“คยยอุล เรามาที่นี่เพื่อพักผ่อน เพราะงั้นอย่าวิ่งมากเกินไปหรือออกแรงมากเกินไปนะ โอเคไหม?”
“โอเค”
มันจะมีอะไรที่ทำให้ฉันต้องออกแรงมาก ๆ ในสนามเด็กเล่นกัน?
ฉันถอนหายใจออกมา จากนั้นฉันก็ก้าวเท้าเหยียบบันไดและปีนขึ้นไปบนสไลเดอร์
เมื่อยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสนามเด็กเล่น ฉันก็ตรวจสอบพื้นที่ มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ฉันเห็น
จากเด็กที่กำลังปีนจังเกิ้ลยิมอย่างยิ้มแย้ม ไปจนถึงคุณแม้ที่กำลังผลักชิงช้าให้ลูกอย่างช้า ๆ
ถึงแม้จะมีคนอยู่อย่างมากมาย แต่ก็มีตัวตนหนึ่งที่ไม่เข้ากับสนามเด็กเล่นอยู่
เป็นผู้ใหญ่ที่กำลังสไลลงมาตามสไลเดอร์ของเด็ก
ถ้าหากมีคนที่รู้ว่าฉันเป็นใครแล้วเห็นสิ่งนี้ พวกเขาจะต้องเยาะเย้ยฉันอย่างแน่นอน
“เฮ้อ”
มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน?
ฉันกำลังนั่งอยู่บนสไลเดอร์ด้วยความหนักใจ ขาที่ฉันไม่คุ้นเคยก็เข้ามาในสายตาฉัน
ฉันไม่ได้ย้อนเวลา แต่ขาของฉันมันก็เล็กลงตั้งสองครั้ง
มันน่าหนักใจในหลาย ๆ ความหมาย แต่ฉันก็พยายามคิดแง่ดี
ฉันกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่มีใครเคยเจอ
‘ด้วยร่างกายที่เป็นเด็กแบบนี้ บางทีฉันอาจจะอายุยืนยาวมากขึ้นก็ได้’
ในขณะที่ฉันกำลังคิดเหตุผลเข้าข้างตัวเองอยู่ จู่ ๆ ก็มีคนมาสะกิดไหล่ฉัน
ด้วยความตกใจจากการสัมผัสกระทันหัน ฉันสะดุ้งและหดตัวลง
“อ-อะไร?!”
เมื่อฉันหันหลังกลับไป ฉันก็พบกับเด็กผู้ชายที่กำลังกระพริบตาใส่ฉันอยู่
รูปลักษณ์ที่ไร้เดียงสาของเขาทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจ
“คือว่า ฉันอยากสไลลงไปน่ะ”
“อ-โอเค”
ฉันคงจะไปขวางทางเขา
ด้วยความรู้สึกผิด ฉันจึงรีบเลื่อนตัวออกไป แต่จู่ ๆ เด็กชายก็ถามคำถามขึ้นมา
“ทำไมหูของเธอถึงอยู่บนหัวล่ะ? เธอเป็นแมวเหรอ?”
“ฉ-ฉันไม่รู้!”
อ่าาาาา—
ฉันถอนหายใจยาวพร้อมกับสไลลงสไลเดอร์ไป
การที่ตัวหดลงทำให้การสไลลงยาวนานกว่าปกติ
ไม่สนุกเลย
“เฮ้อ”
ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงพาผู้ใหญ่อย่างฉันมาที่สนามเด็กเล่นกัน?
เธออยากทำให้ฉันอับอายเหรอ?
ในขณะที่ฉันลุกขึ้นจากสไลเดอร์พร้อมกับถอนหายใจออกมา ผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาหาฉัน
“เป็นไงบ้าง? ไม่สนุกเหรอ?”
ความเมตตาที่เสแสร้งและรอยยิ้มของเธอมันดูน่ารังเกียจมาก
ตอนนี้ฉันเริ่มมั่นใจแล้ว
เธอพาฉันมาที่นี่เพื่อเยาะเย้ยฉัน
เธอคงจะอยากปฏิบัติกับฉันเหมือนเด็ก ๆ เลยดัดแปลงฉันให้เด็กลง
แม่มดชั่ว
ฉันระงับความไม่พอใจไว้และปรบมืออย่างอ่อนแรง
“ว้าว…”
แปะ—
แปะ—
แปะ—
ฉันปรบมืออย่างช้า ๆ และผู้หญิงคนตัวสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด
เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าหญิงสาวกำลังประหลาดใจกับการต่อต้านของฉัน
นี่คือกลยุทธ์ที่ฉันเรียนรู้มาจากผู้หญิงคนนี้ ภายนอกดูสดใสแต่ภายในเจ้าเล่ห์
“แล้วคุณล่ะ คุณไม่สนุกเหรอ?”
สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นดูหงุดหงิดอยู่
ฉันรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าฉันสามารถโต้กลับเธอได้แล้ว ดังนั้นฉันจึงแสดงท่าทีต่อต้านเธออีกนิดหน่อย
“ฉันไม่รู้ว่ามันสนุกหรือเปล่า…”
ฉันมองเธอด้วยสีหน้าที่ไม่มั่นใจ
มันเป็นการแสดงออกของฉันว่า ฉันไม่อยากเล่นแล้ว
“โอ้…ถ้างั้นลองเล่นอันนั้นดูไหม?”
“อันนั้น?”
ฉันมองไปที่ที่นิ้วของเธอชี้
มันเป็นชิงช้าอันเล็ก ๆ ที่ถูกออกแบบมาสำหรับเด็ก
“ใช่ คยออุลไม่เคยเล่นใช่ไหม? เดี๋ยวพี่ผลักหลังให้คยออุลเอง อยากลองนั่งไหม?”
“ก-ก็ได้…”
จากสไลเดอร์ก็ต่อด้วยชิงช้า
ทรมานฉันไม่เลิกเลยจริง ๆ ผู้หญิงคนนี้
ฉันเดินไปที่ชิงช้าและขึ้นไปนั่งลงบนมัน
“พร้อมหรือยัง?”
“พร้อมแล้ว…”
ฉันพยักหน้าอย่างอ่อนแรง และผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มผลักฉันจากด้านหลัง
ทุกครั้งที่มือของเธอแตะโดนหลังฉัน ร่างกายของฉันก็สั่นเล็กน้อย
“อะไรกัน…”
เธอผลักฉันอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวลเพราะกลัวฉันจะล้มงั้นเหรอ?
ถึงแม้เธอจะแสร้งใจดี แต่สัมผัสของเธอก็อบอุ่นเหลือเกิน
แม้แต่ฉันที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอ ก็ยังเกือบถูกความรู้สึกนี้หลอก
“เป็นไง สนุกไหม?”
“อ-อืม…”
สัมผัสที่อ่อนโยนแบบนี้ฉันไม่ได้รู้สึกถึงมันมาหลายปีแล้ว
ถึงแม้จะรู้ความจริงดี แต่ฉันก็รู้สึกสมเพชตัวเองที่ใจหวั่นไหวให้กับสิ่งนี้
บางทีอาจจะเป็นเพราะฉันไม่ได้เห็นหน้าของผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังฉันก็ได้
‘ฉันไม่ชอบเลย’
ฉันคิดว่าฉันใช้ชีวิตอยู่อย่างยืดหยุ่น
นี่ฉันปรารถนาความรักจากมนุษย์โดยที่ไม่รู้ตัวหรือเปล่า?
ฉันรู้สึกหายใจไม่ออก ฉันจึงเหวี่ยงขาและพูดว่า
“ช่วยดันฉันแรง ๆ หน่อยได้ไหม?”
ยิ่งฉันถูกผลักไปให้สูงเท่าไหร่ ฉันก็จะยิ่งตกลงมาช้าขึ้นเท่านั้น ด้วยวิธีนี้ก็จะลดความถี่ในการสัมผัสจากเธอได้
นี่คือวิธีต่อต้านของฉัน
“โอเค พี่จะออกแรงให้มากขึ้น แต่ต้องจับไว้ให้แน่น ๆ นะ โอเคไหม?”
“โอเค”
แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะผลักแรงขึ้น แต่ฉันก็ไม่รู้สึกถึงความรุนแรงเลย
เธอผลักอย่างนุ่มนวลเพื่อให้แน่ใจว่าฉันจะไม่หล่น
แม้ว่าฉันจะไม่ชอบ แต่ความรู้สึกที่อบอุ่นจนน่าประหลาดใจก็แล่นเข้ามาเติมเต็มหัวใจของฉันจนมากเกินจะรับไหว
เมื่อถึงจุดสูงสุดของชิงช้า ฉันก็กระโดดออกมา
“อ๊ะ! คยออุล!”
เสียงร้องด้วยความตกใจของผู้หญิงคนนั้นดังออกมาจากด้านหลังของฉัน
เธอคงไม่ได้เป็นห่วงฉันหรอก บางทีเธออาจกังวลว่าร่างกายที่เธอสร้างขึ้นมาอย่างประณีตจะได้รับความเสียหายก็ได้?
ทัศนคติที่ชัดเจนของเธอทำให้ฉันกลับมาสู่ความเป็นจริงได้อย่างรวดเร็ว
ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่จะสามารถมอบความรักให้ฉันได้
‘ชิ’
หากสัมผัสของเธอเมื่อกี้เป็นของจริงแล้วละก็
พอฉันคิดได้ว่ามันเป็นเพียงแค่การจินตนาการที่ไร้สาระของฉันเอง ฉันจึงเดินเข้าไปหาหญิงสาว
ฉันเตือนตัวเองอยู่หลายครั้งว่าหญิงสาวคนนี้เห็นฉันเป็นเพียงหนูทดลอง
“ฉันขอโทษ ฉันคิดว่าเกมนี้เป็นเกมที่ต้องกระโดดให้ไกลที่สุด”
“อ่า ใช่ มันก็มีเกมแบบนั้นอยู่ แต่คยออุลต้องระวังไม่ให้ตัวเองบาดเจ็บนะ เข้าใจไหม?”
“อ-อืม…”
ตามที่คาดไว้ เธอเป็นห่วงแค่ร่างกายที่เธอดัดแปลง
แต่ในอีกทางหนึ่ง ฉันก็พบจุดอ่อนของเธอแล้ว
เธอจะไม่ยืนอยู่เฉย ๆ แน่ถ้าหากร่างกายของฉันได้รับบาดเจ็บ
“แล้วเป็นไงบ้าง ชิงช้าสนุกไหม?”
“อืม สนุกดี”
“จริงเหรอ? ถ้างั้นอยากเล่นชิงช้าอีกรอบหนึ่งไหม?”
หญิงสาวชี้ไปที่ชิงช้าด้วยรอยยิ้มอันสดใส
ฉันรีบสายหัวทันที เนื่องจากฉันไม่อยากถูกเธอสัมผัสอีกแล้ว
“ไม่ ฉันอยากลองอย่างอื่นบ้าง”
“โอเค ที่นี่มีของให้เล่นอยู่เยอะเลย ถ้างั้นลองเล่นดูทีละอันดีไหม?”
“อืม…”
ทั้งหมดเลยเหรอ?
นี่ฉันต้องเล่นเครื่องเล่นกี่อันกัน?
ฉันนับเครื่องเล่นที่เธอใช้นิ้วชี้
‘หนึ่ง สอง สาม’
แค่นับคร่าว ๆ ก็เกินสิบแล้ว
ฉันไม่อยากเล่นเลย แต่ฉันก็ต้องยอมแพ้เพราะทัศนคติของเธอมันแรงมากเลย
แต่ที่ยอมแพ้ไม่ใช่เพราะว่าฉันชอบสัมผัสอันอบอุ่นของเธอแน่นอน
——————————————————————————————————————————
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ยอรึมกลับไปที่เต็นท์พร้อมคยออุล เนื่องจากได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว
ยอรึมครุ่นคิดอย่างจริงจังเรื่องอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและอร่อยที่จะมอบให้คยออุล
ในขณะที่ยอรึมกำลังครุ่นคิดอยู่ คยออุลก็ดึงชายเสื้อของยอรึมอย่างระมัดระวัง
“คุณชอบชาดอกแดนดิไลออนไหม?”
“ชาแดนดิไลออน?”
“ใช่ มันเป็นชาที่ดีต่อสุขภาพ”
คยออุลเสนอจะทำชาให้
นี่เป็นการเปิดโอกาศให้ยอรึมเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหาร
“ถ้างั้น พี่ก็จะเลี้ยงอาหารกลางวันคยออุลเอง”
“อาหารกลางวัน? แต่ฉันให้ชาแค่แก้วเดียว…”
“แค่ชาแก้วเดียว? มันเป็นชาที่คยออุลเป็นคนทำเองโดยการเลือกดอกแดนดิไลออนที่ดีที่สุดมาทำต่างหาก”
“ก็ใช่อยู่หรอก แต่ว่า…”
ดวงตาของคยออุลส่ายไปมาด้วยความสับสนว่าชามีมูลค่าเท่าไหร่
“สมัยนี้ราคาชาค่อนข้างสูง ถ้าเป็นชาทำมือและเกรดดี ก็แก้วละหนึ่งหมื่นวอนหรือเปล่านะ?”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ใช่แล้ว แต่ของคยออุลเป็นดอกแดนดิไลออนที่ขึ้นตามป่าด้วย”
มันไม่ใช่เรื่องโกหก
ในยุคนี้ การผูกความหมายไว้กับบางสิ่งอาจเพิ่มมูลค่าให้กลายเป็นแสนวอนในตลาดพรีเมี่ยมได้
“ถ้างั้น ฉันจะเรียกเก็บไม่ถึงหมื่นวอน”
“เอาละ เดี๋ยวพี่ขอออกไปข้างนอกสักหน่อยนะ โอเคไหม?”
“โอเค…”
ยอรึมพยักหน้าและเดินออกจากเต็นท์ไป โดยปล่อยคยออุลไว้ข้างหลัง
จุดหมายแรกของยอรึมคือในป่าลึกที่เพื่อนร่วมงานของเธอรออยู่
“มาแล้ว”
“อืม”
ชายรูปร่างใหญ่โตออกมาจากหลังต้นไม้ ที่อยู่ลึกเข้าไปในป่า
ชื่อของเขาคือ ชเวจินฮยอก ชายที่ตัวโตที่สุดในกิลด์
จินฮยอกทำท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมาจนมือของเขาอยู่ไม่เป็นสุข
“มีอะไรเหรอ?”
“เมื่อเช้านี้ฉันบังเอิญเจอเด็กคนนั้น ฉันจึงชวนเธอคุยด้วย”
“โอ้?”
เรื่องที่พวกเขาพบกันมันถึงขนาดที่เขาต้องรายงานเลยเหรอ?
ยอรึมเบิกตากว้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ฉันเริ่มด้วยการพูดขอโทษเธอก่อน”
“ขอโทษ?”
“ใช่ แต่ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะไม่เชื่อในคำขอโทษฉันเลย”
คำขอโทษ
พอมาคิดดูแล้ว ฉันเคยขอโทษเด็กหรือเปล่า?
ยอรึมนึกถึงวันแรกที่เด็กที่ได้รับพรเข้าไปตื่นขึ้นมา
ฉันตั้งใจจะขอโทษเด็กทันที
แต่เด็กก็วิ่งหนีไปด้วยความตกใจก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยคำขอโทษ
ต่อมาท้องของเด็กก็ร้อง ฉันจึงพาเธอไปที่โรงอาหาร
จากนั้นฉันก็หมดหวังกับสถานการณ์สุดเลวร้ายของเด็ก
มันวุ่นวายมากจนฉันจำไม่ได้เลยว่าฉันเคยพูดขอโทษหรือเปล่า
‘ฉันไม่เคยขอโทษเลยเหรอ…?’
ตอนนั้นมีเรื่องให้ฉันคิดมากมายบวกกับจิตใจที่สับสนของฉัน ฉันจึงจำเหตุการณ์นั้นไม่ค่อยได้เลย
แย่แล้วสิ
แม้ฉันจะรีบร้อนแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่ควรลืมขอโทษ นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเลย
หลังจากที่ยอรึมจัดระเบียบความคิดของตัวเองแล้ว ยอรึมก็เงยหน้าขึ้นมองจินฮยอก
“นายพูดขอโทษแต่เธอไม่เชื่องั้นเหรอ?”
“ใข่ มันไม่มีอะไรผิดปกติหรอก แต่ฉันคิดว่าเธอควรรู้เอาไว้”
“โอเค ขอบใจ”
บางทีเธออาจจะยังไม่สามารถไว้วางใจได้ เนื่องจากเธอทุกข์ทรมานจากผู้คนมาเยอะ
ยอรึมถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว
“เด็กก็คงสงสัยในตัวเธอเหมือนกัน จำไว้ให้ขึ้นใจด้วย”
“โอเค ฉันจะจำไว้”
ยอรึมตระหนักดีว่าสายตาของเด็กเต็มไปด้วยความสงสัย
แต่เนื่องจากมันเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติ ยอรึมเลยไม่สนใจมันมากนัก
หลังจากขอบคุณจินฮยอกที่เตือน ยอรึมก็มุ่งหน้าไปร้านอาหารที่อยู่ใกล้ ๆ
ยอรึมเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดเยียวยาผู้คนได้ดีกว่าเนื้อสัตว์อีกแล้ว