นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 324 สวีฉางหลินยังมีชีวิตอยู่
หลายๆคนล้วนเตรียมจะดูสนุกแล้ว แต่หู้กั๋วกงที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุดของเหล่าขุนนางกลับมีสีหน้าที่บึ้งตึง
นางกำนัลของฮองเฮาล้วนตายหมดเลยหรือ?
แล้วตกลงฮองเฮามีชีวิตแบบไหนในวัง?
“หวั่นกุ้ยเฟยดูแลวังหลังมาแปดปี กลับทำให้นางกำนัลของฮองเฮาตายหมดเลยหรือ?”
สวีฉางหลินกำหมัด ร่างกายเปล่งความเย็นชาออกมา และมุ่งไปที่หวั่นกุ้ยเฟย
หวั่นกุ้ยเฟยก็ตกใจเพราะพลังอำนาจของเขา พยายามตั้งสติและพูดว่า”ข้าไม่ได้เจาะจงคนในตำหนักของฮองเฮา พระราชวังใหญ่เช่นนี้ การที่มีคนตายก็เป็นเรื่องปกติ”
“แล้วในหนึ่งปีพระราชวังต้องตายกี่คน ถึงสามารถทำให้นางกำนัลในตำหนักหนึ่งตายหมดภายในระยะเวลาแปดปีล่ะ?”
ยังไม่ทันรอสวีฉางหลินอ้าปาก หู้กั๋วกงที่ยืนอยู่บนสุดก็พูดอย่างไม่พอใจ
หวั่นกุ้ยเฟยจนคำพูด
ฮ่องเต้ที่ยืนอยู่ที่สูงเหลือบตามองหู้กั๋วกงที่หลายปีนี้ไม่ค่อยได้พูดอะไร จากนั้นเดินลงมาจากที่สูง
ตอนที่เดินผ่านองค์ชายที่นิ่งอึ้งอยู่ เขาก็ไม่ได้หยุดฝีเท้า
เมื่อเห็นเขาเดินลงมา เหล่าขุนนางก็ล้วนคุกเข่ากราบด้วยความเกรงขามอีกครั้งหนึ่ง
ฮ่องเต้เดินลงมาจากที่สูงทีละก้าว เดินมาถึงหน้าเสี่ยวเทียน ตอนที่ได้เห็นใบหน้าของเสี่ยวเทียน เขาก็รู้สึกตกใจมาก
เพราะว่า……ถึงแม้ไม่มีหลักฐาน ก็มองออกว่านี่เป็นลูกของเขา!
เขาคิดจะยื่นมือไปประคองเขาขึ้นมา แต่วินาทีต่อไป สติในตัวห้ามเขาเอาไว้ เขาหันไปมองสวีฉางหลิน น้ำเสียงเย็นชาอีกครั้งหนึ่ง แยกแยะอารมณ์ไม่ออก”ตกลงเกิดอะไรขึ้น?”
“ฝ่าบาทยังจำได้ไหมว่า ตอนฮองเฮาคลอดองค์ชายคนโต ฝ่าบาทอยู่ไหนพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้พยายามนึกกลับไปในอดีต ตอนที่นึกถึงตัวเองเมา ก็เหลือบตามองไปที่หวั่นกุ้ยเฟยที่ยืนอยู่ในที่ไม่ไกล
“ฮองเฮาคลอดลูกออกมา พระวรกายทรงอ่อนแอมาก แต่กลับมีคนคิดจะทำร้ายองค์ชายคนโต นางเลยต้องให้คนอื่นแอบพาเด็กออกจากวัง แต่กลับถูกลอบสังหารตลอดทาง กระหม่อมเลยต้องพาเด็กหนีการลอบสังหาร และวันที่สองก็ได้ข่าวมาว่าลูกของฮองเฮาเสียชีวิต ส่วนหวั่นกุ้ยเฟยได้คลอดบุตรชายออกมา”
พอพูดถึงที่นี่ สวีฉางหลินก็ไม่ได้พูดต่อ
นี่ก็คือสิ่งที่เขารู้ ส่วนความหมายโดยนัยคืออะไรนั้น เขาไม่ต้องอธิบายหรอก
“เจ้าพูดเพ้อเจ้อ!เจ้ากล้ามาใส่ร้ายข้าหรือ!”หวั่นกุ้ยเฟยโมโหจนเถียงกลับ
“กระหม่อมมิได้ใส่ร้ายหวั่นกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”สวีฉางหลินตอบอย่างใจเย็น
“ฝ่าบาท นี่เป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นประทุษร้ายต่อเชื้อสายราชวงศ์ ต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดพ่ะย่ะค่ะ!”
“กระหม่อมเห็นด้วย!”
“กระหม่อมเห็นด้วย!”
……
ขุนนางต่างคุกเข่าพร้อมกัน ไม่ว่ามีความคิดอะไรอยู่ในใจ แต่ตอนนี้พวกเขาต้องเลือกทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด
ถึงแม้เป็นฮ่องเต้ ตอนนี้ก็ไม่สามารถต่อต้านได้
เขามีความโกรธขรึมพาดผ่าน โบกมือพูดว่า”พาฮองเฮามาสิ!”
“ฝ่าบาทเพคะ ฮองเฮาบ้าไปแล้ว พระองค์ไม่กลัวหน้าแตกต่อหน้าผู้คนหรือเพคะ?”หวั่นกุ้ยเฟยร้องอย่างเศร้าโศก
แอบหันไปมอง เห็นคนที่คุกเข่ากล่าวเห็นด้วยบนพื้น นางก็รู้สึกใจหายเลย
นางถูกทอดทิ้ง ถูกครอบครัวของตัวเองทอดทิ้ง……
ฮองเฮาที่ผมยุ่งเหยิงถูกพามา แค่มองเสี่ยวเทียนบนพื้นทีเดียว ก็มุ่งขึ้นไปกอดเขาเข้าไปในอ้อมอกแล้วร้องไห้ออกมา
จื่อเฉิงที่อยู่บนขั้นบันไดขาอ่อนและล้มลงไปกับพื้น เขาคิดจะไปดูเสด็จแม่ของตัวเอง แต่กลับเห็นว่าเสด็จแม่นิ่งอึ้งไปเลย เหลือแต่เขาที่นั่งโดดเดี่ยวอยู่บนขั้นบันได……
“เรื่องนี้ชัดเจนแล้ว ที่แท้แล้วปีนั้นที่ฮองเฮาคลอดบุตรชายคนโต หวั่นกุ้ยเฟยกลัวว่าฮองเฮาจะคลอดองค์ชายคนโตออกมาได้ เลยคำนวณวันที่ล่วงหน้าแล้วหลอกฝ่าบาทไปที่ตำหนัก ให้ฝ่าบาทกินเหล้าจนเมา”
“รอตอนที่ฮองเฮาให้คนมาเชิญฝ่าบาท ฝ่าบาทก็เมาจนหลับไป หมอหลวงคนหนึ่งพูดว่าองค์ชายป่วยหนัก ต้องใช้ยาทันที ฮองเฮารู้สึกตกใจ เลยให้คนพาเด็กหลบซ่อนไปทุกที่ และแอบพาออกจากวัง จนในที่สุดส่งกลับไปที่ตระกูลของนางเอง”
มีคนหนึ่งไม่เชื่อ เสนอข้อคัดค้าน”แล้วนางกำนัลคนนั้นนำองค์ชายออกจากวังได้อย่างไร?”
คนที่พูดนั้นใช้พัดเคาะฝ่ามือของตัวเองและพูดว่า”พวกเจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่ามีเงินทำได้ทุกอย่าง?”
คนอื่นไม่เห็นด้วย”นั่นเป็นตั้งองค์ชายคนโตนะ!แม้จะได้เงินมากขนาดไหนองครักษ์เหล่านั้นก็ไม่กล้าปล่อยออกไปหรอกมั้ง?ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?”
คนที่พูดก็โมโหแล้ว”ข้าจะรู้ได้อย่างไร?พวกเจ้าจะฟังหรือเปล่า?ถ้าไม่ฟังข้าจะไม่พูดแล้วนะ!”
“ฟังๆๆ เจ้ารีบว่ามา!”
“เด็กคนนั้นถูกส่งไปในมือของนายพลสวี แต่ตระกูลของฮองเฮามีคนมากมายกลัวข่าวจะรั่วไหลออก นายพลสวีเลยพาเด็กหลบหลีกไปทั่ว และหวั่นกุ้ยเฟยก็โหดร้ายจริงๆ ให้คนไปไล่ฆ่านายพลสวี ยังหาทารกที่ตายแล้วมาให้ฝ่าบาท อ้างว่าองค์ชายคนโตตายแล้ว!”
“หัวใจผู้หญิงโหดร้ายที่สุดแล้ว!”
“ยังไม่เพียงเท่านี้ นางยังคิดจะหาคนไปฆ่าฮองเฮาเลยนะ แต่ฮองเฮาก็ฉลาด แกล้งทำเป็นบ้า ถึงมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้”
“เมื่อกี้เจ้าพูดว่า นายพลสวีไปเปิดเผยทุกสิ่งนี้ที่พิธีแต่งตั้งไท่จื่อหรือ?”
เสียงผู้หญิงที่โดดเด่นส่งมา
ผู้ชายที่พูดรีบพยักหน้า”ใช่ไง ถ้าไม่ใช่นายพลสวี องค์ชายคนโตของพวกเราคงตายไปนานเลยนะ!นายพลสวีก็ช่างฉลาดและกล้าหาญจริงๆเลย!”
คนอื่นก็พยักหน้าเห็นด้วย หมดความเศร้าโศกในก่อนหน้านี้
โจวกุ้ยหลานก็กำหมัดอย่างแน่น มีความดีใจเกิดขึ้นในหัวใจ
เขาไม่ได้ตาย! เขาไม่ได้ตายเลย!
เป็นเรื่องเท็จ เป็นเรื่องเท็จกันทั้งนั้น!
ขอบตาของนางเริ่มแดงขึ้น นางรีบใช้มือปิดปากของตัวเอง กลัวว่าตัวเองจะร้องไห้ออกมา
รีบเดินกลับไปนั่งที่ริมหน้าต่างของตัวเอง และปล่อยให้น้ำตาไหลลงเรื่อยๆ
สวีฉางหลินยังมีชีวิตอยู่……ยังมีชีวิตอยู่……
เขายังมีชีวิตอยู่!
น้ำตาค่อยๆทำให้ดวงตาเบลอ และได้จ้องไปที่ประตูสีแดงชาดบานนั้นตลอด
ไม่ได้ตาย ดีแล้ว……
คนที่รู้เรื่องนี้นั้นเล่าเรื่องนี้ให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ฟังจนผู้ชมรู้สึกแปลกใจมาก
ยังมีเรื่องที่เกินกว่าละครอีก ทำให้วิสัยทัศน์กว้างไกลขึ้นจริงๆเลย!
เด็กสองคนเล่นหมากรุกเสร็จรอบหนึ่ง ก็ไปดูแม่ของตัวเองตามปกติ เห็นแต่แม่เอียงหน้ามองข้างนอก พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจมาก ภายใต้การเร่งของคนอื่นๆ พวกเขาก็ได้เริ่มรอบใหม่
รอจนกว่าตอนเย็นกลับถึงโรงเตี๊ยม เด็กสองคนถึงเห็นดวงตาที่บวมแดงของแม่ ทำให้พวกเขาตกใจจนรีบไปเป่าให้
โจวกุ้ยหลานพูดด้วยรอยยิ้มว่าไม่เป็นไร และมื้อเย็นได้สั่งกับข้าวอร่อยๆหลายอย่างกินมากับเด็กสองคนอย่างเพลิดเพลิน
หลายวันนี้ กว่าโจวกุ้ยหลานจะนอนหลับได้ดีสักครั้งหนึ่ง
วันที่สองนางตื่นมาแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็พาเด็กสองคนไปจวนหู้กั๋วกง จากนั้นก็เห็นว่าจวนหู้กั๋วกงถูกผู้คนล้อมรอบกันหลายๆชั้น รถม้าทั้งหลายได้ปิดกั้นถนนเส้นนั้น
จวนหู้กั๋วกงก็ยังคงปิดอยู่เหมือนเดิม กว่าโจวกุ้ยหลานจะเบียดเข้ามาได้ ก็ได้ยินผู้อารักขาพูดเสียงดังว่า”เจ้านายของข้าพูดไว้ว่า ท่านยังไม่สบายอยู่ ไม่สะดวกพบท่านแขกทั้งหลาย เชิญทุกท่านกลับก่อนเถอะ!”
พอได้ยินคำพูดนี้ กลุ่มคนก็เสียงดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็มีคนขึ้นหน้าไป ฝากของขวัญให้ผู้อารักขาช่วยส่งมอบให้ที
ผู้อารักขาเหล่านั้นไม่กล้ารับไว้ ล้วนปฏิเสธ
เห็นว่าคนเหล่านั้นกลับไปอย่างหมดหวัง โจวกุ้ยหลานก็จนปัญญา มีแต่ต้องก้มหน้าพูดกับเด็กสองคนว่า”ดูเหมือนว่าวันนี้เราเข้าไปเจอพ่อพวกเจ้าไม่ได้แล้ว”
“เราสามารถไปเล่นหมากรุกได้”เสี่ยวรุ่ยอานเงยหน้าเสนอ