บทที่ 97 ผู้เช่าเถาหยางเชื่อมั่นในตัวเถ้าแก่ซู
บทที่ 97 ผู้เช่าเถาหยางเชื่อมั่นในตัวเถ้าแก่ซู
หมาอิ่งที่เพิ่งจะตื่นขึ้น ก็ถามอย่างระแวดระวัง “พวกคุณทำอะไรกันเหรอ?”
ผู้เช่าตอบอย่างหยาบคาย “จะทำอะไรได้ล่ะ ก็จับหัวขโมยน่ะสิ!”
หมาอิ่งที่กำลังอยู่ในความงุนงง มีปฏิกิริยาตอบสนองทันที “พวกคุณกำลังพูดเรื่องอะไร ใครเป็นขโมย?”
ทันทีที่เธอพูดจบ คุณย่าเฉินที่กำลังหอบก็วิ่งเข้าไปในห้องของหมาอิ่งแล้วมุ่งไปที่ระเบียงบ้านของอีกฝ่าย แน่นอนว่าเธอพบซี่โครงหมูที่หายไปพร้อมกับตะขอที่เกี่ยวเอาไว้
ของที่เพิ่งถูกขโมยไปมากองอยู่ให้เห็นคาตา!
ป้าเริ่นเป็นลูกจ้างชั่วคราวของครอบครัวของหมาอิ่งที่อยู่ห้องข้าง ๆ
คุณย่าเฉินถามด้วยความโกรธ “ไหนบอกมาสิ ว่าซี่โครงหมูนี้ได้มาจากไหน?”
ป้าเริ่นกล่าวด้วยใบหน้าใสซื่อ ใบหน้าของเธอแดงก่ำและก้มศีรษะลง
“เจ้านายของฉันเป็นคนเอากลับมา ฉันก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน”
คำพูดเหล่านี้ยืนยันว่าหมาอิ่งและสามีเป็นอาชญากร จึงทำให้ทุกคนโมโหมาก รีบเข้าไปในห้องของหมาอิ่งเพื่อหาข้าวของของตัวเองที่หายไป
หมาอิ่งซึ่งยืนอยู่ตรงประตูก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอมองไปรอบ ๆ แล้วรีบอธิบายให้ทุกคนฟัง ดัง ๆ
“ฉันไม่ได้เอาของของทุกคนไป! ของทั้งหมดเริ่นซานเป็นคนเอามา!”
เริ่นซานเหมือนจะร้องไห้ทันที หลังจากที่เธอถูกว่าร้ายอย่างนั้น
“คุณหมาอิ่ง คุณจะมาใส่ความฉันอย่างนี้ไม่ได้นะ ฉันขอถามคุณหน่อย ฉันมาอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว ของพวกคุณเคยหายบ้างหรือเปล่าล่ะ?”
หมาอิ่งจะไปรู้ได้ยังไง!
เธอมักจะโยนของทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ใช้ของเท่าที่เธอจะหาเจอ ของที่หาไม่เจอเธอก็เลือกที่จะไม่สนใจ ไม่เช่นนั้นบ้านของเธอก็คงไม่กลายเป็นขยะอย่างนี้
เธอไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรดี เธอก็พูดไม่ออกเหมือนกัน
แบบนี้มันก็เข้าทางกับสิ่งที่เริ่นซานพูดจริง ๆ ทุกคนรู้สึกว่าเธอรังแกคุณป้าผู้ซื่อสัตย์ พยายามตำหนิและโยนความผิดให้คนอื่น โยนความผิดให้กับคนที่ช่วยเธอทำความสะอาดห้อง
เริ่นซานร้องไห้ออกมา “คุณหมาอิ่ง ถ้าคุณไม่อยากเห็นหน้าฉัน ฉันก็จะไปตั้งแต่วันนี้”
เธอพูดพร้อมกับจะจากไปพร้อมกระเป๋าของเธอ
หมาอิ่งโกรธจนพูดไม่ออก
ซูเถาก้าวไปข้างหน้าสองก้าว คว้ากระเป๋าของเริ่นซานแล้วพูดอย่างเย็นชา
“ใครอนุญาตให้คุณไป?”
เริ่นซานสะดุ้งเมื่อถูกซูเถาหยุดเธอเอาไว้ จากปากสีคล้ำของเธอกลายเป็นสีขาวซีด
“ไม่ใช่ว่าเถ้าแก่ซูก็อยากให้ฉันไปเหรอ คุณเชื่อในสิ่งที่คุณหมาอิ่งพูดใช่ไหม ก็ใช่ ฉันไม่ใช่ผู้เช่าของเถาหยาง คุณก็ต้องเข้าข้างผู้เช่าก่อนอยู่แล้ว… ”
ซูเถาหมดความอดทน “ไม่ต้องมาพูดอะไรกับฉันแบบนี้หรอก ฉันให้เวลาคุณสองนาทีในการพิจารณาว่าจะชดเชยของที่ขโมยไปทั้งหมดหรือคืนเป็นจำนวนเงิน ฉันจะเริ่มนับถอยหลังเดี๋ยว นี้”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ทุกคนแตกตื่น
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หมาอิ่งไม่ใช่หัวขโมย แต่เป็นคุณป้าผู้ใสซื่อคนนี้ต่างหาก!
ผู้เช่าทั้งหมดมาล้อมตัวเธอเอาไว้ คุณย่าเฉินเชื่อมั่นในตัวซูเถาอย่างไม่มีเงื่อนไขมาโดยตลอด ดังนั้นเธอจึงหันกลับไปขอโทษหมาอิ่งในทันที
“น้องสาว ฉันขอโทษนะ มันเป็นความผิดของหญิงชราอย่างฉันเอง เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะทำซี่โครงหมูตุ๋นให้คุณกินเป็นการไถ่โทษนะ”
ผู้เช่ารายอื่นก็พากันขอโทษด้วย
เถ้าแก่ซูเป็นคนน่าเชื่อถือ เธอไม่ใช่คนประเภทที่พูดจามั่วซั่วไร้สาระ เธอต้องมีหลักฐานเธอถึงกล้าที่จะพูด และขโมยคนนั้นคือเริ่นซาน
หมาอิ่งพยักหน้า เมื่อเธอมองไปที่ซูเถาอีกครั้ง เธอก็เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ
เริ่นซานตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นน้ำตาของเธอก็ไหลออกมา
“อย่าเอาคนในเถาหยางมาระรานฉันแบบนี้นะ! ฉันไม่เคยเอาของของพวกคุณไป ถ้าไม่เชื่อพวกคุณก็ดูเอาเอง”
ในขณะที่เธอพูด เธอก็เปิดกระเป๋าของเธอออกและเทของข้างในออกมาทั้งหมด
ข้างในล้วนเป็นเครื่องมือในการทำความสะอาด ไม่มีสิ่งของที่หายไปของผู้เช่าเลย
หลังจากที่คุณย่าเฉินปักใจแล้วว่าเธอเป็นหัวขโมย เธอก็ดูน่าสงสัยไปเสียหมด เธอพูดต่ออีกว่า
“ใครจะโง่เอาของที่ขโมยมาใส่กระเป๋า เธออาจจะเอาไปซ่อนไว้ที่ไหนก็ได้ เมื่อกี้ที่ฉันวิ่งไปที่ระเบียงฉันก็ยังเห็นมันยังกองอยู่ข้าง ๆ เธอ หมาอิ่งเองก็เพิ่งตื่น ไม่งั้นจะเป็นใครไปได้”
ซูเถาชำเลืองมองเวลา เธอเลือกผู้เช่าที่ตัวทั้งสูงทั้งใหญ่มาสองคนแล้วพูดว่า
“ได้เวลาแล้ว คุณสองคนช่วยฉันนำตัวเธอไปที่ห้องทำงานของฉันหน่อย”
เริ่นซานกลัวมาก เธอกำลังจะวิ่งหนี แต่ก็ถูกจับเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว และถูกส่งตัวไปที่ห้องทำงานของซูเถา
ซูเถาเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอเปิดจอแสดงผลของกล้องวงจรปิดในตอนที่เริ่นซานกำลังขโมยซี่โครงหมูขึ้นมา และวนซ้ำสองสามรอบต่อหน้าเธอ
“เห็นชัดหรือยัง? คิดว่าฉันไม่มีหลักฐานแล้วกล่าวหาลอย ๆ เหรอ?”
เริ่นซานเงียบเสียง ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่คำเดียว ในขณะเดียวกันเธอก็สงสัย ที่เถาหยางไม่มีกล้องวงจรปิดไม่ใช่เหรอ ติดตั้งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ถ้าเธอรู้เร็วกว่านี้ เธอคงไม่กล้าขโมยของหรอก
จบแล้ว…
ซูเถาพูดเบา ๆ “ก่อนหน้านี้ฉันให้โอกาสคุณเลือกแล้ว แต่คุณไม่รับมันไว้เอง”
เริ่นซานรีบพูด “ฉันจะคืนของให้พวกเขา! นอกจากพวกของกินแล้ว ฉันซ่อนทุกอย่างไว้ใต้เตียงของหมาอิ่ง ถ้าคุณไม่เชื่อ จะให้คนไปดูก็ได้”
เธอตั้งใจจะนำสิ่งของเหล่านั้นไปขาย แต่ถูกจับได้เสียก่อน
ซูเถาไม่สนใจเธอ และหันไปพูดกับจวงว่าน
“รบกวนให้ป้าชีช่วยดูแลด้วยนะคะ ให้เธอไปที่ห้องของผู้เช่าที่ถูกขโมยของไป แล้วทำความสะอาดให้พวกเขาฟรี และในช่วงเวลานี้เธอไม่ได้รับอนุญาตให้กิน ดื่ม หรือนอนพัก ถ้าเธอทนไม่ได้รู้สึกเหมือนใกล้ตายก็ปล่อยเธอไป”
เริ่นซานต้องเจอกับอะไรแบบนี้!
ไม่นานป้าชีก็มา และลากตัวเธอออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
แล้วเธอก็ยังให้คุณป้าอีกสองสามคนไปที่ห้องของหมาอิ่งเพื่อนำของที่เริ่นซานขโมยไปคืนให้ผู้เช่าทีละคน
หลังจากที่เธอถูกนำตัวไปแล้ว จวงหว่านก็กอดอกพูดขึ้นมาว่า
“ถ้าไม่มีกล้องวงจรปิด เธอก็คงยืนกรานปฏิเสธอยู่แบบนั้น หมาอิ่งนี่ก็ใช้ไม่ได้เลย ฉันล่ะกลัวจริง ๆ ว่าวันหนึ่งเธอตื่นมาไม่เห็นเพดานและบ้านหายไป เธอคงถึงจะรู้ตัวว่ามีขโมยเข้าบ้าน”
ซูเถาเอามือก่ายหน้าผากของเธอ “พวกเขาโง่เขลากันทั้งคู่ เดี๋ยวยังไงให้ป้าชีช่วยแนะนำคนที่น่าเชื่อถือได้มาให้หมาอิ่งหน่อยนะคะ”
จวงหว่านชะโงกหน้าออกไปถาม “แล้วคุณติดตั้งกล้องวงจรปิดเมื่อไหร่เหรอ ติดได้ถูกเวลาจริง ๆ ถ้าช้ากว่านี้หน่อยป้าเฉินคงถูกขโมยของจนหมดแน่ เริ่นซานไม่มีหัวใจ แถมยังทำตัวเป็นผู้ถูกกระทำอีก”
จวงหว่านถอนหายใจด้วยความโล่งอก “หวังว่าในอนาคตคงไม่เจอหัวขโมยเข้ามาอีกแล้วนะ แค่เรื่องนี้ก็ปวดหัวจะแย่แล้ว”
……
เริ่นซานเข้าออกห้องของผู้เช่าแต่ละคนตลอดทั้งวันเพื่อทำความสะอาดห้อง เธอไม่กล้าพักแม้แต่นาทีเดียว เนื่องจากมีสายตากดดันจากป้าชีคอยเฝ้ามองอยู่ตลอด และเธอก็ต้องทำความสะอาดทุกซอกมุมของห้องอีกด้วย
ฟ่านฉวนฮุย ช่างภาพของเถาหยาง ไม่คิดว่าการติดตามและบันทึกภาพของเขาจะเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้เริ่นซานอับอาย
ผู้เช่าได้รับสิ่งของที่ถูกขโมยไปกลับคืนมา และยังได้รับการทำความสะอาดห้องฟรีอีก พวกเขาทุกคนล้วนมาขอบคุณซูเถา แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ แต่ผู้เช่าบางคนก็เขียนจดหมายขอโทษเล็ก ๆ สอดเข้าไปในห้องของหมาอิ่ง
และแน่นอนว่าหมาอิ่งไม่เห็นมัน เธอคิดว่านี่เป็นเศษกระดาษที่เธอเป็นคนโยนทิ้งเอาไว้ เธอไม่แม้แต่จะปรายตามองมันด้วยซ้ำ
เธอเองก็รู้สึกประหม่า แต่เมื่อเห็นว่าเรื่องราวทั้งหมดได้รับการคลี่คลายแล้ว เธอก็กลับเข้าไปนอนและผล็อยหลับไปโดยลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ซูเถาก็กำลังจะพักผ่อนเช่นกัน แต่จู่ ๆ เสียงเครื่องมือสื่อสารก็ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นหมายเลขที่น่ารำคาญ เธอจึงสูดหายใจเข้าแล้วกดรับ
“บอสกู้ หุ้นส่วนของคุณกำลังจะเข้านอน นี่มันก็ดึกแล้วนะ มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้ได้ไหม”
อีกฝ่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาดูเวลา แล้วก็พูดขึ้นมา
“งั้นพรุ่งนี้ผมค่อยโทรหาคุณอีกที”