ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 39 ที่เถาหยางฉันมีอำนาจสูงสุด

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 39 ที่เถาหยางฉันมีอำนาจสูงสุด

ตอนที่ 39 ที่เถาหยางฉันมีอำนาจสูงสุด

“จะทำอะไร? เธอจะทำอะไร?” เหวินเพ่ยเจินรู้สึกหวาดกลัว

ซูเถาบอกว่า “คุณจะไปที่รั้วลวดหนามนั่นด้วยตัวเอง หรือว่าจะให้ฉันช่วยล่ะ?”

เหวินเพ่ยเจินอดไม่ได้ที่จะสั่นกลัวเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาของเธอ “เธอ…เธอคิดจะทำอะไร?”

ซูเถาผายมือไปทางกวานจือหนิง “ขอยืมปืนหน่อย”

กวานจือหนิงเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นยกเสื้อคลุมกันลมขึ้นแล้วดึงปืนที่เอวออกมายื่นให้ซูเถา

ซูเถาไม่รู้วิธีใช้ปืน แต่เธอก็เล็งไปที่เหวินเพ่ยเจิน “คิดจะทำสิ่งนี้”

ใบหน้าของเหวินเพ่ยเจินซีดเหมือนไก่ต้ม “เธอคิดจะฆ่าคนที่นี่เหรอ?”

ซูเถาตอบว่า “ที่นี่คือเถาหยาง ไม่ใช่ตงหยาง ที่นี่ฉันมีอำนาจสูงสุด ไม่ว่าใครก็ทำร้ายคนที่นี่ไม่ได้ คุณเข้าใจหรือยัง?”

“ถ้าเลือดไม่ออก ไม่ถูกลวดหนามนั่นกรีดเข้าไปที่หน้าก็คงไม่เข้าใจ ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม ไม่อย่างนั้นฉันจะลั่นไกปืนนี่ซะ”

กวานจือหนิงเริ่มอพยพผู้เช่าคนอื่น “ทุกคนยืนห่าง ๆ ระวังเลือดกระเซ็นใส่เวลาปืนได้ลั่นออกไป”

ทุกคนถอยหลังไปสามก้าว

เหวินเพ่ยเจินทั้งหวาดกลัวทั้งโกรธ “พวกแกมันสัตว์เลือดเย็น! เราอยู่ด้วยกันมานาน แต่ท้ายที่สุดก็เฝ้าดูถูกฉันและปฏิบัติกับฉันแบบนี้ ถ้าซูเถาทำกับฉันแบบนี้ได้ วันหน้าเธอก็ทำกับคนอื่นได้!”

แม่เฉียนทนไม่ไหวอีกต่อไป “เวลาอย่างนี้เธอก็ยังสร้างความขัดแย้งอยู่อีกเหรอ มีแต่เธอนั่นแหละที่ทำร้ายเด็กตัวเล็ก ๆ อายุไม่ถึงสิบขวบ! ถ้าฉันเป็นจวงหว่านแล้วเธอมาทำร้ายลูกของฉันแบบนี้ ฉันนี่แหละที่จะฆ่าเธอด้วยมือของฉันเอง!”

ซูเถา “สาม”

“สอง”

เหวินเพ่ยเจินมองไปที่ลวดหนามบนกำแพงสูง เธอหลับตาลงอย่างยอมแพ้แล้ววิ่งไปข้างหน้า

แต่เธอออกแรงไม่ถึง 30% จากกำลังทั้งหมดของเธอด้วยซ้ำ เธอเพียงเอาหน้าผากเข้าไปข่วน และมีเพียงเลือดซึมออกมาเล็กน้อยเท่านั้น

กวานจือหนิงส่งเสียง “เหอะ น่ารำคาญจริง ๆ ฉันช่วย”

เมื่อพูดจบเธอก็กระชากผมของเหวินเพ่ยเจินแล้วจับกระแทกเข้ากับกำแพงสุดกำลัง ผิวหน้าของถูกลวดหนามข่วนทันที ทำให้มีคราบเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วกำแพง

เปลือกตาของซูเถากระตุกเล็กน้อย เธอตกใจพฤติกรรมที่รุนแรงของกวานจือหนิง

กวานจือหนิงเองก็รู้สึกถึงความร้ายแรงเช่นกัน เธอหยุดมือลงหลังจากกระแทกไม่กี่ครั้ง

ซูเถานั่งยอง ๆ ต่อหน้าเหวินเพ่ยเจินที่กำลังหวาดกลัวจนเสียงหาย

“แค่เสียโฉมมันน้อยไปจริง ๆ สำหรับคนแบบคุณที่ทำกับเด็กอายุไม่ถึงสิบขวบแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงใบหน้าของเธอที่มีรอยขีดข่วนแต่เธอเกือบสูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง เดือนนี้คุณยังไม่ได้จ่ายค่าเช่าห้อง เก็บข้าวเก็บของของคุณออกไปซะ รีบออกไปจากที่นี่ก่อนสี่ทุ่มคืนนี้ หรือว่าคุณอยากจะสัมผัสกับความแข็งของกำแพงนี้อีกครั้ง”

……

เมื่อซูเถาและกวานจือหนิงมาถึงโรงพยาบาลตงหยาง เฉินซีก็ทำแผลเสร็จเรียบร้อยและผล็อยหลับไปแล้ว

หัวโดนพันเหมือนห่อบ๊ะจ่าง

จวงหว่านตาแดงก่ำ “ที่หางตามีรอยขีดข่วนลึกสองมิลลิเมตร จากการบาดเจ็บนี้อาจทำให้ส่งผลต่อการมองเห็นในช่วงพักฟื้น”

เฉินหยางก้มหน้าลงข้างเธอ เขาร้องไห้สะอื้น “มัน…มันเป็นความผิดของผมเอง ถ้าผมไม่เล่นสนุกและอ้อมไปด้านหลังโรงอาหาร น้องก็คงไม่ตามมาด้วยแล้วก็ไม่ต้องมาบาดเจ็บแบบนี้”

จวงหว่านเบือนหน้าหนีแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมา

ซูเถาคุกเข่าลง กอดเฉินหยางไว้พลางพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเรานะ มันเป็นเรื่องของคนนิสัยไม่ดีแล้วทำเรื่องแย่ ๆ ออกมา ในอนาคตถ้าเจอเรื่องแบบนี้ให้มาปรึกษาผู้ใหญ่ก่อนนะ ตกลงไหม? เมื่อเราโตขึ้นสามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว ก็ค่อยตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะจัดการกับคนไม่ดียังไง”

เฉินหยางพยักหน้าและกำหมัดแน่น “พี่เถาจื่อ ผมจะรีบโต พอผมมีพลังแล้วผมจะได้ปกป้องน้องสาว ปกป้องแม่แล้วก็ปกป้องพี่ได้”

และสุดท้ายเขาก็แอบกระซิบบางอย่าง “แล้วก็จะปกป้องเถาหยาง…”

ซูเถาหัวเราะ “เอาล่ะ รีบโตไว ๆ นะ ในอนาคตเถาหยางต้องพึ่งพานาย”

เฉินหยางพยักหน้าอย่างแรงราวกับว่าเขามีความรับผิดชอบและภาระหนักอึ้งบนไหล่เล็ก ๆ ของเขา

หลังจากออกจากวอร์ด จวงหว่านกล่าวขอโทษว่า “เดิมทีตอนบ่ายวันนี้ฉันนัดพ่อแม่ของสิงซูอวี่ไว้เพื่อทำการลงทะเบียนเข้าพัก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันแล้ว ฉันจะส่งข้อความไปหาเธอในภายหลังแล้วนัดหมายเธอใหม่ในวันพรุ่งนี้”

ซุเถาพยักหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ พี่ดูแลเฉินซีก่อนเถอะค่ะ คอยปลอบเธอเมื่อเธอตื่นขึ้น เหวินเพ่ยเจินก็โดนจัดการแล้ว อนาคตจะไม่ได้เห็นเธอในเถาหยางอีก”

จวงหว่านรู้สึกขอบคุณซูเถาเป็นอย่างมาก และรีบเช็ดน้ำตาที่หัวตาทันที

“ฉันมันไม่ได้เรื่องจริง ๆ มีเรื่องอะไรนิดหน่อยก็ร้องไห้ออกมาแล้ว ฉันดูแลลูกได้ไม่ดี ต้องรบกวนคุณทุกเรื่อง”

จวงหว่านรู้สึกละอายใจ

เฉินซีได้รับบาดเจ็บ คนแรกที่เธอนึกถึงก็คือซูเถา

เธอไม่รู้ตัวเลย ว่าเธอเอาแต่พึ่งพาซูเถาจนเคยชินทั้งที่ซูเถาอายุน้อยกว่าเธอ

ซูเถาปลอบใจเธอ “ถ้าไม่มีพี่ช่วยดูแลเรื่องต่าง ๆ ฉันเองก็คงปวดหัวมาก แต่ละคนนั้นเก่งไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่นถ้าเรียกจือหนิงมาทำเรื่องแบบฟอร์ม ก็คงมีแค่ตัวเธอคนเดียวที่ดูรู้เรื่อง”

กวานจือหนิงปรากฏตัวขึ้นจากมุมห้องด้วยสีหน้าสงสัย “พวกคุณกำลังพูดถึงฉันเหรอ?”

ซูเถาพยักหน้าแล้วก็หยอกล้อเธอเล่น “กำลังพูดว่าคุณดูดีมากเมื่อจับปืน”

กวานจือหนิงมีสีหน้าที่สดใส “เมื่อก่อนพลตรีสือก็เคยยกย่องฉันว่าเป็นนักแม่นปืนของกองทัพบุกเบิก”

จวงหว่านหัวเราะทั้งน้ำตา

หลังจากที่ทั้งสามคนเดินออกไป ก็มีคนโผล่ออกมาจากมุม ๆ หนึ่ง

ถานฟางชุนจำได้ ว่าสามคนนี้คือพวกคนโกหกที่พาตัวชายชราไป!

เธอรีบเปลี่ยนเครื่องแบบคนทำความสะอาดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วรีบกลับบ้านไปบอกเหม่ยซิ่งเสียนอย่างตื่นเต้น

“ฉันเห็นพวกคนโกหกที่พาตัวพ่อคุณไปที่โรงพยาบาล ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล!”

เหม่ยซิ่งเสียนที่กำลังสูบบุหรี่เมื่อได้ยินดังนั้นก็โยนบุหรี่ในมือทิ้ง “วอร์ดไหน?”

ถานฟางชุนอ้ำอึ้ง “ฉันจำไม่ได้ แต่เหมือนจะเป็นชั้นสามนะ ฉันเห็นพวกเขาที่นั่น”

เหม่ยซิ่งเสียนหายใจเข้าลึก ๆ “แล้วเธอได้ถามพยาบาลหรือเปล่าว่าพวกเขาจะพักอยู่ที่โรงพยาบาลนานแค่ไหน? หรือที่คุณเห็นคือพวกเขากำลังทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล”

ถานฟางชุนนิ่งเงียบอีกครั้ง “เอ่อ เมื่อฉันเห็นพวกเขา ฉันก็เลยรีบกลับมาบอกคุณก่อน ก็เลยไม่ได้ถาม”

เหม่ยซิ่งเสียนอยากจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาปาใส่หน้าเธอ “โง่จริง ๆ!”

หลังจากที่เขาต่อว่าเธอ เขาก็รีบสวมเสื้อแล้วตรงไปที่โรงพยาบาลตงหยาง โชคดีที่ในตงหยางมีโรงพยาบาลแค่แห่งเดียว และมีเพียงอาคารเดียวเท่านั้น

แม้ว่าจะมีแค่อาคารเดียว แต่ซูเถาก็อิจฉาเป็นอย่างมาก

เธอไม่เคยเห็นโรงพยาบาลอื่นมาก่อน แต่เธอคิดว่าในตงหยางนั้นสะดวกมากที่มีโรงพยาบาล คงจะดีมากถ้าในเถาหยางก็สามารถสร้างโรงพยาบาลได้

แต่เธอก็เพิ่งคิดได้ ประการแรกไม่มีอุปกรณ์ ประการที่สองไม่มีพรสวรรค์ สร้างอาคารไปก็เปล่าประโยชน์

ทันทีที่มาถึงเถาหยาง หลิวพ่านพ่านก็รออยู่อย่างกระวนกระวายใจ เมื่อเธอเห็นซูเถากลับมาก็รีบเข้าไปทักทาย

“ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม? ฉันได้ยินมาว่าใบหน้าของเฉินซีถูกลวดหนามข่วน มันร้ายแรงมากหรือเปล่า ท่านผู้อาวุโสก็กังวลมากเช่นกัน”

ซูเถาใช้โอกาสนี้ไปกับเธอเพื่อที่จะไปพบผู้อาวุโสเหม่ย และอธิบายสถานการณ์สั้น ๆ ว่า นอกเหนือจากการทิ้งรอยแผลเป็น ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นกังวล

หลิวพ่านพ่านรู้สึกเป็นทุกข์เมื่อได้ยินสิ่งนี้ “อายุยังไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ รอยแผลบนใบหน้านั้นมันมากเกินไป”

ใครว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่

ซูเถาถอนหายใจ “ฉันไม่รู้ว่าพอจะมีผู้ที่ใช้พลังรักษาคนไหนบ้าง”

ผู้ใต้บังคับบัญชาของสือจื่อจิ้นนั้นพอมีอยู่ แต่ก็ไม่แน่นอนว่าพวกเขาจะกลับมาเมื่อไหร่ บาดแผลบนใบหน้าของเฉินซีไม่สามารถปล่อยไว้นานเกินไป ไม่เช่นนั้นมันจะรักษาให้หายได้ยาก

ผู้อาวุโสเหม่ยที่นิ่งเงียบมานานจู่ ๆ ก็พูดขึ้นว่า “มีคนแซ่จง อยู่ที่เขตตะวันออกในชั้นใต้ดินของโรงรถร้างแถวฉวนเหอโกว แต่ต้องจ่ายเงินก็รักษา”

กวานจือได้ยินคำพูดนั้นและพูดว่า “สถานที่นั้นไม่ง่ายเลยที่จะไป เป็นสถานที่ที่สกปรกและซับซ้อนที่สุดในเขตตะวันออก มันไม่ใช่สถานที่ที่ดีนัก แม้แต่พี่เผยเองก็ยังละทิ้งคำสั่งการควบคุมที่นั่น”

ซูเถาพยักหน้าและปล่อยให้จวงหว่านเป็นคนตัดสินใจเอง

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
คอยดูเถอะ…วันสิ้นโลกแบบนี้ฉันจะยืนด้วยด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท