สามารถเข้าไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงตามโจวกุ้ยหลานกลับบ้านไปเพื่อพักผ่อนก่อน