ตอนที่ 23 มีเรื่องอะไรให้บอกผม (รีไรท์)
ตอนที่ 23 มีเรื่องอะไรให้บอกผม (รีไรท์)
หลังจากที่ประโยคนั้นสิ้นสุดลงก็หันไปมองเครื่องซักผ้าใหม่เอี่ยมสิบเครื่อง ไม่มีใครไม่เห็นด้วยเรื่องนี้ นอกจากนี้ยังมีผู้เช่าบางคนที่ไม่รักษาความสะอาดเข้ามาขอโทษซูเถาด้วยใจจริง
จวงหว่านมองไปที่คนเหล่านั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจกับซูเถา
“ตอนนี้บรรยากาศระหว่างพวกเราดีมาก ระเบียงทางเดินของห้องพักที่ฉันเคยเช่าสกปรกแทบตาย ส่วนเจ้าของห้องก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไหนจะมีผู้เช่าทะเลาะเรื่องเกี่ยงกันว่าใครเป็นคนทิ้งขยะตามทางเดิน”
ซูเถาพยักหน้า “ดังนั้นการเลือกผู้เช่าที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ทางที่ดีเราควรโทรหาผู้เช่าและคัดกรองอย่างละเอียดก่อนจะให้พวกเขาย้ายเข้ามา เราไม่สามารถรับคนที่อันตรายเกินไปได้ เพื่อให้ทุกคนสามารถมีชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข”
จวงหว่านรีบจดบันทึกมันลงไป
ซูเถารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อแก้ปัญหาเรื่องสุขอนามัยได้และยังมีผู้ช่วยอีก ภาระของเธอจึงเบาบางลงมาก
ตอนนี้สิ่งที่จวงหว่านต้องทำก็คือหาผู้เช่ารายใหม่มาเช่าห้องชุด 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่นที่ยังเหลืออยู่อีกสองห้อง
หลังจากได้ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายอยู่สองวันก็มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
สองพี่น้องสกุลเถาเสียชีวิต
ศรีษะของซูเถาชาตึบแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ เธอรู้สึกมึนงงกับข่าวคราวที่ได้ยิน จู่ ๆ ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารติดต่อเธอเข้ามาพร้อมกัน และขอให้ไประบุศพผู้เสียชีวิต
การจากไปของพวกเขาทำให้ซูเถารู้ว่าสองพี่น้องสกุลเถาเป็นเด็กกำพร้า แต่ก่อนก็ใช้ชีวิตอย่างปกติ แต่เมื่อกลุ่มเพื่อนของพวกเขารู้ว่าทั้งสองมีสิ่งที่แตกต่าง พวกเขาทั้งหมดก็ตีตัวออกห่างทั้งคู่
“ใช่พวกเขาไหมครับ?” แพทย์นิติเวชที่สวมเสื้อคลุมสีขาวถาม พลางยกผ้าขาวขึ้น
ซูเถาเห็นรูเลือดขนาดใหญ่บริเวณหน้าอกของพวก ราวกับว่าถูกแทงด้วยสิ่งของบางอย่าง
“คนที่สูงกว่าคือพี่ชายชื่อเถาถงเหอ และคนที่ผอมกว่าคือน้องชายชื่อเถาถงเจี๋ย”
ซูเถาหลับตาและเบือนหน้าหนี เธอไม่กล้ามองภาพตรงหน้าอีกต่อไป
“รับทราบ อีกสักครู่พวกเราจะส่งคุณกลับไป”
“พวกเขาตายได้ยังไง” สุดท้ายซูเถาก็อดสงสัยไม่ได้
ยังไม่ทันที่แพทย์นิติเวชจะได้เอ่ยตอบ กองกำลังติดอาวุธที่อยู่ข้าง ๆ ก็ผายมือทำท่าเชื้อเชิญ
“คุณซู หน้าที่ของคุณคือการระบุตัวบุคคล ตอนนี้สามารถกลับได้แล้ว เชิญ”
เมื่อซูเถามองย้อนกลับไปเป็นครั้งสุดท้าย เธอก็เห็นขนนกสีแดงสดที่เท้าของเถาถงเจี๋ย
นี่มัน!
ทันทีที่ซูเถาถูกส่งออกไป สือจื่อจิ้นก็มารับเธอด้วยรถจี๊ปทหาร
“พลตรีสือ!” กองกำลังติดอาวุธทำความเคารพเขา
“พวกนายไปเถอะ ฉันจะไปส่งคุณซูเอง”
ทั้งสองรับคำสั่งและจากไปอย่างรวดเร็ว
“พวกเขาถูกซอมบี้ที่มีวิวัฒนาการฆ่าตายใช่ไหม” ซูเถาถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งทันทีที่เข้าไปในรถ
สือจื่อจิ้นตอบเพียงว่าใช่ด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ครั้งที่แล้วคุณก็ได้รับบาดเจ็บจากซอมบี้ที่มีวิวัฒนาการตัวนี้ด้วยหรือเปล่า?”
สือจื่อจิ้นคิดไม่ถึงว่าเธอจะคาดเดาได้ เธอเป็นคนช่างสังเกตจริง ๆ
ซูเถาลูบใบหน้าตัวเอง “ฉันเห็นขนนกชิ้นนั้นข้างตัวของเถาถงเจี๋ย มันเป็นสีแดงสดกว่าครั้งล่าสุดที่ฉันเห็นมันในถุงซิปที่คุณเอามา”
ใบหน้าของสือจื่อจิ้นเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม จากการวิจัยครั้งล่าสุดเกี่ยวกับขนนก ซอมบี้ตัวนี้เลี้ยงตัวเองด้วยเนื้อและเลือดของมนุษย์ ยิ่งขนนกสีแดงสดมากเท่าไหร่นั่นแปลว่าช่วงนี้มันฆ่าคนไปเป็นจำนวนมาก
ดูเหมือนจะไม่ได้มีเพียงแต่พี่น้องเถาเท่านั้นที่ถูกพวกมันฆ่าตาย
“ซูเถา วันนี้อย่าออกไปไหนคนเดียวนะ มีเรื่องอะไรให้บอกผม ผมจะมารับคุณเพื่อไปทำธุระต่าง ๆ เข้าใจไหม?” นี่มันครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อของเธอ และพูดอย่างเป็นกังวลด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“เรื่องการตายของพวกเขาสองคนคุณไม่ต้องโทษตัวเอง คุณเตือนพวกเขาด้วยความหวังดีแล้ว สถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้คือโชคชะตา”
ซูเถาพยักหน้า วางศีรษะของเธอไว้ที่พนักพิงศีรษะเบาะข้างคนขับ ตอนนี้เธอรู้สึกไร้เรี่ยวแรงราวกับว่าเรี่ยวแรงของเธอถูกดูดหายไป
“สือจื่อจิ้น คุณคิดว่าฉันจะปลุกความสามารถของตัวเองได้หรือเปล่า” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงแผ่ว
เธอไม่เคยรู้สึกอย่างวันนี้มาก่อน อันตรายมันอยู่รอบตัวเธอ แม้ว่าพี่น้องเถาจะมีพลังวิเศษ แต่พวกเขาทั้งหมดก็ถูกซอมบี้กลายพันธุ์สังหาร
ยิ่งกว่านั้นเธอเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีอำนาจหรือพลังใด ๆ
สือจื่อจิ้นลดเสียงของตัวเองลง “ไม่ต้องคิดมาก ขอแค่คุณเชื่อฟังแล้วบอกผมเวลาคุณมีเรื่องอะไรก็พอแล้ว”
ซูเถาคิดกับตัวเองว่าเขาไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้ตลอดเวลา อีกอย่างเธอกับเขาเป็นอะไรกัน ทำไมเขาถึงต้องมารับผิดชอบชีวิตของเธอ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองยังไม่กล้าแม้แต่จะสัญญาว่าจะรักษาชีวิตตัวเอง แต่เขาพร้อมที่จะอุทิศตนเพื่อปณิธานอันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ
เธอต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้
เมื่อกลับมาที่เถาหยาง ผู้เช่าที่อยู่ในหอพักก็มารวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่น
“เถ้าแก่ซู เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”
“เถ้าแก่ซู ได้ยินว่าเขาไม่อยู่แล้วเหรอ โอ้พระเจ้า”
“ฉันเพิ่งจะคุยกับเขาเมื่อวานเองนะ ไม่น่านะ จำคนผิดหรือเปล่า”
……
หญิงวัยกลางคนที่ชื่อเหวินเพ่ยเจินไม่ได้มาร่วมวงสนทนา แต่เธอเองก็เงี่ยหูฟังอยู่ไม่ไกล
สีหน้าของซูเถาหนักอึ้ง “เขาจากไปแล้ว ยังไม่ทราบสาเหตุของการตาย”
เรื่องของซอมบี้กลายพันธ์ุนั้นไม่สามารถเผยแพร่สู่สาธารณชนได้ เพราะนอกจากจะสร้างความตื่นตระหนกแล้วยังจะจัดการได้ยาก
“ไม่นะ จากไปแล้วจริง ๆ เหรอ เมื่อสองสามวันก่อนเพิ่งบอกว่าไม่ให้ออกไปไหน แต่ว่าพวกเขาสองคนไม่เชื่อ คิดไม่ถึงว่า…”
“ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องขอลางานสักพัก ฉันไม่กล้าออกไปทำงานแล้ว แบบนี้มันน่ากลัวเกินไปจริง ๆ”
“ใช่ ๆ โชคดีที่เถ้าแก่ซูเตือนว่าช่วงนี้ไม่ให้ออกไปไหน พอเลิกงานฉันก็รีบตรงกลับมาที่เถาหยางเลย”
“น่าเสียดายจริง ๆ ทั้งคู่ยังเด็กอยู่เลย อายุไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ”
……
เมื่อเหวินเพ่ยเจินได้ยินทั้งหมดนี้ ใบหน้าของเธอซีดเซียวและไม่กล้าพูดอะไรออกมา
ซูเถาเก็บของส่วนตัวของสองพี่น้อง แต่เธอไม่รู้ว่าจะส่งไปที่ไหน
พวกเขาไม่มีพ่อแม่และญาติหรือแม้กระทั่งเพื่อน ส่วนใหญ่เป็นรูปภาพในช่วงวันสิ้นโลกของพวกเขา
หลังจากลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า ซูเถาก็เก็บข้าวของทุกอย่างและขอให้สือจื่อจิ้นช่วยส่งมันไปที่ภูเขาหินนอกฐานและฝังมันไว้
ห้องเตียงคู่กลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง
คงไม่มีใครกล้ามาอยู่ห้องนี้แล้ว ดังนั้นซูเถาจึงตัดสินใจทุบผนังทิ้ง โยนเฟอร์นิเจอร์ไปที่ระบบรีไซเคิล และสร้างพื้นที่ว่างสำหรับห้องซักรีด
วางเครื่องซักผ้าสิบเครื่องไว้ข้างผนังทีละเครื่อง และติดตั้งชั้นวางใหม่ที่ทางเดินตรงกลางเพื่อเก็บอุปกรณ์อาบน้ำตามปกติของทุกคน
คราวนี้ผู้เช่าถอนหายใจเมื่อเห็นพื้นที่ส่วนกลางใหม่ เพิ่งเห็นกันอยู่หลัด ๆ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริง ๆ พวกเขาควรฟังที่เถ้าแก่ซูเตือนตั้งแต่แรก
เมื่อรู้ข่าวนี้ จวงหว่านก็กังวลเป็นอย่างมาก หญิงสาวคว้าตัวซูเถามาแล้วถามว่า “พวกเขาถูกซอมบี้กัดตายใช่ไหม? มีข่าวลือข้างนอกว่าซอมบี้เข้ามาในเมืองแล้ว นี่มันน่ากลัวเกินไป คุณอย่าออกไปไหนนะ พวกเราไม่มีแรงพอที่จะออกไปต่อสู้กับซอมบี้”
ซูเถารู้ว่าเธอขี้กลัว ดังนั้นจึงปลอบใจว่า “ไม่ต้องกังวลนะ ถ้าพี่ไม่ออกไปข้างนอกมันก็จะไม่มีอะไร แล้วตอนนี้ตามการเลือกผู้เช่าสำหรับห้องชุดทั้งสองห้องเป็นยังไงบ้าง”
ความสนใจของจวงหว่านถูกหันเหไป เธอไม่ได้ตื่นตระหนกอย่างที่คิด รีบเข้าสู่โหมดการทำงานอย่างรวดเร็วและพูดว่า
“มีผู้สมัครค่อนข้างมาก ฉันระบุเบื้องต้นไว้ 2 คน เป็นสามีภรรยากัน มียศทางทหารทั้งคู่ ฉันโทรหาแล้วดูพูดจาเรียบร้อยดี”
“แต่ว่าอีกคู่หนึ่งฉันยังไม่ได้ตัดสินใจ แล้วก็ยังลังเลอยู่เล็กน้อย แต่เซี่ยงปินเคยมาหาฉันครั้งหนึ่งเขาบอกว่าเขามีลูกชายของเพื่อนเก่าซึ่งกำลังจะแต่งงานเร็ว ๆ นี้ ชายหนุ่มคนนี้ไม่เลวเลยล่ะ ได้ยินมาว่าครอบครัวของเขาเป็นวิศวกรรุ่นเก่าในฐานของเรา ไม่รู้ว่านี่เป็นการพูดโอ้อวดหรือเปล่า”
จากนั้นเธอก็ลดเสียงลงและพูดว่า “แต่ฉันคิดว่าชายหนุ่มสกุลซูที่เขาแนะนำให้ฉันรู้จักกับคู่หมั้นไม่ค่อยดีเท่าไร ฉันโทรไปได้ยินว่าพวกเขายังคงโต้เถียงกัน ผู้หญิงคนนั้นก็ดูไม่ใช่คนมีเหตุผล ไม่รู้ว่าเซี่ยงปินหลอกเราหรือเปล่า”