ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 34 ฉันจะได้เสวยสุขแล้ว

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 34 ฉันจะได้เสวยสุขแล้ว

ตอนที่ 34 ฉันจะได้เสวยสุขแล้ว

ซูเถาวางการกระทำที่หยาบคายลงและเข้าไปถามอย่างสุภาพ

“ขอโทษนะคะ นี่ใช่ผู้อาวุโสเหม่ยหรือเปล่าคะ?”

จวงหว่านรู้สึกทึ่งกับใบหน้าที่เปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็วของซูเถา

ชายชราที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างได้ยินเสียงจึงหันกลับมามองช้า ๆ

ซูเถาและจวงหว่านเพิ่งเห็นว่าเขานั่งอยู่บนรถเข็น รถเข็นนี้ดูเหมือนว่าจะขึ้นสนิมและมีเสียงที่เสียดสีกันเมื่อหันกลับมา

ชายชราที่มีผมหงอก ใบหน้าซีดเซียว เขาสวมเสื้อแจ็กเก็ตหลวม ๆ ทำให้รูปร่างยิ่งดูผอม ขาแว่นตาที่สวมใส่ก็หัก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ได้รับการดูแล

เขาลดแว่นลงกึ่งหนึ่งแล้วเหล่ตาไปที่คนทั้งสองพลางถามด้วยความสงสัย “พวกเธอเป็นใคร?”

ซูเถาก้าวไปด้านหน้า เธอย่อตัวลงครึ่งหนึ่งให้อยู่ในระดับสายตาของชายชราแล้วพูดอย่างสุภาพ

“ผู้อาวุโสเหม่ย พวกเรามาจากเถาหยาง ฉันอยากจะมาเชิญคุณให้ช่วยวางแผนและออกแบบที่ดินของเถาหยาง เป็นการออกแบบพื้นที่ให้ออกมาในลักษณะของชุมชน”

เมื่อเหม่ยหงอี้ได้ยินดังนั้นเขาก็หมุนรถเข็นกลับ ราวกับว่าเขาไม่อยากจะเห็นพวกเธอ

“ใครให้พวกเธอมาหาฉัน? เขาไม่ได้บอกพวกเธอเหรอว่างานของฉันมันเป็นมโนภาพ มันเป็นไปไม่ได้ในยุคนี้”

ซูเถาวางแขนที่รถเข็นและพูดอย่างจริงจัง

“ฉันเคยเห็นผลงานของคุณ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่มาหาคุณที่นี่หรอก เถาหยางต้องการสถาปนิกอย่างคุณ ผู้อาวุโส อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธฉันเลยนะ หรือว่าให้ฉันพาคุณไปดูที่เถาหยางก่อน ให้คุณได้ไปเห็นด้วยตาตัวเองหรือไม่ก็ลองไปปักหลักที่นั่นดู ส่วนเรื่องที่อยู่อาศัยเดี๋ยวฉันจะเป็นคนช่วยจัดการให้”

เหม่ยหงอี้ถอดแว่นตาออก เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอแล้วยิ้ม “แม่หนู เธออยากจะเลี้ยงฉันไปจนแก่ตายหรือไง?”

ซูเถาพูดอย่างจริงจัง “ถ้าคุณต้องการ”

เหม่ยหงอี้หัวเราะ “งั้นไปกันเถอะ ถ้าคนแก่ ๆ อย่างฉันยังมีประโยชน์ แม่หนูชื่ออะไรนะ?”

“ซูเถาค่ะ”

“เอาล่ะ แม่หนู ฉันจะได้เสวยสุขแล้ว”

กวานจือหนิงที่เพิ่งมาจากการไปหาที่จอดรถก็เข้ามาช่วยจวงหว่านประคองชายชรา

ซูเถาอยู่ข้างหลังช่วยเก็บสัมภาระใส่กระเป๋าเดินทางแบบง่ายๆ

สิ่งของของผู้อาวุโสน้อยจนน่าเวทนา เขาไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าที่จะเปลี่ยน สิ่งที่เขามี มีแต่กระดานวาดภาพและแบบร่างจากจินตนาการมากมาย

ซูเถาสุ่มหยิบขึ้นมาหนึ่งใบ สิ่งนั้นเป็นแบบร่างของสวนสาธารณะที่ถูกวาดด้วยมืออย่างพิถีพิถัน มีที่นั่งรอบ ๆ สวนดอกไม้ มีต้นอู๋ถงที่ปลูกเพื่อให้ร่มเงา และมีน้ำพุอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยโดยมีเด็ก ๆ เล่นน้ำอยู่รอบ ๆ

มีแบบร่างของโรงเรียน แบ่งเป็นเขตการเรียนการสอน หอพัก ลานกว้างพร้อมลู่วิ่งที่สะอาด สนามบอลที่มีอุปกรณ์ครบครัน…

นี่คือโลกในความคิดของผู้อาวุโสเหม่ยสินะ

เป็นโลกในความคิดเธอเช่นกัน

เมื่อถานฟางชุนเห็นชายชราถูกหามออกไปเธอก็ส่งเสียงตะโกน

“เฮ้ย ๆ พวกเธอจะทำอะไรน่ะ?”

ซูเถากล่าวว่า “ก็ถ้าเขายังไม่คืนเงินเรา เราก็จะพาตัวเขาไป แต่ถ้าคุณยินดีชดใช้เงินแทนเขา เราก็จะปล่อยเขาไป”

ถานฟางชุนจะชดใช้เงินแทนเขาได้อย่างไร เธอรีบแย้งว่า

“เงินที่เขายืมพวกคุณไปมันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันนี่ อยากจับเขาก็จับไปสิ”

เมื่อได้ยินว่าซูเถาจะให้เธอชดใช้เงินแทน เธอจึงรีบเข้าไปในบ้านแล้วปิดประตูดังปัง

จวงหว่านชมเชยเธอและกระซิบว่า “คุณนี่สุดยอดไปเลย ผู้หญิงคนนี้โลภเกินไป ถ้าเธอรู้ว่าผู้อาวุโสเหม่ยจะไปที่เถาหยางกับพวกเรา บางทีเธออาจเรียกร้องผลประโยชน์และไม่ยอมให้เขาไปกับเรา”

เหม่ยหงอี้แอบยิ้ม ไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินหรือไม่

เมื่อกวานจือหนิงเห็นว่าชายชรามีความสุข จึงคิดว่าเขาคงเป็นอีกคนที่ตกหลุมพรางของซูเถาเข้าให้แล้ว

สิ่งนี้ทำให้เธอมีความมุ่งมั่นมากขึ้น เธอต้องไม่ถูกผู้หญิงแซ่ซูคนนี้ควบคุม เธอต้องอยู่ให้ห่างจากหลุมพรางที่อีกฝ่ายขุดเอาไว้ ตอนนี้หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว

หลังจากพาชายชราไปนั่งที่เบาะหลังแล้ว ซูเถาก็หยิบข้าวกล่องออกมาจากกระเป๋าสะพายของเธอ

“ได้เวลากินข้าวแล้ว แถวนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่ากิน กินข้าวกล่องรองท้องไปก่อนนะ แล้วเดี๋ยวฉันค่อยพาทุกคนไปร้านอาหารทีหลัง”

เมื่อกวานจือหนิงเห็นข้าวกล่องที่ซูเถาหยิบยื่นให้ เธอก็ลังเลอยู่พักหนึ่งแต่สุดท้ายเธอก็รับมาแล้วเปิดกิน

ครั้งหน้าค่อยปฏิเสธแล้วกัน

ซูเถากลัวว่าฟันของเหม่ยหงอี้จะไม่ดี เนื่องจากเขามีอายุที่มากแล้ว เธอจึงนำข้าวกล่องนั้นแช่ในน้ำร้อนครู่หนึ่งเพื่อให้ข้าวอุ่นและนุ่ม จากนั้นถึงส่งข้าวที่อุ่นแล้วให้แก่เขา

เหม่ยหงอี้มองข้าวในมือแล้วถามว่า “นี่คือข้าวขาวเหรอ?”

ซูเถาพยักหน้า

เหมยหงอี้ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาค่อย ๆ กินคำเล็ก ๆ อย่างระมัดระวังแล้วพูดออกมาเป็นระยะ ๆ ว่า

“รสชาติของยี่สิบปีที่แล้ว…ตอนนี้ยังมีพื้นที่สำหรับปลูกข้าวอยู่เหรอ”

“ฉันจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ผืนนาที่บ้านใหญ่มาก แม่ตะโกนเรียกฉันจากอีกฝั่งของทุ่งนาต้องตะเบ็งเสียงดังไปตามคันนา”

“ฉันวิ่งจากนาฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งอย่างเหนื่อยหอบ ไม่เหมือนตอนนี้ แค่ยืดแขนออกก็กลัวจะไปโดนเพื่อนบ้านแล้ว”

หญิงสาวทั้งสามไม่เคยเห็นนาข้าวขนาดใหญ่มาก่อน พวกเธอจินตนาการถึงภาพนั้นไม่ออก

ก่อนวันสิ้นโลกเป็นแบบนี้เองเหรอ อิสระและไม่มีข้อจำกัด

เหม่ยหงอี้กินอย่างมีความสุข รู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

หลังจากกินอาหารดี ๆ จนอิ่มท้องแล้ว คนขับรถก็ค่อย ๆ ขับรถออกไปเพราะซูเถาสั่งให้ขับช้า ๆเนื่องจากมีผู้สูงอายุอยู่ด้วย

เหม่ยหงอี้มองออกไปนอกหน้าต่างรถ “ยี่สิบปีแล้ว ย้อนกลับไปไม่ได้แล้วสินะ”

ซูเถามองตามสายตาของเขา ก็เห็นอาคารที่ทรุดโทรมและดูเหมือนจะพังทลายลงในไม่ช้า ที่หน้าต่างก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่ถูกแขวนเอาไว้ เมื่อเขามองเข้าไปเห็นว่านี่ควรจะเป็นทางเข้าของสวนสาธารณะ แต่หลังวันสิ้นโลกก็ถูกเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างอาคารเพื่อรองรับคนที่มีจำนวนมากขึ้น

เธอนึกถึงสวนที่ผู้อาวุโสเหม่ยได้ร่างแบบเอาไว้

จริงอย่างที่เขาว่า มันย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว

“ถ้าย้อนกลับไปไม่ได้ งั้นพวกเราก็สร้างมันขึ้นมาใหม่สิคะ” จู่ ๆ เธอก็พูดออกมา

เหม่ยหงอี้ตกใจและหัวเราะทันที “แม่หนู อายุของเธอน่ะยังน้อย แต่จิตใจของเธอนี่ไม่เด็กเลยจริง ๆ ในวันสิ้นโลกแบบนี้จะมีที่ดินมากขนาดนั้นได้อย่างไร?”

ซูเถากล่าวว่า “เดี๋ยวจะมีที่ดินผืนหนึ่งค่ะ ฉันคงต้องรบกวนให้คุณช่วยวางแผนและออกแบบ ทำตามความคิดของคุณได้เลยค่ะ”

เหม่ยหงอี้ไม่ปฏิเสธ “คำพูดเป็นนายคนนะ เธอตัดสินใจดีแล้วเหรอ”

ซูเถาตอบเสียงดัง “ค่ะ เอาตามที่คุณว่าเลยค่ะ พวกเราทุกคนคิดเห็นเหมือนกัน คือพวกเราต้องการมีบ้านที่สะดวกสบายและมั่นคง แล้วก็อยากมีสภาพแวดล้อมที่ดี ใช่ไหม?”

เหม่ยหงอี้รู้สึกว่าไม่เพียงสายตาของเขาเท่านั้นที่พร่ามัว แต่หูของเขาก็ยังไม่ดีอีกด้วย เขาได้ยินเด็กสาวที่เกิดในยุคนี้บอกว่าต้องการบ้านที่สะดวกสบายแทนที่จะเป็นที่อยู่อาศัยเล็ก ๆ ที่พักกันได้หลายคน

และคำก็เป็นสิ่งที่เขาอยากได้ยินมาโดยตลอด “ใช่”

ซูเถายิ้มออกมา ภายในเดือนเมษายนนี้วันสิ้นโลกจะหมดสิ้นไป

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
คอยดูเถอะ…วันสิ้นโลกแบบนี้ฉันจะยืนด้วยด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท