นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 308 มิได้มีเรื่องมานานแล้ว
“เป็นทหารงั้นหรือ? ไปเป็นทหารจำเป็นต้องพาลูกชายไปด้วยหรืออย่างไร?” จางเสี่ยวจุ๋ยเอ่ยคัดค้าน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง
คนอื่นๆ เมื่อได้ยินประโยคนี้ของนาง สายตาที่มองไปทางโจวกุ้ยหลานก็เปลี่ยนไป
ก่อนหน้านี้พวกเขาเองมิมีใครคิดถึงข้อนี้มาก่อน แต่เมื่อถูกจางเสี่ยวจุ๋ยเอ่ยเตือน ทุกคนก็ราวกับตื่นจากความฝัน
นั่นสินะ ใครกันเล่าไปเป็นทหารแล้วเอาลูกชายไปด้วย?
สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ เด็กคนนั้นมิใช่ลูกของโจวกุ้ยหลาน
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึก เหตุผลที่อ้างว่าไปเป็นทหารฟังดูมิสมจริงเสียเลย
โจวกุ้ยหลานก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ยกมือขึ้นตบไปยังใบหน้าของจางเสี่ยวจุ๋ย ความแรงของฝ่ามือที่ตกไปนั้น หวังโหยวเกินที่ยืนอยู่ด้านข้าง ยังสามารถสัมผัสได้ถึงแรงลม
โดยที่จางเสี่ยวจุ๋ยไม่ทันสังเกต นางทิ้งตัวลงบนพื้น เตะฝุ่นเป็นชั้นๆ แล้วกระจายมันไปทุกทิศทุกทาง
ใบหน้าทางด้านซ้ายของนางนั้น แสบร้อนจนสัมผัสได้ ทำให้จางเสี่ยวจุ๋ยเจ็บปวดเสียจนน้ำตาจะไหลนางหันกลับมาจ้องมองโจวกุ้ยหลาน ด้วยความเกลียดชัง “นี่เจ้า!”
โจวกุ้ยหลานตบมือของตนแล้วกล่าวว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้ามาทำอะไร?”
ประโยคนี้ทำให้จางเสี่ยวจุ๋ยที่กำลังจะเข้ามาสู้กับโจวกุ้ยหลานชะงักลง นางยืนตัวแข็งทื่อ
“เจ้ากล่าวได้ถูกแล้ว สวีฉางหลินมิได้ไปเป็นทหาร” โจวกุ้ยหลานกล่าวด้วยอารมณ์สงบนิ่ง แล้วมองดูจางเสี่ยวจุ๋ยจากมุมสูง
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ทุกคนก็พากันฮือฮา แม้แต่หวังโหยวเกินเองก็ตกใจมิน้อย
ที่แท้สวีฉางหลินหนีไปกับสตรีคนอื่นจริงด้วย แล้วโจวกุ้ยหลานก็ถูกสามีทิ้งนะสิ?
เมื่อคิดดังนี้ คนจำนวนมิน้อยก็มองมาทางโจวกุ้ยหลานด้วยสายตาเหยียดหยาม สตรีที่ไร้สามี มีสิ่งใดให้น่าเกรงกลัวกัน?
แต่วินาทีต่อมา โจวกุ้ยหลานก็เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “เขาไปเป็นนายพลต่างหาก เจ้าเคยได้ยินชื่อนายพลสวีที่รบชนะมิเคยพ่ายแพ้หรือไม่? เคยได้ยินชื่อนายพลสวีที่ถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวังไปหรือไม่?”
ประโยคนี้ทำให้หัวใจผู้คนถูกโจมตีหนักกว่าประโยคก่อนหน้าเสียอีก
นายพล!
หมู่บ้านต้าสือของพวกเขามีนายพลหรือ! อีกทั้งเป็นนายพลผู้มิเคยรบแพ้!
คนที่ยืนมุงดูอยู่คนหนึ่งมิรู้เรื่องราวใด จึงเอ่ยถามคนด้านหน้าว่า “นายพลสวีคือผู้ใด?”
ผู้ที่อยู่ด้านหน้านั้นกล่าวอย่างตกใจว่า “เจ้ามิรู้จักนายพลสวีหรือ? สามปีมานี้ นายพลสวีคือนายพลผู้รบมิเคยแพ้แห่งแคว้นเหลียงอย่างไรเล่า!”
“นายพลสวีงั้นหรือ! นี่มัน……นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”
“เหตุใดพวกเจ้าจึงรู้มากมายนัก?”
“ข้าก็มิรู้หรอก!”
“ข้าได้ยินน้องภรรยาข้าที่อยู่ในเมืองบอกมาว่าท่านนายพลสวีนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก! เขาคุ้มกันชายแดนของเรามากว่าสามปี มีทหารเพียงหมื่นนาย สามารถต่อสู้กับทหารของศัตรูได้ถึงแสนนายเป็นเวลาถึงสามปี ท้ายที่สุดแล้วก็เอาชนะทหารทั้งแสนนายได้อย่างราบคาบ!”
“เก่งเช่นนั้นเชียว? หมายความว่าโจวกุ้ยหลานเป็น……เป็นภรรยาของท่านนายพล?”
กลุ่มคนพากันหันมามองโจวกุ้ยหลานด้วยความเคารพยำเกรง
หมู่บ้านต้าสือของพวกเขามิเคยมีบุคคลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน! อีกทั้งยังมีโจวกุ้ยหลาน อนาคตคงมีแต่เรื่องดีๆ !
จางเสี่ยวจุ๋ยสับสนงุนงงไปหมอ นางมิอยากจะเชื่อหูตัวเองเลยทีเดียว!
โจวกุ้ยหลานขี้เกียจจะไปสนใจคำของพวกเขา ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองไปทางชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังจางเสี่ยวจุ๋ยสิบกว่าคนนั้น ก่อนหัวเราะอย่างเยือกเย็นว่า “พวกเจ้ากล้ามาขโมยของบ้านข้า จงเตรียมตัวรับผลที่ตามมาให้ดี!”
ชายหนุ่มเหล่านั้นจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าเรื่องราวจะดำเนินมาถึงเช่นนี้ เมื่อได้ยินคำพูดของโจวกุ้ยหลาน พวกเขาก็พากันหวาดกลัวยิ่งนัก หลายคนถึงกับปากสั่นขาสั่น
วินาทีต่อมาก็มีเสียง “ตุ้บ!” ดังขึ้น ใครคนหนึ่งคุกเข่าลงที่พื้นแล้วก้มศีรษะคารวะโจวกุ้ยหลาน “กุ้ยหลาน ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของจางเสี่ยวจุ๋ย พวกนางหลอกล่อเรา ข้าเองมิรู้เรื่องด้วย กุ้ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว จากนี้ไปข้าจะมิทำอีก ได้โปรดช่วยข้าและครอบครัวของข้าด้วยเถิด!”
เมื่อมีคนหนึ่งคุกเข่าลงไป คนอื่นๆ ก็อดมิได้ที่จะคุกเข่าไปตามกัน แล้วหันไปร้องขอความเมตตาจากโจวกุ้ยหลาน แล้วโยนเรื่องความผิดทั้งหลายไปให้จางเสี่ยวจุ๋ย
เมื่อเห็นใบหน้าอันไร้ความรู้สึกของชายเหล่านั้น จางเสี่ยวจุ๋ยก็โมโหเสียจนแทบระเบิด คำหวานในวันวานที่ว่าจะรักดูแลนางตลอดไป บัดนี้กลายเป็นเพียงลมปาก!
“พวกเจ้า! เหตุใดพวกเจ้าจึงทำเช่นนี้กับข้าได้?”
เมื่อได้ยินจางเสี่ยวจุ๋ยกล่าวเช่นนั้น ชายคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นตบไปที่ใบหน้าของจางเสี่ยวจุ๋ย เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ใบหน้าของจางเสี่ยวจุ๋ยชาขึ้นทันที
“หุบปาก! เพราะผู้หญิงแพศยาเช่นเจ้า ทำให้พวกเราจะไร้อาหารกินอยู่แล้ว!”
จางเสี่ยวจุ๋ยยกมือกุมใบหน้าตนเองไว้ มิอยากเชื่อคำที่ชายหนุ่มกล่าวมาเมื่อครู่
คนเรานั้นมักจะหาใครสักคนมาเพื่อระบายอารมณ์ยามโกรธและเศร้าใจ แต่เมื่อพบเข้ากับคนอย่างโจวกุ้ยหลานที่มิสามารถทำให้โกรธเคืองได้ พวกเขาจึงมุ่งเป้าความเกลียดชังไปยังจางเสี่ยวจุ๋ยซึ่งอ่อนแอกว่าและง่ายต่อการรังแก
เมื่อมีคนหนึ่งเริ่ม ที่เหลือก็พากันเออออไปตามน้ำ
ชั่วพริบตาเดียว ชายหนุ่มสิบกว่าคนนั้นต่างพากันโทษจางเสี่ยวจุ๋ย ทั้งยังมีบางคนฉวยโอกาสทุบตีจางเสี่ยวจุ๋ยด้วย
โจวกุ้ยหลานมองดูคนเหล่านั้นด้วยสายตาเยือกเย็น ก่อนจะหนหลังจากไป
นางมิมีเวลามากพอจะนั่งดูคนพวกนี้ทำเรื่องน่าขัน เสียเวลานาง
หวังโหยวเกินก็ตะลึงงัน เรื่องราวตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไปเร็วเหลือเกิน เขามิรู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เมื่อเห็นว่าโจวกุ้ยหลานจะเดินจากไป เขาจึงเข้าไปรั้งโจวกุ้ยหลานไว้อย่างเงอะงะ
เดินเข้าไปได้เพียงสองก้าว ก็ได้ยินเสียงของเหล่าไท่ไท่ดังมาจากด้านในเรือนว่า “ผู้ใดกล้ารังแกบุตรสาวข้า? ข้าจะฆ่ามัน!”
สิ้นเสียง ก็พบร่างของเหล่าไท่ไท่เดินถือมีดทำครัวออกมา
มีดทำครัวเล่มนั้นปะทะกับแสงแดดเป็นประกาย ทำให้ทุกคนแสบตา
นางเหลือบเห็นโจวกุ้ยหลานที่เดินไปอย่างสบายอารมณ์ แล้วดูผู้คนที่นั่งกองอยู่บนพื้น สมองของนางก็สับสน
โจวกุ้ยหลานยกมือขยี้หัวคิ้วแล้วเดินไปทางเหล่าไท่ไท่
เหล่าไท่ไท่ก็เดินไปทางโจวกุ้ยหลานเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเหลือเชื่อว่า “พวกเขาถูกเจ้าจัดการหรือ?”
“ข้ามิได้จัดการหรอก พวกเขาทะเลาะกันเองต่างหาก” โจวกุ้ยหลานกล่าวจบก็ยกมือขึ้นบังตา เนื่องด้วยประกายจากมีดเล่มนั้น แล้วเดินไปที่เหล่าไท่ไท่ “ท่านแม่ รีบเก็บมีดเร็วเถิด เก็บก่อน!”
เหล่าไท่ไท่มองดูมีดในมือตน แล้วหันไปทางผู้คนที่อยู่บนพื้น สีหน้าเสียดายเล็กน้อย “ข้าเอามีดมาด้วยแล้วแท้ๆ ”
มีเรื่องใดให้น่ายินดีกัน? เหตุใดฟังจากปากของเหล่าไท่ไท่แล้วดูนางเสียดาย?
โจวกุ้ยหลานรีบเดินตรงเข้าไป ลากมือเหล่าไท่ไท่เข้าไปในเรือน “ท่านแม่ ท่านเข้าไปในเรือนช่วยดูเด็กๆ เถิด ออกมาทำไมกัน?”
“ข้าได้ยินมาว่ามีคนรังแกเจ้า มิใช่หรือ? แม่เองก็มิได้มีเรื่องตบตีหรือด่าทอกับผู้ใดมานานแล้ว รู้สึกว่าชีวิตไร้ซึ่งสีสัน” นางกล่าวพลางคลำไปที่คาง
เป็นจริงดังนั้น นางเสียดายที่มิได้มีเรื่องทะเลาะลงไม้ลงมือกับผู้อื่น……
โจวกุ้ยหลานมิรู้ว่าตนควรกล่าวสิ่งใดออกมาดี ทำได้เพียงส่งเหล่าไท่ไท่กลับไป
เมื่อนางกลับมาอีกครั้ง ก็มิพบจางเสี่ยวจุ๋ยและคนอื่นอีก จึงเหลือบตามองดูหวังโหยวเกินโดยมิได้ใส่ใจนัก เป็นเพียงการกระทำเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
ต่อจากนั้นอีกหลายวัน ผู้มาเข้าแถวมิได้น้อยลงเลย คลังอาหารของโจวกุ้ยหลานถูกแลกไปจนสิ้นแล้ว นางพาโจวต้าไห่และโจวต้าซานเดินไปตามทางห้องใต้ดิน มาถึงถ้ำที่สวีฉางหลินซ่อนอาหารเอาไว้
เมื่อทั้งสองเห็นธัญพืชมากมายในนี้ครั้งแรก ก็ถึงกับตกตะลึง
โจวกุ้ยหลานให้พวกเขาแบกขนธัญพืชเหล่านี้ไปยังห้องใต้ดิน จากนั้นค่อยลำเลียงไปยังด้านบน