ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 63 ถ้าหาเรื่องเถาหยางอีกครั้ง ฉันก็จะจับพวกคุณกลับมาเหมือนครั้งนี้

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

บทที่ 63 ถ้าหาเรื่องเถาหยางอีกครั้ง ฉันก็จะจับพวกคุณกลับมาเหมือนครั้งนี้

บทที่ 63 ถ้าหาเรื่องเถาหยางอีกครั้ง ฉันก็จะจับพวกคุณกลับมาเหมือนครั้งนี้

ซูเถาขมวดคิ้วมุ่น ตอนนี้เป็นฤดูร้อนทั้งยังขาดน้ำอีก ไหนจะมีซอมบี้กลายพันธุ์ที่มีวิวัฒนาการบุกอีก มนุษย์เพิ่งฟื้นตัวจากวันสิ้นโลกครั้งแรก ยังต้องมาเผชิญการโจมตีครั้งที่สองที่หนักหนาสาหัสกว่า หรือว่านี่จะเป็นจุดจบ…

ในขณะนี้กวานจือหนิงก็โทรเข้ามา

“พวกคุณเรียบร้อยหรือยัง สองคนนี้ได้สติแล้ว เอาแต่ส่งเสียงร้องเอะอะโวยวาย ฉันรำคาญ มาก ”

“พวกเรากำลังไป”

เมื่อเธอมาถึงห้องทำงานก็เห็นสองพี่น้องผู้เสี้ยมสอนถูกมัดไว้บนเก้าอี้ เมื่อเห็นซูเถาเดินเข้ามา ฝ่ายน้องสาวก็พูดอะไรบางอย่าง และในขณะนั้นเธอก็ถูกกวานจือหนิงตบเข้าที่ใบหน้า

“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามใช้พลัง นี่ยังคิดจะใช้พลังกับเธออีกเหรอ ดูเหมือนว่าเธอจะความจำสั้นนะ”

เมื่อเห็นดังนั้นฝ่ายพี่สาวก็ร้องขอความเมตตาทันที

ซูเถาเลื่อนเก้าอี้มาและนั่งลงถามพวกเธออย่างใจเย็น

“ฉันให้สองทางเลือก คือหนึ่ง จะชดใช้ฉันด้วยเงิน 60,000 เหลียนปังบวกคะแนนสมทบอีก 2,000 คะแนน หรือจะให้ฉันส่งตัวพวกคุณไปให้กองทัพบุกเบิก เพื่ออุทิศพลังความสามารถของพวกคุณ”

เงิน 60,000 เหลียนปังกับคะแนนสมทบอีก 2,000 คะแนนถือเป็นการขู่กรรโชก

แต่ซูเถาไม่สนใจ ทำความผิดไว้ก็ต้องชดใช้ไม่ใช่เหรอ?

อย่าฝันหวานไปหน่อยเลย

“จะเลือกข้อไหน?”

หลังจากพูดจบเธอก็หยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมาและเริ่มนับถอยหลัง “รีบตอบฉันภายในสองนาทีนี้ เริ่ม”

คู่พี่น้องทั้งสองหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินว่าจะถูกส่งตัวไปให้กองทัพบุกเบิก คนที่พบที่เถาหยางคราวก่อนสามารถมองทะลุผ่านความสามารถของพวกเธอ เขาคือหนึ่งในกองทัพบุกเบิก หากว่าต้องเข้าร่วมกองทัพจริง ๆ ไม่ต้องพูดว่าชีวิตจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ แต่มันต้องเผชิญกับความหวาดกลัวทุกวัน นี่มันอึดอัดเกินไป

เมื่อน้องสาวได้ยินที่ซูเถาเรียกค่าเสียหาย เธอก็แทบกลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่

“เถ้าแก่ซู เห็นผู้เช่าบอกว่าคุณใจกว้างและใจดี แต่ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะเรียกราคาสูงขนาดนี้และยังรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าอีก”

ซูเถายังคงมีสีหน้าเรียบเฉย “ไม่ต้องมาเสี้ยมและตำหนิฉัน ต้องโทษที่พวกคุณทั้งสองทำร้ายฉันก่อนที่จะออกไป ในเมื่อพวกคุณเลือกที่จะทำอย่างนั้น ก็ต้องได้รับความทุกข์ทรมาน ไม่ว่าฉันจะจัดการกับพวกคุณยังไง นั่นมันก็สมควรแล้ว ยอมรับความจริงไม่ได้เหรอ?”

“ถ้ายอมรับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร จือหนิงพาพวกเธอไปอาบแดดในจุดที่ร้อนที่สุดของสวนสาธารณะ แล้วอย่าให้พวกเธอกินน้ำแม้แต่อึกเดียว”

“ชดใช้! พวกเราจะชดใช้!” พี่สาวทนไม่ไหวตะโกนออกมาก่อน

แสงอาทิตย์นั้นร้ายแรงขนาดไหน ออกไปก็คงสูญเสียของเหลวในร่างกาย ผิวหนังถูกเผาไหม้ เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย

น้องสาวกัดริมฝีปากแน่นไม่พูดอะไร

ซูเถากล่าว “งั้นโอนเงินมา”

กวานจือหนิงตัดเชือกให้สองพี่น้องและเตะกระเป๋าของพวกเธอที่อยู่ที่พื้นไปให้

คนพี่กำลังกดอุปกรณ์สื่อสารอยู่ในมือ แต่ก็พบว่าเมื่อกำลังจะโอนเงิน จู่ ๆ ก็นึกได้ว่าเธอไม่ได้เงินมากขนาดนั้น

“ไม่มีเงิน?” กวานจือหนิงแสดงสีหน้าเรียบเฉย

พี่สาวพูดอย่างลังเล “พวกเรามีเงินที่คุณคืนค่าเช่ามาคราวที่แล้ว และคะแนนสมทบอีก 500 คะแนนเท่านั้น…เมื่อสองสามวันก่อนฉันไปที่เขตตะวันออกและใช้เงินไปเป็นจำนวนมาก อีกอย่างตอนนี้ฉันก็ยังไม่มีงานทำ…เถ้าแก่ซูลดให้หน่อยได้ไหมหรือไม่รอพวกเรามีเงินมากพอค่อยคืนให้คุณ?”

ซูเถามองสภาพอากาศภายนอก

“เวลานี้แดดกำลังดี พวกคุณจะเดินออกไปหรือให้ฉันผูกเชือกแล้วลากออกไป?”

สองพี่น้องมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก แล้วกระซิบกันเบา ๆ

“หรือว่าเราจะให้ของสิ่งนั้นกับพวกเธอดีล่ะ”

แม้ว่าผู้เป็นน้องสาวจะไม่ยินยอม แต่ว่าตอนนี้ความเป็นความตายของเธออยู่ในกำมือของคนอื่น มันไม่มีวิธีใดดีไปกว่านี้แล้ว เธอจึงหลับตาลงแล้วพยักหน้าด้วยความเจ็บปวด

ฝั่งพี่สาวถึงพูดขึ้นมาว่า

“งั้นถ้าพวกเราเอาผลึกนิวเคลียสมาชดใช้ล่ะ? ไม่ ไม่ใช่ผลึกนิวเคลียสจากซอมบี้ธรรมดา แต่เป็นซอมบี้ที่มีวิวัฒนาการแล้ว พวกเรา…ได้มาโดยบังเอิญ”

แท้จริงแล้วมันเกิดความโกลาหลบางอย่างขึ้นจนทำให้มีผู้คนเสียชีวิต และสิ่งนี้ก็อยู่ในกระเป๋าของผู้ตายคนนั้น

กวานจือหนิงยื่นมือออกมา “เอาออกมาดู”

“พวกเราไม่ได้เก็บมันไว้ที่ตัว พวกเรากลัวทำหายหรือถูกปล้นก็เลยซ่อนมันไว้ข้างนอก ถ้าไม่เชื่อให้พวกเรานำทางไปก็ได้”

กวานจือหนิงรีบหันหน้าไปหาซูเถาแล้วพูดว่า “ฉันจะให้คนน้องนำทางไปที่นั่น ส่วนคนพี่ก็จับเป็นตัวประกันไว้”

หลังจากทำข้อตกลงเสร็จแล้ว กวานจือหนิงก็ออกไปด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง

ก่อนถึงมื้ออาหารเย็น หญิงสาวขับรถกลับมาอย่างราบรื่นและมอบของสิ่งนั้นให้ซูเถา

“พวกเธอไม่ได้โกหก มันคือผลึกนิวเคลียสของซอมบี้ที่มีวิวัฒนาการจริง ๆ คุณเก็บเอาไว้เถอะ มันเป็นของดี ฉันได้ยินมาว่าที่ฉางจิงกำลังวิจัยอาวุธที่ทำจากผลึกนิวเคลียส เมื่อพัฒนาสำเร็จนิวเคลียสนี้ก็จะกลายเป็นของมีมูลค่า คงมีค่าไม่น้อยไปกว่าคะแนนสมทบ”

ซูเป๋าเปิดดูในกระเป๋า ข้างในเป็นผลึกนิวเคลียสสีเขียว ขนาดเท่าฝ่ามือ

นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอได้เห็นผลึกนิวเคลียสของซอมบี้ที่มีวิวัฒนาการ ครั้งแรกคือตอนที่สือจื่อจิ้นฆ่าซอมบี้ตัวนั้นเพื่อล้างแค้นให้กับเพื่อนร่วมทีมแล้วนำมันกลับมา

เธอพยักหน้าแล้วรับมันไว้ พลางพูดกับกวานจือหนิงว่า

“ขอบคุณที่ทำงานอย่างหนักนะ อีกเดี๋ยวไปกินข้าวกับพวกเราสิ มีคุณหมอจงด้วยอีกคน”

ก่อนที่จะไปกินข้าว ซูเถาก็ปล่อยสองพี่น้องผู้เสี้ยมสอนไป และไม่ลืมที่จะขู่พวกเธอเพื่อย้ำเตือน

“พวกเธอคงรู้แล้วว่าฉันมีพรรคพวกอยู่ทั้งที่เขตตะวันออกและตะวันตก ถ้าพวกเธอยังมาหาเรื่องเถาหยางอีกครั้ง ฉันก็จะจับพวกเธอกลับมาเหมือนครั้งนี้ ครั้งต่อไปการชดใช้มันคงไม่ง่ายแบบนี้แล้ว”

ครั้งนี้ทั้งสองพี่น้องต่างหวาดกลัว พวกเธอรีบวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนหายไปอย่างไร้ร่องรอย และตัดสินใจว่าจะไม่ทำอะไรกับเถาหยางอีก

มันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย

ซูเถาอารมณ์ดี เธอได้รับเงิน 40,000 เหลียนปัง และคะแนนสมทบอีก 500 คะแนน รวมทั้งผลึกนิวเคลียสซอมบี้ที่มีวิวัฒนาการ

ไม่ว่ายังไงก็ถือว่าได้กำไร

หลังจากจงเกาอี้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว เขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมา ในขณะที่จวงหว่านรออยู่ข้างนอกพร้อมกับลูกทั้งสอง

บรรยากาศท้องฟ้ายามค่ำคืน เมื่อพระจันทร์สว่าง ดวงดาวก็ดูเบาบางลง จงเกาอี้รู้สึกเคลิบเคลิ้มเมื่อเห็นภาพนี้ แต่เขาก็เคลิบเคลิ้มได้เพียงชั่วขณะหนึ่ง จวงหว่านที่อยู่ตรงข้ามก็ถามอย่างมีความสุข

“หมอจงพักผ่อนเป็นยังไงบ้างคะ?”

“ดีมาก ขอบคุณสำหรับการต้อนรับนะครับ”

จวงหว่านดึงลูก ๆ ทั้งสองมาแล้วพูดว่า “นี่คือลูกทั้งสองของฉัน เฉินซีเป็นน้อง ส่วนเฉินหยางเป็นพี่ค่ะ”

เฉินซีและเฉินหยางตะโกนทักทายอีกฝ่ายอย่างน่าเอ็นดู “สวัสดีคุณหมอจง!”

ดาวดวงเล็ก ๆ ในสายตาของเด็ก ๆ เป็นประกาย ทำให้จงเกาอี้รู้สึกเอ็นดู เขาหัวเราะร่าแล้วนั่งลงพร้อมกับลูบหัวของเฉินซีและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เฉินซี ถอดหน้ากากอนามัยให้ลุงดูหน่อยได้ไหม?”

เฉินซีไม่กล้า “มะ…มันน่าเกลียด ลุงหมออย่าตกใจกลัวนะ”

หัวใจของจวงหว่านแทบสลายเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอช่วยเฉินซีถอดหน้ากากอนามัยออกแล้วพูดกับจงเกาอี้

“คุณหมอจง คุณลองดูก่อนนะคะ ถ้าสามารถรักษาได้ก็บอกฉัน ฉันจะได้ไม่ต้องเสียใจอยู่แบบนี้”

จงเกาอี้ชำเลืองมองและพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหา พรุ่งนี้ค่อยพามาหาผมอีกที ไม่นานหรอก ไม่เจ็บด้วย”

น้ำตาของจวงหว่านไหลอาบแก้ม เธอจับมือจงเกาอี้และขอบคุณเขาไม่หยุด

“ขอบคุณจริง ๆ คุณหมอจง ถ้าไม่มีคุณชีวิตของเฉินซีหลังจากนี้ก็คงต้องทนทุกข์ ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นฉันก็เสียใจมากที่ดูแลเธอไม่ดี ไม่สามารถปกป้องเธอได้…”

จงเกาอี้มองไปที่ดวงตาและน้ำตาที่ไหลรินของเธอ สีหน้าของเขาก็ตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง

เขาเคยมีภรรยา และเคยพูดประโยคที่ว่าปกป้องลูกสาวได้ไม่ดี แต่ตอนนี้พวกเธอได้จากไปแล้ว ปล่อยให้เขามีลมหายใจอยู่ในวันสิ้นโลกเพียงลำพัง

เมื่อมาถึงโรงอาหาร ซูเถาเห็นจวงหว่านตาแดงก่ำ “พี่สาวเจ้าน้ำตาของฉัน ทำไมร้องไห้อีกแล้วล่ะ เกิดอะไรขึ้นคะ?”

เธอถามและมองไปที่จงเกาอี้ที่เข้ามาพร้อมกัน “เกิดอะไรขึ้นคะ รังแกเธอหรือเปล่า?”

จวงหว่านรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “เปล่าเลย เปล่า ฉันแค่มีความสุข หมอจงบอกว่าใบหน้าของเฉินซีเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย ฉันจึงร้องไห้ด้วยความดีใจ”

เฉินซีเฉินหยางก็มาบอกสิ่งดี ๆ ให้กับจงเกาอี้เช่นกัน

ซูเถาพยักหน้า “พวกเราสองคนไม่ทันไรก็กลายเป็นแฟนคลับตัวน้อยของคุณหมอจงเสียแล้วเหรอ?”

ใบหน้าของจงเกาอี้เปลี่ยนเป็นสีแดง

วันนี้มีคนมากินข้าวเย็นเป็นจำนวนมาก ทั้งสือจื่อจิ้นและน้องสาว เฉินเทียนเจียวและคุณย่าเฉิน ผู้อาวุโสเหม่ยและเสี่ยวพ่านต่างก็อยู่ที่นี่

ซูเถาแนะนำพวกเขาทีละคน เมื่อแนะนำถึงคุณย่าเฉิน หญิงชราก็รีบคว้ามือจงเกาอี้และพูดอย่างกระตือรือร้น

“หมอจง เถาหยางยินดีต้อนรับ! ไม่ต้องเกรงใจนะ ทำที่นี่ให้เหมือนบ้าน!”

ผู้อาวุโสเหม่ยยังขอให้เสี่ยวพ่านเข็นเข้าไปด้านหน้าและตบแขนจงเกาอี้

“พ่อหนุ่ม ขอบคุณที่มานะ เถาหยางต้องการหมอดี ๆ แบบนาย”

เมื่อได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้คนที่โรงอาหาร จู่ ๆ จงเกาอี้ก็นึกถึงครั้งยังเป็นหมอฝึกหัดในโรงพยาบาลก่อนวันสิ้นโลก อาจารย์หมอที่แผนกเคยพูดไว้ว่า “เป็นหมอต้องมีใจเมตตาธรรม”

ใช่แล้ว ใช่…

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
คอยดูเถอะ…วันสิ้นโลกแบบนี้ฉันจะยืนด้วยด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท