นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 312 เดินทางพันลี้ไปหาสามี (3)
“สาม” ไป๋ยี่เซวียนตอบคำถามของโจวกุ้ยหลานอย่างดูเป็นธรรมชาติ
สีหน้าของโจวกุ้ยหลานกระตุกขึ้นเล็กน้อย เหตุใดเขาจึงกล่าวออกมาอย่างไร้แรงกดดันเช่นนี้ มีเงินจะทำอะไรก็ได้จริงด้วย
“ในเมื่อเจ้าจะเดินทางไปเมืองหลวงกับข้า ก็มิจำเป็นต้องใช้ผู้คุ้มกันแล้ว ทักษะการต่อสู้ของพวกเขานั้น สู้คนที่ข้าพามาด้วยยังมิได้”
ไป๋ยี่เซวียนโน้มน้าว
โจวกุ้ยหลานครุ่นคิดและเห็นว่าเป็นไปตามนั้นจึงได้ตอบตกลงทันที
รถม้าวิ่งไปมิเร็วนัก แต่ก็ดีกว่าเดินเท้า เพื่อให้สะดวกต่อการกินการพักอาศัย พวกเขาจึงเดินไปในเส้นทางหลวง
ภายในรถม้าช่างเงียบเหงา รุ่ยหนิงจึงได้สอนรุ่ยหนิงท่องคัมภีร์ตรีอักษร รุ่ยหนิงท่องตะกุกตะกัก รุ่ยอานจึงได้ด่าทอน้องชายของตนต่อหน้าคนอื่นๆ
ครั้นท้องฟ้าเริ่มมืด พวกเขาก็เดินทางมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ไป๋ยี่เซวียนจัดการจองห้องพักแล้วนั่งอยู่ตรงโต๊ะกลาง เขาสั่งอาหารมารับประทาน ผู้ใหญ่สองคนและเด็กอีกสองคนจึงนั่งลงเพื่อรับประทานอาหารกัน ส่วนคนขับรถม้าและผู้คุ้มกันคนอื่นๆ นั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง
รุ่ยอานและรุ่ยหนิง นั่งอยู่ในรถม้ามาทั้งวันแล้ว ทั้งคู่เหนื่อยมากและมิมีความอยากอาหารเลย โจวกุ้ยหลานปวดใจยิ่งนักจึงได้ขอยืมห้องครัวแล้วทำอาหารเรียกน้ำย่อยให้แก่ลูกทั้งสอง พวกเขาจึงได้กินอาหาร แต่ก็เพียงเล็กน้อย
ตอนกลางคืนเมื่อเข้าห้องนอน แม้แต่รุ่ยหนิงก็ดูมิมีชีวิตชีวาเหมือนดั่งเคย
“ท่านแม่ อีกนานเท่าไหร่จึงจะถึง?” รุ่ยหนิงพยายามเบิกตาขึ้นแล้วถามโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานฝืนยิ้มตอบว่า “อีกประมาณสิบกว่าวันก็ถึงแล้ว”
รุ่ยหนิงรู้สึกปวดหัวขึ้นทันใด เขากล่าวอย่างมิมีความสุขนักว่า “หนิงหนิงเหนื่อยจริง”
“เพียงแค่ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ พวกเราก็จะได้พบกับท่านพ่อ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเจ้าอยากจะกินอะไรก็ให้พ่อของพวกเจ้าซื้อให้ ดีหรือไม่?” โจวกุ้ยหลานเกลี้ยกล่อมเด็กน้อยทั้งสอง
รุ่ยอานเงยหน้าขึ้นมองดูโจวกุ้ยหลาน “เหตุใดท่านพ่อจึงต้องอาศัยอยู่ใกล้เช่นนี้?”
โจวกุ้ยหลานลูบไล้ไปที่ศีรษะของเขาแล้วปลอบโยนด้วยรอยยิ้ม “นั่นก็เพราะว่าต้องเลี้ยงพวกเจ้าทั้งสองคน พวกเจ้าต้องกินต้องดื่มต้องใช้ใช่หรือไม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องใช้เงิน ถูกหรือไม่”
รุ่ยอานพยักหน้าขึ้น “อันอันจะกินให้น้อยลง พ่อกับแม่จะได้มิต้องเหนื่อยหนัก”
เมื่อกล่าวจบก็หันไปทางรุ่ยหนิง “เจ้าเองก็กินให้น้อยหน่อย เข้าใจไหม?”
รุ่ยหนิงทำท่าเสียใจมากกว่าเดิม “แต่……แต่หากหนิงหนิงกินมิอิ่มก็จะหิว”
พวกเขาทั้งสองคนทำให้โจวกุ้ยหลานหัวเราะขึ้น จากนั้นนางก็นำเท้าน้อยๆ ของทั้งสองเข้าไปแช่ในน้ำอุ่น ปลอบพวกเขาว่า “พวกเจ้าควรจะกินและออกกำลังกายให้มาก เพื่อที่จะได้โตเร็วๆ ถ้าพวกเจ้าโตแล้ว พ่อกับแม่ก็มิต้องลำบากเช่นนี้”
เด็กทั้งสองคนพยักหน้าขึ้นอย่างว่าง่าย เป็นความหมายว่าพวกตนเข้าใจแล้ว
หลังจากแช่เท้าอยู่สักพัก เด็กทั้งสองก็ง่วงเหงาหาวนอน พวกเขาต่างพากันสัปหงก
เมื่อเช็ดเท้าน้อยๆ จนเสร็จสิ้นแห้งแล้ว นางก็ช่วยพยุงพวกเขาไปนอน ห่มผ้าห่มให้ โจวกุ้ยหลานก็หลับไปเช่นกัน
วันต่อมาเมื่อตื่นขึ้น โจวกุ้ยหลานช่วยเด็กทั้งสองจัดเก็บของ นางเดินไปเคาะประตูห้องข้างๆ ของไป๋ยี่เซวียน เมื่อไป๋ยี่เซวียนเดินทางออกมาก็พาผู้คุ้มกันแต่ละคนไปทานอาหารเช้าแล้วจ่ายเงิน จากนั้นทุกคนจึงขึ้นรถม้าเดินทางต่อไป
ก่อนที่โจวกุ้ยหลานจะเดินทางจากไป ได้ขอไม้จากเจ้าของโรงเตี๊ยมมาแท่งหนึ่ง นางตั้งใจจะซื้อมีดเล่มเล็กสักเล่ม แต่กลับถูกไป๋ยี่เซวียนรั้งเอาไว้ จากนั้นก็หยิบกริชของไป๋ยี่เซวียนมาเริ่มทำการเหลาไม้
เด็กทั้งสองคนเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังทุกท่าทางของมารดาตน
ไป๋ยี่เซวียนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าจะทำอะไรกัน?”
“จะทำหมากรุก” โจวกุ้ยหลานตอบแล้วสับไม้ให้เป็นท่อนเล็กๆ
ไป๋ยี่เซวียนเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าเล่นหมากรุกเป็นหรือ?”
สิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งนัก……
โจวกุ้ยหลานเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองเขาแล้วกล่าวว่า “เล่นมิเป็นหรอก”
ไป๋ยี่เซวียน “……”
“ต่อให้มิเป็นก็ค่อยเรียนรู้กันไปสิ เรานั่งรถม้าใช้เวลาตั้งเนิ่นนาน จะฆ่าเวลาอย่างไรเล่า? อีกอย่างผู้ใหญ่อย่างเรายังพอจะทนได้ แต่เด็กๆ คงทนมิได้”
หากมิใช่เพราะลูกชายทั้งสองของนางเป็นเด็กว่าง่าย เมื่อวานนี้พวกเขาคงร้องไห้ตลอดทาง
เมื่อคิดถึงลูกชายทั้งสอง นางก็รู้สึกปวดใจ หากว่ามีสิ่งบันเทิงให้พวกเขาเล่นอย่างสนุกสนานก็คงมิลำบาก คงมิรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเช่นนี้
“จะว่าไป เป็นช่างไม้นี้ก็มิง่ายเลย” ก่อนหน้านี้นางเห็นสวีฉางหลินทำสิ่งเหล่านี้ดูง่ายดายนักหนาเหตุใด เมื่อมาอยู่ในมือนาง เหตุใดมีดจึงดูมิเชื่อฟังเอาเสียเลย
โจวกุ้ยหลานแสดงความรู้สึกเศร้าใจออกมา
“เดี๋ยวพวกเราไปซื้อเอาดีหรือไม่?” ไป๋ยี่เซวียนเอ่ยเสนอความคิดเห็น
เขาเองก็ทำสิ่งนี้มิเป็น แต่ดูเหมือนว่าหมากรุกราคามิสูงนัก สะดวกในการหาซื้อ
โจวกุ้ยหลานชำเลืองมองเขา “บัดนี้จะไปซื้อได้ที่ได้เล่า เมื่อวานข้าดูจนทั่วแล้วไม่เห็นที่ไหนมีขายเลย”
ประโยคนี้ทำให้ไป๋ยี่เซวียนเงียบลง คนจนโดยมากมักกังวลเรื่องเสื้อผ้าอาหารและที่อยู่อาศัย พวกเขาจะสนใจสิ่งนี้หรือ
แน่นอนว่าในตำบลมิมีร้านสำหรับขายสิ่งเหล่านี้ แต่มีขายไปในทุกที่ของเมืองหลวง
โจวกุ้ยหลานหยิบแผ่นไม้นั้นขึ้นมา พยายามแกะสลักตัวอักษรลงไป
เมื่อรถม้าหยุดกะทันหัน กริชนั่นจึงกระแทกทำให้มือของนางบาดเจ็บ
นางเจ็บแปลบจึงหันไปมอง พบว่ามือของตนมีเลือดไหลออกมา
นางจึงโยนมีดทิ้งลงแล้วรีบกดข้อมือบริเวณที่เลือดไหล แต่วินาทีต่อมาไป๋ยี่เซวียนก็คว้าข้อมือนางไป
“ให้ข้าดูหน่อย” ไป๋ยี่เซวียนกล่าวจบก็ดึงมือนางออก
โจวกุ้ยหลานถอยหลังกลับไป “เจ้าอย่าเพิ่ง หากเลือดออกต้องกดเอาไว้”
“ข้าขอดูหน่อย” น้ำเสียงของไป๋ยี่เซวียนดูจริงจัง อารมณ์แสนดีเมื่อครู่ของเขาถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง
ท่าทางอันโกรธจัดของเขาทำให้โจวกุ้ยหลานว่าง่าย แล้วยื่นมือออกไปอย่างเชื่อฟัง
ทันทีที่ปล่อยมือเลือดก็ไหลออกมาอีกครั้ง
ไป๋ยี่เซวียน ก้มหน้าลงมอง พยายามเก็บความโมโหไว้ในใจ
“ท่านแม่ ท่านแม่เลือดออก!”
รุ่ยหนิงอุทานขึ้นแล้วรีบลุกมาอย่างรวดเร็ว ขาน้อยๆ นั้นวิ่งตรงเข้าไป มือจับไปที่เสื้อผ้าของโจวกุ้ยหลาน
รุ่ยอานก็ลงจากที่นั่งบนรถม้าของเขาด้วย แล้ววิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายโจวกุ้ยหลาน ปากน้อยๆ ของเขากัดแน่น ใบหน้าดูยุ่งเหยิง
เมื่อเห็นท่าทางอันตื่นตระหนกของทั้งสองคน โจวกุ้ยหลานจึงรีบปลอบใจว่า “มิเป็นไรหรอก แม่กดเอาไว้แล้ว ประเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
เมื่อกล่าวจบนางก็จะหดมือกลับไป มิอยากให้ลูกทั้งสองได้เห็น แต่ว่ามือของนางถูกจับเอาไว้ นางหันหลังไปดูพบว่ามือข้างหนึ่งถูกไป๋ยี่เซวียนจับเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของเขาหยิบขวดยาเล็กๆ ออกมา กำลังใส่ยาให้มือนาง
แววตานั้นแฝงด้วยความโมโหและยังเต็มไปด้วยอารมณ์ที่นางมิอาจเข้าใจได้
“เจ้า……เจ้าใส่ยาอะไรให้ข้า?” โจวกุ้ยหลานเอ่ยถามเพื่อทำลายบรรยากาศอันแปลกประหลาดเช่นนี้
ไป๋ยี่เซวียนมิได้เงยหน้าขึ้น เขาปล่อยมือนางแล้วปิดขวดยา ก่อนจะใส่มันเข้าไปในกระเป๋าอีกครั้ง
“จินชวงเย่า”
“เจ้าเอาของสิ่งนี้มาด้วยหรือ ช่างละเอียดรอบคอบยิ่งนัก ข้านับถือจริง” โจวกุ้ยหลานยกมือขึ้นกำหมัดคารวะ
จากนั้นนางก็หันกลับไปชี้บริเวณที่เลือดออกเมื่อครู่ให้เด็กทั้งสองคนดู แล้วยิ้มขึ้นว่า
“ดูสิ เลือดของแม่หยุดแล้วใช่หรือไม่”
รุ่ยหนิงมองไปยังแผลที่นิ้วของโจวกุ้ยหลานที่ถูกผงยาปิดเอาไว้ ปากของเขามิอาจอดกลั้นไว้ได้อีกแล้วร้องไห้ออกมาดัง “ฮือ!”
โจวกุ้ยหลานตกใจรีบเข้าไปกอดรุ่ยหนิงเอาไว้ในอ้อมแขน
“อย่าร้องไปเลยนะคนเก่ง แม่มิเป็นอะไร เลือดมิออกและมิเจ็บแล้วเจ้าดูสิ”