นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 364 ข้าคิดถึงเจ้าทุกคืน
วินาทีต่อมา ริมฝีปากของนางก็ถูกปกคลุมไปด้วยความนุ่มนวล
ทั้งสองคนแทบจะขาดอากาศหายใจ ตอนที่เขาปล่อยนางออกนั้นทั้งสองคนหายใจอย่างเหนื่อยหอบ พยายามสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไป
ทั้งสองมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา สวีฉางหลินวางศีรษะบนบ่าของโจวกุ้ยหลาน เขาพ่นลมหายใจร้อนผ่าวไปที่คอของนาง มันร้อนเสียจนทำให้นางต้องหดคอกลับ
“ภรรยาของข้า ข้าคิดถึงเจ้าทุกคืน……”
สวีฉางหลินอ้าปากออกเล็กน้อย เสียงอันแหบแห้งของเขาเข้าไปในหูของนาง แล้วส่งผ่านเข้าไปในหัวใจ
ชายผู้นี้ทำตัวอันธพาลอยู่ทุกเมื่อ
จู่ๆ ความรู้สึกอันแสนแย่ราวกับร่างแทบแตกสลายเมื่อครู่ก็ได้จางหายไปอย่างไร้ร่องรอย
นางถอนหายใจออกมา ยืดมือออกไปโอบคอของสวีฉางหลินเอาไว้ ทั้งสองกำลังตักตวงความอบอุ่นที่หาได้ยากยิ่ง
“ข้าเองก็คิดถึงเจ้า” โจวกุ้ยหลานกล่าวจบก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งดวงดาว นางชะงักลงเล็กน้อยแล้วกล่าวเสริมว่า “คิดถึงมาก”
นางเป็นห่วงเขา นางคิดถึงเขา ทุกสิ่งอย่างที่นางคิดนั้นล้วนเกี่ยวข้องกันกับเขา
“แล้วเจ้ายังทำเตียงนั่น?”
สวีฉางหลินฟ้องร้องออกมา
เมื่อมิกี่วันก่อน เขาอดมิได้จึงแอบเดินทางไปดูนางและบุตรชายอีกสองคน แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นคือห้องนอนที่ปิดประตูสนิท
โจวกุ้ยหลานกัดฟันกรอก “ผู้ใดสั่งให้เจ้ากล่าวต่อหน้าผู้อื่นว่ามิรู้จักข้าเล่า? ข้าจะยอมให้คนแปลกหน้ามาแอบดูข้ากับลูกทั้งสองได้ทุกวี่วันหรือ?”
เมื่อนึกถึงคำในวันนั้น พร้อมกับท่าทีอันเย็นชาของเขา โจวกุ้ยหลานก็โกรธยิ่งนัก
กล้ากล่าวว่ามิรู้จักนาง? มิรู้จักผู้ที่ใช้ชีวิตด้วยกันมาถึงสองปีเต็ม และแต่งงานกับเขามาถึงสามปีนี้นะหรือ?
“อ้อจริงสิ เจ้าจะแต่งงานกับองค์หญิงอานผิงมิใช่หรือ? เจ้าจะกลายเป็นราชบุตรเขยแล้วมิใช่หรือ? เจ้าจะมีส่วนเกี่ยวข้องใดกับสองแม่ลูกเราอีกเล่า?”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ โจวกุ้ยหลานก็โมโหยิ่งนัก
เมื่อนึกไปถึงยามที่ชีวิตเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย แล้วสตรีที่ดูแลเขาข้างกายกลับเป็นนางผู้นั้น หัวใจของนางก็เต้นโครมคราม
นางในฐานะภรรยา ยามที่สามีตกอยู่ในความยาก นางกลับมิได้อยู่ข้างกายเขา เป็นสตรีอีกคนหนึ่งที่อยู่เคียงข้างผ่านทุกข์สุขไปกับเขา?
“ข้าขอบอกปัดออกไปแล้ว” สวีฉางหลินรีบกล่าวออกมา
โจวกุ้ยหลานส่งเสียงหึๆ “เหตุใดเจ้าจึงมิแต่งนางเข้าจวนเล่า? เช่นนี้เจ้าก็จะได้เป็นราชบุตรเขยแล้ว ช่างเหมาะสมดั่งกิ่งทองใบหยก! ผู้คนมากมายมิมีสิทธิแม้จะอิจฉา!”
“ข้า สวีฉางหลิน ชีวิตนี้จะมีภรรยาเพียงคนเดียวนั่นก็คือเจ้าโจวกุ้ยหลาน” สวีฉางหลินกล่าวแล้วชะโงกหน้าเข้าไปใกล้กับลำคอของนางก่อนจะจูบเบาๆ
หัวใจของโจวกุ้ยหลานรู้สึกร้อนผ่าว นางโอบกอดสวีฉางหลินด้วยแรง น้ำเสียงนั้นดูอ่อนโยน “เช่นนั้นเจ้ายังมิยอมรับข้ากับลูกทั้งสองหรือ?”
นางอยากจะกลับไปอยู่ข้างกายเขา อยากจะอยู่กับเขาตลอดไป อยากให้ลูกทั้งสองได้รับความรักจากพ่อ
สวีฉางหลินชะงักลงเล็กน้อย หน้าผากของเขาก้มลงสัมผัสกับบ่าคอ น้ำเสียงดูอุดอู้ “ข้าทำเช่นนั้นเพื่อปกป้องพวกเจ้า”
การอยู่ห่างไกลจากเขา พวกนางจึงจะอันตรายน้อยที่สุด
โจวกุ้ยหลานเอื้อมมือออกไปกอดศีรษะของเขาแล้วกระซิบว่า “มิว่าเจ้าทำอะไร ข้างล้วนสนับสนุนเจ้า แต่ว่าพวกเรานั้นเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าจะผลักพวกข้าอกไปเช่นนี้มิได้!”
ที่แท้เขามีความทุกข์อยู่ในใจ จึงมิอยากจะยอมรับว่ารู้จักนางและลูกทั้งสอง แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้นางเองก็ปวดใจนัก
ข่าวคราวจากคนที่ใกล้ชิดที่สุดของตน กลับต้องคอยได้ยินจากปากของคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บ นางมิอาจอยู่ข้างกายคอยดูแลเขาได้เลย
หากว่าเกิดอะไรขึ้นมากับเขาจริงๆ ละก็……
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้ ในใจของโจวกุ้ยหลานก็ตื่นตระหนก นางกอดเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม
เมื่อสัมผัสได้ถึงท่าทีของนาง สวีฉางหลินก็รู้ได้ทันทีว่าภรรยาของตนขาดความอุ่นใจ นางกระสับกระส่าย เขาจึงตึงเครียดมากขึ้นกว่าเดิม
“เจ้าให้ข้าคิดดูก่อน”
“เจ้ายังต้องคิดอีกหรือ? สวีฉางหลิน เจ้าคิดว่าร่างข้าทำมาจากเหล็กหรือไร ข้าเสียใจมิเป็น เศร้าใจมิเป็น ข้ามิมีวันที่จะรับทุกอย่างมิได้อย่างนั้นหรือ?”
โจวกุ้ยหลานสูดลมหายใจเข้าแล้วตำหนิชายตรงหน้านี้
เขาเข้าใจหรือไม่การที่นางได้อยู่ข้างกายเขาจึงจะเป็นความสุขที่สุดในชีวิต
สวีฉางหลินขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นขึ้น น้ำเสียงของเขาดูมิเป็นธรรมชาตินัก “ข้าเป็นห่วงพวกเจ้า”
“แต่เจ้าก็มิควรทำเช่นนี้ เจ้ามิให้ข้าและลูกของข้าทั้งสองพบหน้าเจ้า พวกเขามิเคยรู้เลยว่าพ่อของเขาหน้าตาเป็นเช่นไร และยังมีข้าอีก เจ้าคิดว่าข้าสามารถเดินต่อไปเช่นนี้ได้เรื่อยๆ หรือ? สวีฉางหลิน เจ้าเป็นสามีของข้า หากเจ้าอยากทำอะไรข้าจะช่วยเจ้าเอง ข้ามิใช่ตัวถ่วงเจ้า!”
แม้ว่าโจวกุ้ยหลานจะพยายามระงับน้ำเสียงของตนเอาไว้แล้ว แต่ตอนที่นางกล่าวออกมานั้น ก็ยังคงดูแข็งแกร่งเหลือเกิน
สวีฉางหลินปล่อยนางออก โจวกุ้ยหลานสัมผัสได้ถึงท่าทางของเขา มือของนางก็คลายออกเช่นกัน ระยะทางที่เขาห่างออกไปท่ามกลางความมืดมน นางจ้องไปยังดวงตาของอีกฝ่ายราวจะมองเข้าไปในใจ
บนท้องถนนยามเช้าตรู่เช่นนี้มิมีผู้ใด ความมืดมนก่อนหน้าที่รุ่งอรุณจะมาเยือนจึงบดบังสิ่งต่างๆ ไปมิน้อย ทำให้พวกเขาทั้งหลายผ่อนคลายลงแล้วแสดงความต้องการของตนออกมา
อาทิเช่น คนสองคนที่กำลังโอบกอดกันอยู่บัดนี้
หลังจากการจูบกันสักครู่ น้ำเสียงของสวีฉางหลินอันแหบแห้งก็ดังขึ้นว่า “อืม”
โจวกุ้ยหลานอดมิได้ที่จะเผยอริมฝีปากขึ้น นางพยายามโอบกอดไปที่ลำคอของเขา แล้วเขย่งเทียบเท้าขึ้นไปจูบริมฝีปากเขาเบาๆ นับว่าเป็นรางวัล
หากกลับไปอยู่ข้างกายเขาได้ แม้จะอันตรายเพียงใดนางก็ยินดีที่จะร่วมสู้ไปด้วยกัน
นางปล่อยให้สวีฉางหลินโอบกอดตนอย่างอิสระ ร่างของนางผ่อนคลายลงมิน้อย
เมื่อนึกถึงเหล่าไท่ไท่และคนอื่นๆ ในบ้าน นางก็กระซิบเอ่ยถามสวีฉางหลินว่า “มณฑลหยวนเหอของเราเกิดเรื่องขึ้น เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่?”
“ข้ารู้”
“ท่านแม่และพี่ใหญ่มิได้ส่งจดหมายมาให้ข้าเนิ่นนานแล้ว ข้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเขา คนเหล่านั้นเมื่อหิวโหยจนถึงที่สุด แม้ว่าหมู่บ้านต้าสือของพวกเราจะมีอาหารที่ทิ้งไว้ แต่เกรงว่า……”
โจวกุ้ยหลานกล่าวถึงตรงนี้ก็มิกล้าเอ่ยต่อ
ยามเกิดภัยพิบัติขึ้น อาหารเป็นสิ่งที่มีค่ามากยิ่งนัก เพราะมันสามารถช่วยเหลือชีวิตคนได้ แต่ในบัดนี้ก็นับว่าเป็นอันตรายด้วยเช่นกัน
สวีฉางหลินก็เข้าใจถึงความเป็นห่วงกังวลของภรรยาตนที่มี เขาจึงสัมผัสไปที่หลังของนางเบาๆ แล้วกระซิบกล่าวว่า “มิเป็นอะไรหรอก ท่านแม่เฉลียวฉลาดเพียงนั้น นางจะคุ้มกันปกป้องทุกคนได้แน่”
“ต่อให้ฉลาดว่องไวเพียงใด ยามเผชิญหน้ากับเรื่องราวเช่นนี้ก็ไร้สิ้นปัญญาได้เช่นกัน……”