นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 397 ท่านอยากจะทอดทิ้งพวกเราจริงๆใช่หรือไม่?
ภายในใจโจวกุ้ยหลานสับสนวุ่นวายใจ ก้มหน้าก้มตาป้อนโจ๊กให้เสี่ยวจิ่วต่อ
แต่ครั้งนี้ เสี่ยวจิ่วอาเจียนออกมาหมด
นางรีบเช็ดเป็นพัลวัน เหลือบมองโจ๊กที่อยู่ในชาม ก็เดาได้เลยว่านางอิ่มแล้ว โจวกุ้ยหลานเช็ดปากให้นางเสร็จ แล้วเอาชามวางบนโต๊ะ จากนั้นจึงไปนั่งข้างกายสวีฉางหลิน
“เพราะฉะนั้นพวกเขาอายุน้อยแบบนี้ก็ต้องประสบพบเจอเรื่องเหล่านี้หรือ? หรือว่าข้าไม่ควรเอาพวกเขามาอยู่ข้างกายท่าน?”
โจวกุ้ยหลานรู้สึกเสียใจภายหลัง นางไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น คำพูดเมื่อครู่นี้ที่สวีฉางหลินพูดกับลูกสองคน นางอยู่ในห้องได้ยินหมดแล้ว
ถึงนางจะลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสองวันนี้ได้ยาก แต่สวีฉางหลินอยู่ต่อหน้าลูกทั้งสองคน คิดไม่ถึงว่าจะไร้ความรู้สึกเช่นนี้
“ข้าไม่ได้อยากให้พวกเจ้ามาเมืองหลวง”และไม่อยากให้พวกเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง
ประโยคด้านหลัง สวีฉางหลินไม่ได้พูดออกมา
โจวกุ้ยหลานมองสวีฉางหลานอย่างไม่อยากจะเชื่อ กล่าวว่า“เพราะฉะนั้นท่านหมายความว่า ตอนนั้นท่านอยากจะทอดทิ้งพวกข้าจริงๆใช่หรือไม่?”
สวีฉางหลินหรี่ตาลง กล่าวว่า“ข้าไม่ได้ทอดทิ้งพวกเจ้า”
เพียงแค่ไม่สามารถรู้จักยอมรับได้
“เช่นนั้นเหตุใดถึงกล่าวพูดเรื่องนี้กับข้า?เหตุใดจู่ๆก็ไม่ติดต่อข้า ทำให้อีกนิดเดียวข้าก็คิดว่าเกิดเรื่องกับท่าน?”
โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าเสียงในหัวสมองของนางล้วนเป็นเสียงร่ำไห้ของลูกสองคน นางรู้สึกว่าปวดหัวจะระเบิดแล้ว
เดิมทีความรู้สึกที่นางต้องการเขาอยู่ฝ่ายเดียว เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกสองคนที่ร้องไห้คิดไม่ถึงว่าจะถูกทำลายเหลือไว้เพียงชิ้นเล็กๆ
“ขอโทษนะ”สวีฉางหลินอ้าปากกล่าวออกมา ตั้งแต่ต้นจนจบพูดออกมาได้เพียงแค่สามคำนี้
จู่ๆโจวกุ้ยหลานก็รู้สึกตลกมาก นางเลยหัวเราะออกมา
นางเกิดความรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด จนถึงตอนนี้นางไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับสวีฉางหลินเลย
อีกอย่างเวลาเขาทำอะไรก็ไม่ได้มีการปรึกษานาง ชอบให้นางคาดเดาเอง
“กุ้ยหลาน……”สวีฉางหลินมองสีหน้าท่าทางนาง ตนเองก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่ในหัวใจ
เขาเอื้อมมือมาแตะสัมผัสมือของโจวกุ้ยหลานที่วางอยู่บนโต๊ะ
เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเขา โจวกุ้ยหลานอยากจะยิ้มออกมา นางยิ้มออกมาอย่างแผ่วเบา ยิ้มไปยิ้มมา น้ำตาก็ไหล
“สวีฉางหลิน ข้าพบว่าข้าไม่รู้จักและเข้าใจท่านเลยสักนิดหนึ่ง ตอนแรกนึกว่าท่านเป็นคนเฆ่าสัตว์คนหนึ่ง หลังจากนั้นรู้ว่าท่านเป็นลูกชายของ อัครมหาเสนาบดี และเป็นนายพลสวีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และตอนนี้ คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะอยู่ที่จวนหู้กั๋วกงด้วย…..”
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า กล่าวพูดว่า“ท่านไม่เคยเป็นคนมาพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้กับข้าเลย จนถึงตอนนี้ข้ากับลูกสองคนก็ยังไม่รู้เลยว่าถูกลากมาคลุกคลีกับเรื่องน่ากลัวอะไรอยู่ ท่านบอกข้าได้หรือไม่? บอกข้า ว่าสรุปแล้วสามีของข้าเป็นคนอย่างไร?”
เดิมทีนางไม่ใช่ไม่คิดเรื่องพวกนี้ แต่ไม่กล้าคิด
ทุกครั้งที่สงสัยสิ่งเหล่านี้ นางมักจะกดความคิดเหล่านี้ไว้ที่ก้นบึ้งหัวใจ
สวีฉางหลินขยับริมฝีปาก มองน้ำตาคลอเบ้าของโจวกุ้ยหลาน ความละอายใจค่อยๆกัดกินสติของเขาทีละนิดๆ
เป็นเวลานาน เขาถึงเอ่ยปากขึ้น เหมือนอยากจะกล่าวพูดอะไร แต่ทว่าลำคอกลับไร้เสียง เขากระแอมไอเล็กน้อย รู้สึกว่าลื่นคล่องคอแล้ว ถึงได้กล่าวขึ้นว่า“ขอโทษ ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้พวกเจ้าเข้ามาพัวพัน”
“แต่ข้าเข้ามาแล้ว”โจวกุ้ยหลานฟังการใช้น้ำเสียงที่สงบใจเย็นของตนเอง กล่าวขึ้นว่า“ไม่เพียงแค่ข้ากับลูกทั้งสองคน ยังมีท่านแม่ของข้า ท่านพี่ของข้า ครอบครัวของข้าทุกคน”
สวีฉางหลินรู้สึกตกใจกับอารมณ์ในดวงตาของนาง น้ำหนักมือของเขาเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว จนข้อมือเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
เป็นเวลานาน เขาถึงได้กล่าวว่า”ตระกูลสวี บรรดาศักดิ์สืบทอดต่อกันมาเป็นชั้นๆ ตอนข้าพาเสี่ยวเทียนออกไป ลุงใหญ่เป็นเอิร์ล ขุนนางชั้นที่สาม ท่านพ่อของข้าเป็นอัครมหาเสนาบดี ลุงใหญ่ไม่มีบุตรชาย บรรดาศักดิ์เลยตกทอดมาให้ท่านพ่อของข้า”
“ช่างเป็นคนมีตำแหน่งสูงศักดิ์เสียจริงๆ”โจวกุ้ยหลานกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
สวีฉางหลินไม่ได้ใส่ใจคำประชดประชันของโจวกุ้ยหลาน เขากล่าวต่อ“หลังจากข้าปกป้องชายแดนได้ องค์จักรพรรดิไม่ได้แต่งตั้งบรรดาศักดิ์เพิ่มเติมให้ข้า แต่แต่งตั้งให้ท่านพ่อของข้า กลายเป็นดยุค ส่วนตำแหน่งอัครเสนาบดี แน่นอนว่าไม่เหมาะให้เขาครอบครองแล้ว”
โจวกุ้ยหลานกล่าวว่า“เหตุใดความดีความชอบของท่านถึงให้ท่านพ่อของท่าน?”
“ถ้าหากว่าเอามาเพิ่มให้ข้า อำนาจทางการทหารจะตกอยู่ในมือของข้า ส่วนดยุค ก็แค่เงินเดือนมากกว่าเอิร์ล ขุนนางชั้นที่สาม และอาณาบริเวณที่องค์จักรพรรดิมอบให้หนึ่งผืน
สวีฉางหลินกล่าวถึงตรงนี้ ได้หลุบตาลง ปกปิดอารมณ์ของตนเอง
โจวกุ้ยหลานตื่นตะลึง กล่าวว่า“หู้กั๋วกงยังมีอาณาบริเวณที่องค์จักรพรรดิมอบให้หรือไม่?”
นั่นก็ใช่ว่าองค์จักรพรรดิน้อย?
“ใหญ่ประมาณหมู่บ้านต้าสือ”
สวีฉางหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
โจวกุ้ยหลานสีหน้าอึมครึม
สำหรับ ดยุคคนหนึ่ง อาณาบริเวณที่มอบให้น้อยเกินไปจริงๆ
แต่องค์จักรพรรดิองค์ปัจจุบันก็กลัวว่าอำนาจของตระกูลสวีจะมากเกินไป?
เห็นโจวกุ้ยหลานไม่ได้กล่าวพูด สวีฉางหลินก็ไม่ได้ปิดบังต่อ เขาพูดขึ้นตามความจริงว่า“เอิร์ล ขุนนางชั้นที่สามคนแรกของตระกูลสวี เป็นผู้ติดตามองค์จักรพรรดิที่สถาปนาบ้านเมืองต่อสู้มาด้วยกัน ตระกูลปกป้องต้าเหลียงมาหลายรุ่นหลายสมัย ตระกูลสวี มีฮองเฮาสามคน และไทเฮาสองคน”
“พอถึงยุคของข้า มีคนน้อย มีแค่ข้ากับฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ข้าตายแล้ว ตระกูลสวียิ่งถดถอยลงเป็นไม้ใกล้ฝั่ง เจ้าคิดว่ามีคนกี่คนที่ต้องการสังหารข้า?”
น้ำเสียงของสวีฉางหลิน เหมือนกำลังพูดคุยทั่วไประหว่างรับประทานอาหาร ไม่เหมือนคุยเรื่องความเป็นความตายของเขาเลย
ความรู้สึกเหล่านั้นที่อยู่ในใจของโจวกุ้ยหลานตอนนี้มันมลายหายไปไม่น้อย
“ข้าขอโทษ ตอนแรกข้าแค่อยากจะทำเรื่องที่ต้องการจะทำให้มันเสร็จ ค่อยมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขกับพวกเจ้า แต่ข้าไม่สามารถรั้งได้ จนเอาพวกเจ้าเข้ามาพัวพัน”
สวีฉางหลินพูดถึงตอนท้าย น้ำเสียงเบาลงมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะเขา โจวกุ้ยหลานกับลูกทั้งสองคนก็ไม่ต้องมาตกอยู่ในอันตรายแบบนี้
เขาควรจะจัดการเรื่องทั้งหมดตั้งแต่เนิ่นๆ โชคดี….โชคดีที่พวกเขาไม่เป็นอะไร…..
โจวกุ้ยหลานทุบลงที่แขนของเขาอย่างอดไม่ได้ กล่าวว่า“เหตุใดท่านถึงไม่รีบบอก? พวกเราเป็นสามีภรรยากันนะ เหตุใดถึงไม่สามารถบอกความจริงกับข้าได้?”
กล่าวจบ ก็รู้สึกแสบจมูกแปลบ น้ำตาหลั่งรินลงมา
ไม่รู้ว่าทำไม ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับสวีฉางหลิน นางมักจะอ่อนแอ เมื่อก่อนต่อให้รู้สึกแย่ นางก็ไม่อยากร้องไห้ แต่ตอนที่อยู่กับสวีฉางหลิน น้ำตาก็สามารถไหลออกมาได้ตลอดเวลา
กำลังคิดจะโทษตัวเอง ก็ได้เห็นสวีฉางหลินยื่นมือมาเช็ดซับน้ำตาให้กับนาง
เมื่อนางเงยหน้ามองไปทางสวีฉางหลิน ก็ได้สบสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสารจับใจของเขา
ตอนนี้นางมีความรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
“ข้าขอโทษนะ ข้าไม่อยากให้เจ้ามาพัวพันด้วย”สวีฉางหลินก้มศีรษะลง ปิดบังอารมณ์ความรู้สึกของตนเองไว้
โจวกุ้ยหลานพลิกมือมาหยิกมือของเขา กล่าวว่า“เหตุใดท่านจะต้องมาพูดขอโทษข้า? เหตุใดจะต้องเอาทุกเรื่องแบกไว้บนบ่า? เหตุใดท่านถึงไม่ถามว่าข้าพร้อมใจเผชิญหน้าเรื่องเหล่านี้กับท่านหรือไม่? เหตุใดไม่สามารถคิดหาวิธีที่เหมาะสมมาปกป้องลูกของพวกเราได้?”
“ถ้าตอนแรกท่านพูดเรื่องพวกนี้กับข้า ข้าจะปกป้องลูกให้ดี ค่อยมาปรากฏตัวข้างกายท่าน เผชิญหน้าเรื่องทั้งหมดนี้กับท่าน!”
โจวกุ้ยหลานก็พูดออกมาไม่ได้ว่าจริงๆแล้วตนเองรู้สึกอย่างไร แต่ตอนนี้รู้สึกเพียงแค่ว่าหงุดหงิด
นางอยากเผชิญหน้าเรื่องพวกนี้กับเขา แต่ลูกล่ะ? พวกเขาอายุน้อยเกินไป ไม่รู้เรื่องอะไรเลย จะต้องมารับสภาพแบบนี้หรือ?
“ช่วงที่ผ่านมาคนที่ลักพาตัวพวกเราคือใครหรือ? จุดมุ่งหมายคืออะไร? เหตุใดพวกเราถึงรอดกลับมาได้หมด? ท่านบอกกับข้าได้หรือไม่?”
สวีฉางหลินกล่าวว่า“สมุดเล่มนั้น บันทึกทางไปทางมาของเงินบรรเทาภัยพิบัติของเมืองหยวนเหอ สามารถลักพาตัวพวกเจ้าไปจากเสี่ยวจิ่วโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงได้ คนที่อยู่เบื้องหลังมีอำนาจมาก”