ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 47 เสือนอนกิน

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 47 เสือนอนกิน

ตอนที่ 47 เสือนอนกิน

สถานีโทรทัศน์ตงหยาง

ผางหงเพิ่งจะกลับมาจากเลิกงาน เพื่อนบ้านที่คุ้นเคยก็มาขวางเธอไว้แล้วพูดจาประจบประแจง

“เสี่ยวผาง ฉันจำได้ว่าเธอลงทะเบียนเพื่อเข้าพักในเถาหยางไม่ใช่เหรอ ฉันขอร้องเธอสักเรื่องสิ ถ้าเธอได้เข้าไปช่วยแนะนำครอบครัวฉันหน่อยนะ ตอนนี้ที่เถาหยางจะเลือกผู้ที่จะเข้าพักที่ได้รับการแนะนำก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นความน่าจะเป็นที่ใบสมัครของครอบครัวเราจะได้รับการอนุมัตินั้นสูงมาก เธอวางใจได้เลย หากว่ามันสำเร็จเราจะตอบแทนเธออย่างงาม”

ผางหงไม่เข้าใจ “ป้าซ่ง คุณต้องบ้าไปแล้ว ตอนนี้ที่เถาหยางมีเรื่องอื้อฉาวเรื่องการลักพาตัวและทำร้ายร่างกายจนเสียโฉม คุณยังกล้าไปอีกเหรอ? คุณไม่กล้วเหรอว่าวันหนึ่งจะถูกทำให้หน้าเสียโฉม แล้วโยนออกไปบนถนน หรือไม่ก็โดนไล่ออกทั้งที่จ่ายค่าเช่าแล้ว?”

ป้าซ่งเพื่อนบ้านพูดขึ้นว่า “ต้องเป็นข่าวลือแน่ ๆ เพื่อนของลูกสาวฉันอาศัยอยู่ในเถาหยางเป็นเวลาสองเดือนแล้วบอกว่า พวกเรื่องการถูกทำเสียโฉมมันเกิดจากผู้เช่าคนนั้นต้องการที่จะฆ่าคนแล้วถูกทางเถาหยางจับได้ อย่าไปฟังข่าวลือที่เปลี่ยนจากขาวให้เป็นดำจะดีกว่า”

ผางหงเย้ยหยันในใจ “ป้าซ่ง ฉันน่ะเป็นสื่อ ไม่มีใครรู้ความจริงดีไปกว่าฉัน ฉันจะไม่ไปที่เถาหยาง ฉันยกเลิกใบสมัครแล้ว คุณไปหาคนอื่นได้เลย”

ป้าซ่งตกตะลึงและพูดโดยไม่คิด “เธอถอนตัวแล้วยังสามารถแนะนำฉันได้ไหม? เธอไม่อยู่แต่ฉันจะอยู่!”

เธอตอบกลับผางหงผู้เย่อหยิ่ง

ป้าซ่งถอนหายใจพร้อมกับคิดว่าคนข้าง ๆ เธอช่างงี่เง่าเสียจริง

……

ข่าวด้านลบไม่ได้ส่งผลกระทบใดต่อการทำงานและชีวิตประจำวันของเถาหยาง

ในทางตรงกันข้าม งานของจวงหว่านนั้นเบากว่าเดิมเยอะ เดิมทีเคยเสียดายที่ผางหงนั้นยกเลิกการเช่าห้องไป แต่ตอนนี้ได้มอบห้องชุดนั้นให้พ่อแม่ของหยางจวี๋แทน

คู่สามีภรรยาสูงอายุมาที่ประตูเถาหยางในวันรุ่งขึ้นพร้อมกระเป๋าใบเล็กใบใหญ่ ตอนแรกจงหว่านกะว่าจะแนะนำและบอกกฎให้กับทั้งคู่ แต่คิดไม่ถึงว่าแม่ของหยางจวี๋จะหยิบสัญญาเช่าเถาหยางออกมาจากกระเป๋า

“ลูกสาวฉันคอยย้ำเตือนฉันทุกวัน ฉันแก่แล้วห้ามมีเรื่องทะเลาะวิวาท ห้ามใช้พลังวิเศษทำร้ายผู้คน และห้ามก่อประกายไฟในห้องพัก ให้ใส่ใจในความปลอดภัย…”

นี่เป็นครั้งแรกที่จวงหว่านไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผู้เช่า หลังจากลงทะเบียนและชำระค่าเช่า ทุกอย่างก็เสร็จสิ้นภายในห้านาที

หยางจวี๋มีความสุขมากเธอดึงจวงหว่านมาและพูดว่า

“คุณจวง เดือนหน้าฉันอยากเปลี่ยนแปลงการเช่า จากเดิมเราเช่าห้องคู่ แต่ตอนนี้เราต้องการเปลี่ยนเป็นห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น เพื่อให้เราได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่มากยิ่งขึ้น รบกวนคุณดูหน่อยได้ไหมคะว่าได้ไหม”

จวงหว่านตอบว่า “เรื่องนี้ฉันต้องถามเถ้าแก่ซูก่อน”

“หยางจวี๋ตอบกลับอย่างสุภาพ “ได้ค่ะได้”

ตอนพักกลางวันจวงหว่านก็นำเรื่องนี้ไปถามซูเถา

“พี่คิดว่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงการเช่าห้องนี้จะมีปัญหาอะไรไหม”

จวงหว่านคิดอย่างรอบคอบแล้วส่ายหัว “นอกจากจะทำให้การทำงานของฉันลำบากขึ้นนิดหน่อยและมันอาจจะทำให้ผู้เช่ารายอื่นปฏิบัติตามในอนาคต นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร”

ซูเถายิ้ม “บางเรื่องพี่ไม่จำเป็นต้องถามฉันก็ได้ พี่ตัดสินใจได้เองเลยค่ะ พิจารณาข้อดีข้อเสียแล้วจัดการได้เลย ตัวอย่างเช่นครั้งนี้ หากพี่กังวลว่าผู้เช่าจะเปลี่ยนแปลงการเช่าบ่อย ๆ และเป็นการเพิ่มภาระงาน ดังนั้นพี่ก็ควรตกลงกับผู้เช่าเรื่องของจำนวนการเปลี่ยนแปลงสัญญาเช่าหรือช่วงเวลาระหว่างการเปลี่ยนแปลงสัญญา”

จู่ ๆ จวงหว่านก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง “ฉันเข้าใจแล้ว”

ซูเถาพอใจกับปฏิกิริยาและความเข้าใจของเธอ อันที่จริงซูเถาก็ค่อย ๆ มอบอำนาจให้เธอเช่นกัน ที่เถาหยางจะมีห้องพักเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และนับวันคนก็เยอะขึ้นเช่นกัน ถ้าเธอต้องมาคอยถามทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่เธอจะเหนื่อยเปล่า ๆ

จวงหว่านต้องได้รับการฝึกฝนโดยเร็วที่สุดเพื่อที่เธอจะยืนได้ด้วยตัวเอง

ในตอนบ่ายของวันถัดไป ผู้เช่าอีกกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาอาศัยในเถาหยางในห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น เธอได้รับเงิน 360,000 เหลียนปัง ทำให้ทรัพย์สินรวมของซูเถาสูงถึง 410,000 เหลียนปังในคราวเดียว

นี่มันเสือนอนกินชัด ๆ…

คืนนี้ต้องเริ่มการก่อสร้างอีกครั้ง แม้ว่าเถาหยางจะมีข่าวเชิงลบและความนิยมก็เริ่มลดลง แต่ซูเถาก็ยังคงคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย

“ปฏิกิริยาท่าทางของผู้เช่ารายใหม่เป็นยังไงบ้างคะ?”

“ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็ยังไม่ไว้ใจเรามากนัก มีพี่สาวน้องสาวคู่หนึ่งถามฉันว่าขอลองเช่าแค่ 1 เดือนก่อนได้ไหม หลังจากที่ฉันปฏิเสธ พวกเธอก็ลังเลใจอยู่นานแต่สุดท้ายก็ตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจ” จวงหว่านกล่าว

ซูเถาพยักหน้า “ยังไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร หลังจากที่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สักพักพวกเขาก็จะเข้าใจเองโดยธรรมชาติ ตราบใดที่พวกเขาไม่สร้างปัญหาหรือความเสียหายที่กระทบต่อผู้เช่ารายอื่นก็ไม่เป็นไร ผู้เช่าชุดต่อไปเราจะให้ความสำคัญกับการแนะนำภายในเถาหยาง พี่ก็เห็นว่ามันสามารถลดปัญหาได้มาก”

เมื่อเห็นจวงหว่านเช่นนี้เธอก็มีความสุขมาก “เมื่อเช้าฟ่านฉวนฮุยถามฉันว่าสามารถจองห้องเดี่ยวของเหวินเพ่ยเจินได้ไหม เขามีเพื่อนร่วมงานที่อยากอยู่ห้องนี้มาโดยตลอด และยังมีผู้เช่าบางคนแนะนำคนทำความสะอาดให้ฉันด้วย ฉันเลือกคนดี ๆ สองสามคน พวกเขาเพิ่งจะเริ่มทำงานกันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเพราะฉันคิดว่าคนที่เถาหยางของเรานั้นค่อนข้างมาก ต้องการการดูแลส่วนนี้เป็นพิเศษ”

ดังนั้นเมื่อมีข่าวในทางลบ คนโง่หรือคนไม่ดีเท่านั้นแหละที่จะเชื่อและเผยแพร่ข่าวออกไป

ซูเถารู้สึกโล่งใจมากเช่นกัน “เหนื่อยหน่อยนะคะ ช่วงนี้พี่ทำงานหนักมาก เดี๋ยวเย็น ๆ หน่อยพวกเราไปรับผู้อาวุโสเหม่ยออกจากโรงพยาบาลกัน”

เมื่อขับรถไปถึงที่โรงพยาบาล ก่อนที่จะได้พบกับผู้อาวุโสเหม่ย ซูเถาก็ถูกคุณหมอเรียกเข้าไปพบเพื่ออธิบายเรื่องต่าง ๆ

“พวกคุณช่วยพูดกับเขาหน่อย มันจะเป็นการดีกว่าที่จะให้เขาใช้พลังงานให้น้อยลง ในตอนกลางคืนที่พยาบาลเดินดูรอบวอร์ดก็เห็นเขาเอาแต่นั่งทำงานและขีดเขียนหรือวาดรูปใต้ผ้านวมในขณะที่เสี่ยวพ่านหลับ”

ทันทีที่ซูเถาเข้ามาในวอร์ด เธอก็เห็นแบบร่างที่กองอยู่ที่ขอบหน้าต่าง ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า

“ผู้อาวุโสเหม่ย คุณวิตกกังวลมากเกินไปแล้วค่ะ พักผ่อนให้ดีก่อนเถอะค่ะแล้วค่อยร่างแบบตกลงไหมคะ?”

เสี่ยวพ่านเองก็รับรู้ที่ผู้อาวุโสเหม่ยแอบวาดภาพในตอนกลางคืน และเธอก็เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จาอยู่ข้างๆ

เหม่ยหงอี้ก็แสร้งทำเป็นซื่อ “ฉันเบื่อโรงพยาบาล ตอนไม่มีอะไรทำก็เลยวาดอะไรเรื่อยเปื่อย”

กวานจือหนิงกล่าว “ผู้อาวุโส ถ้าคุณเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง คนที่ต้องทุกข์ใจก็คือพวกเธอ คุณจะสร้างปัญหาให้ทุกคน”

เหม่ยหงอี้เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง

ซูเถาแอบเหยียบเท้าเธออย่างแรง และจ้องเธอด้วยสายตาที่เหมือนต้องการจะสื่อว่าหุบปากซะ ถ้าไม่รู้จักวิธีการพูด

หากเป็นคนอื่นกวานจือหนิงคงกระโดดขึ้นเตะและทุบตีอีกฝ่ายไปแล้วอย่างแน่นอน แต่ว่านี่คือซูเถา ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเงียบ แต่ก็ยังไม่วายคิดว่าตัวเองไม่ได้พูดอะไรผิด

อย่าสร้างปัญหาให้เพื่อนร่วมทีมของเธอ นี่เป็นหลักการอย่างหนึ่งของเธอในฐานะทหาร

ซูเถานั่งลงข้างเตียงเพื่อเกลี้ยกล่อมชายชรา แต่เหม่ยหงอี้ถอนหายใจและพูดว่า

“แม่หนู ในใจของฉันรู้สึกแย่มากเลย ฉันรู้สึกผิดทุกวินาทีที่ฉันมานอนที่นี่ ฉันไม่ได้สอนลูกชายของฉันให้ดี ทำให้เขากลายเป็นสัตว์ร้าย ถึงเธอจะไม่พูดอะไรแต่ว่าฉันรู้ว่าสุขภาพร่างกายของฉันมันย่ำแย่ และก็คงเหลือเวลาอีกไม่นาน ฉันต้องการสร้างเถาหยางให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในชีวิตที่เหลืออยู่อย่างจำกัดอย่างฉัน”

ทุกคนเงียบเสียงลง

เหม่ยหงอี้ขอให้หลิวพ่านพ่านนำพิมพ์เขียวที่ขอบหน้าต่างมาให้ซูเถา

“ซูเถา พื้นที่โล่งหน้าโรงอาหารก็ควรสร้างอะไรบางอย่างนะ ฤดูร้อนกำลังจะมาแล้ว ความร้อนก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การสร้างสระน้ำ น้ำพุ หรือสระว่ายน้ำนั้นสามารถลดอุณหภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งจำนวนผู้เช่าที่เพิ่มมากขึ้น อาคารที่พักนี้ก็ไม่สามารถแก้ไขเรื่องปัญหาประชากรได้ เรื่องการสร้างชุมชนหรือการต่อเติมชั้นอาคารควรบรรจุอยู่ในวาระการประชุมโดยเร็ว”

ยิ่งพูดคุยจิตใจยิ่งดีมากขึ้นเรื่อย ๆ

ซูเถาไม่ได้ขัดจังหวะเขาและนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน

ระหว่างทางกลับ ผู้อาวุโสเหม่ยที่นั่งอยู่เบาะหลังก็ผล็อยหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก

เมื่อเห็นว่าเขาหลับไป เสี่ยวพ่านก็กระซิบกับซูเถา

“เถ้าแก่ซู ผู้อาวุโสเหม่ยบอกฉันว่าถ้าวันหนึ่งเขาไม่ไหวแล้ว ให้หาข้ออ้างพาลูกชายของเขามาที่นี่ เขาต้องการที่จะพาลูกชายไปด้วย พาเขาไปด้วยกัน”

ซูเถาและจวงหว่านชำเลืองมองกันไปมา แม้ว่าเขาจะตายเขาก็จะลากลูกชายไปด้วยกัน

ซูเถากล่าวว่า “เสี่ยวพ่าน ช่วยชี้แนะเขาให้มาก อย่าให้เขารู้สึกจนมุม ก็แค่ให้แสร้งลืมไปว่าเขาไม่มีลูกชายคนนี้และใช้ชีวิตให้ดีก็พอ”

ในเวลานี้ลูกชายของเขายังไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังขี่หลังเสืออยู่

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
คอยดูเถอะ…วันสิ้นโลกแบบนี้ฉันจะยืนด้วยด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท