ช่วงหลังมานี้ ภายในสถาบันดูจะมีชีวิตชีวาขึ้น
เป็นเพราะว่าครูใหญ่นั้นเป็นที่รังเกียจ นักเรียนก็เลยดีใจกันใหญ่ที่เขาโดนจับ! …ก็ไม่ใช่แบบนั้น
หลังจากอีเวนต์นั้นจบลง ตำแหน่งครูใหญ่ก็ถูกส่งต่อไปให้คนใหม่
ถ้าคนคนนั้นเป็นอัศวินของเซนต์คนก่อนเหมือนเดิมล่ะก็ อาจจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยได้ เพราะฉะนั้นคราวนี้จึงมีการเลือกจากเหล่าอัศวินที่ยังคงดำรงตำแหน่งอยู่
ผู้ที่ถูกเลือกก็คือองครักษ์ลำดับที่สอง วิสเคานท์ฟ็อกซ์
เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุกลางๆสามสิบ และผู้เชี่ยวชาญที่มีตำแห่งเป็นองครักษ์ส่วนตัวของชั้นก่อนที่จะถูกแทนที่โดยเลย์ล่า
เขาเองก็เป็นหนึ่งในครูฝึกของชั้นคนนึง และดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักชั้นมาตั้งแต่ก่อนความทรงจำชาติก่อนจะกลับมาอีก…หรือก็คือ เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้จัก “เอลริสสมัยที่ยังเอาแต่ใจ”
เพราะแบบนั้น ชั้นจะต้องระวังลุงคนนี้เอาไว้หน่อย
ฝีมือของเขานั้นเริ่มอ่อนลงด้วยอายุที่มากขึ้น เขาเองก็บอกว่าน่าจะได้เวลาเกษียณจากตำแหน่งองครักษ์แล้ว
พูดก็คือ ตำแหน่งครูใหญ่ของโรงเรียนดูจะเป็นงานหลังเกษียณที่ดีพอตัวเลย
ตอนนี้ในโรงเรียนเลยมีอัศวินของชั้นสองคนประจำการอยู่
กลับเข้าเรื่องกันก่อน
โรงเรียนก็ยังดำเนินการเรียนการสอนไปตามปกติหลังจากที่ครูใหญ่คนก่อนโดนจับ แล้วในช่วงนี้มันก็เริ่มจะมีชีวิตชีวามากขึ้น
นี่เป็นเพราะอีเวนต์ที่กำลังจะถูกจัดขึ้นในวันนี้
เป็นเงานเลี้ยงที่จะถูกจัดขึ้นในโถงใหญ่ของชั้นแรก เรียกว่า “งานเต้นรำ”
อย่างที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้ นักเรียนส่วนใหญ่ของโรงเรียนนี้เป็นพวกลูกขุนนางอยู่แล้ว และก็มีการสอนวิชาเต้นรำเป็นคาบเรียนอีกด้วย เพราะมันจำเป็นสำหรับอนาคต
อัศวินจะต้องมีความสามารถในการเข้าสังคมอยู่ในระดับหนึ่ง การเต้นจึงนับเป็นความรู้ที่ขาดไม่ได้เลย
เซนต์เป็นตัวตนที่จะถูกเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นโดยประเทศต่างๆในโลกนี้ ถ้าองครักษ์ของเธอขาดซึ่งมารยาททางสังคม ก็จะเป็นการสร้างความอับอายให้แก่เซนต์ได้
ในแน่นอนว่าชั้นเองก็ถูกสอนให้เต้นรำมาเหมือนกัน ยังไงก็ถูกเรียกว่าเป็นเซนต์นี่นะ
ยังไงซะการเต้นก็เป็นหนึ่งในสิ่งบันเทิงไม่กี่อย่างในโลกนี้ ต่อให้ไม่ใช่ขุนนาง ก็ยังมีคนที่รู้เกี่ยวกับมันอยู่ถมเถไป
มีกระทั่งโถงใหญ่ในเมืองที่ถูกสร้างขึ้นมาไว้ใช้เป็นที่เต้นรำอย่างเดียวอยู่ด้วย เห็นว่าเป็นที่นิยมระดับที่มีคนเต็มทุกวันเลย
ก่อนที่การเต้นรำจะถูกทำให้เป็นสิ่งบันเทิงหลักในโลกนี้ ก่อนหน้านั้นผู้คนก็จะใช้การดวลดาบ การโชว์ฆ่าปีศาจที่ถูกจับมาได้ หรือการประหารอาชญากรกลางแจ้งเป็นสิ่งบันเทิง มันมีให้ทำอยู่แค่นี้ ฉะนั้นการที่การเต้นจะกลายเป็นที่นิยมก็ไม่แปลกหรอก อี๋…
ในเนื้อเรื่องหลักของเกม อีเวนต์งานเต้นรำนี้จะไม่มีอะไรเท่าไหร่
แต่จะมีฉากพิเศษสำหรับนางเอกแต่ละคนในอีเวนต์ ถ้าตัวเอกเชิญนางเอกคนไหนไปงานเต้นรำก็จะได้ค่าความชอบมหาศาล
ถ้าอยากจะเข้ารูทนางเอกคนไหนแต่ค่าความชอบไม่พอ หรือจากเปลี่ยนคนจีบกลางเกม อีเวนต์นี้ก็จะเป็นตัวสำคัญเลยทีเดียว
ก็นะ มันก็แค่ระบบเกมที่เอาไว้เร่งค่าความชอบนั่นแหละ
ตามปกติอีอ้วนริสจะพยายามเสนอหน้าให้เวอร์เนลชวนตัวเองไปเต้น ซึ่งแน่นอนว่าชั้นไม่ทำแบบนั้นหรอก ลืมไปได้เลย
“ท่านเอลริสคะ ได้เวลาแล้วค่ะ”
ได้ยินเลย์ล่าพูดแบบนั้น ชั้นก็ลุกออกจากเตียงที่นั่งอยู่
ชั้นในตอนนี้สวมชุดเดรสสีขาว มันถูกเรียกว่าเป็นชุดอย่างเป็นทางการสำหรับเซนต์
ตั้งแต่ที่ชั้นมาที่โรงเรียนนี้ก็ใส่ชุดนักเรียนอยู่ตลอดเลย ชุดนี้เลยไม่ได้ใส่นานแล้วนะ
ถึงนี่จะเป็นชุดสำหรับการเช่นโรลเพลย์เป็นเซนต์ของชั้นก็เถอะ แต่กระโปรงมันพลิ้วไปเว้ย ไม่ชอบเลยเอาจริงๆ
ตั้งแต่แรกแล้ว ข้างในชั้นเป็นผู้ชายนะโว้ย? จะให้ผู้ชายมาใส่กระโปรงพลิ้วๆทำแป๊ะอะไร?
…มีคนทำแบบนั้นจริงดี? เงียบน่า ไอ้พวกนั้นเค้าเรียกว่าโรคจิต
ฉะนั้นชั้นจึงชอบชุดนักเรียนมากกว่าเดรสตัวนี้พอตัวเลย
พอรอมาถึงโถงเต้นรำ ก็เห็นนักเรียนหลายคนมารวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว
พอชั้นมาถึง เจ้าพวกนั้นก็หยุดคุยกันแล้วก็มองมาที่ชั้น
อ๊ะ ไม่ต้องมาสนใจทางนี้ก็ได้นะ เชิญคุยกันต่อได้เลย
ชั้นเดินต่อไปจนถึงที่นั่งของครูใหญ่คนใหม่
เฮ้ ลุงฟ็อกซ์ ฮาโล ฮาโล
ยินดีด้วยที่โดนเลื่อนขั้น
“โอ มาถึงแล้วสินะขอรับท่านเอลริส ว่าแล้วเชียว ชุดเดรสสีขาวตัวนี้เหมาะสมกับท่านที่สุดจริงๆ”
คิดไปเองน่า
เพราะสมัยนั้นชั้นใส่ชุดนี้ตลอด ลุงแกเลยไม่ชินที่เห็นชั้นใส่ชุดอื่นแค่นั้นแหละ
จากนั้นชั้นก็คุยกับลุงไปอีกสักพัก
จริงๆแล้วชั้นมางานนี้แค่พอเป็นพิธีเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ชอบงานเลี้ยงเต้นรำอะไรแบบนี้มากหรอก
ก็ไม่ได้เกลียดอะไรเป็นพิเศษหรอกนะ แค่รู้สึกว่าชั้นไม่ค่อยเหมาะกับเรื่องพวกนี้เลย
ไม่ว่าเลย์ล่าจะเข้าใจความรู้สึกของชั้นรึเปล่า แต่เธอก็ส่งสายตาดุใส่พวกคนที่จะมาชวนชั้นไปเต้นด้วยจนตะเลิดหนีไปหมด
อา เลย์ล่าตอนนี้ใส่ชุดเดรสสีม่วงอยู่ล่ะ เข้ากับเธอมากเลยนะ
“เกี่ยวกับเรื่องบุตรสาวโง่เง่าของกระผม…สำหรับปัญหาทุกอย่างที่เธอทำให้ท่านลำบาก กรุณารับคำขออภัยของกระผมไว้ด้วยเถิดขอรับ”
อา เกี่ยวกับไอน่าน่ะเหรอ
ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ตามมตราฐานชั้นแล้ว แค่นี้ยังถือว่าชิลๆ น่ารักๆ
ถ้าเป็นตัวผู้นี่ตูไม่ยกโทษให้หรอกนะเออ
พอพูดไปแบบนั้น สีหน้าของลุงฟ็อกซ์ก็ดูผ่อนคลายลงมาก
ไรอ่ะ?
“ได้คุยกันแบบนี้ ทำให้กระผมนึกถึงสมัยที่ผมยังเป็นผู้ดูแลท่านอยู่เลย”
อา วันเก่าๆสินะ
เมื่อก่อนชั้นนี่ก็”ซุกซน”พอตัวเลยนะ
…ทำทีพูดระลึกถึงวันวานไปงั้นแหละ ชั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นยังไงบ้างในช่วงอายุก่อนห้าขวบ
เพราะว่าชั้นมาอยู่ในร่างเอลริสก็ตอนที่อายุ 5 ปีไปแล้วน่ะ
แต่จากเซตติ้งในเกมกับท่าทีของคนรับใช้ในสมัยนั้นแล้ว ชั้นน่าจะเป็นเด็กเปรตพอสมควรเลยล่ะ
ถ้าจำไม่ผิด เอลริสในเกมจะ…รังแกคนรับใช้ที่เธอไม่ชอบ สั่งให้คนรับใช้คนหนึ่งไปกลั่นแกล้งคนรับใช้อีกคน หรือไม่ก็ฟ้องไปว่าเธอถูก”รังแก”โดยคนรับใช้ที่เธอไม่ชอบขี้หน้า ทำให้เขาเสียงาน
อุเหห…ที่ชั้นไม่โดนทิ้งไปตั้งแต่ตอนนั้นนี่ถือว่าปาฏิหารย์มากเลยนะเนี่ย
“ท่านเอลริสในอดีตหรือคะ? ขอถามหน่อยได้ไหมคะว่าตอนเด็กเธอเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ตอนนี้เธอเป็นที่เคารพนับถือของทุกคน แต่ตอนที่ยังเยาว์วัยเธอเป็นเด็กที่เอาใจยากมากพอสมควรเลยล่ะขอรับ”
อ๊ะ หยุดก่อนเลยลุงฟ็อกซ์…
“เธอเป็นเด็กที่รักอิสระและไม่ชอบการถูกผูกมัด… เธอไม่เคยขอบคุณใครสักคน วิ่งเปิดกระโปรงเมดไปทั่ว เธออยู่ไม่สุขเลยล่ะขอรับ… แต่เมื่อเธอตั้งใจว่าจะไม่ขยับเมื่อไร เธอก็จะไม่ลุกไปไหนเลยจริงๆ ท่านเอลริสชอบเอาของต่างๆมาวางไว้รอบเตียงแล้วพูดว่า ‘นี่เป็นเบสต์โพซิชั่นที่ทำให้ชั้นหยิบของทุกอย่างที่ต้องการได้โดยไม่ต้องลุกไงล่ะ’ หรือถ้าส่งคนรับใช้ชายมาให้เธอ เธอก็จะบอกว่าไม่เอาผู้ชาย แล้วก็ขอเปลี่ยนคนรับใช้เป็นคนอื่นแทน หรือถ้าเธอถูกบอกให้เรียน เธอก็มักจะเอาสมุดไปวาดรูปเล่นเสียนี่…”
…หืม? ฮะ?
นั่นมันต่างจากชีวิตวัยเด็กของเอลริสที่ชั้นรู้จักนะ…?
เอลริสทำแบบนั้นด้วยเหรอ?
“เป็นเด็กที่เอาแต่ใจพอตัวเลยล่ะขอรับ เธอมักจะพูดว่าอาหารที่มีนั้นไร้รสชาติหรือจืดชืด ทำให้เธอเรียกเชฟไปบ่นหลายครั้ง หรือบางครั้งก็บอกว่าอยากได้นมวัว ไม่เอานมแกะ บางครั้งก็บอกว่าขนมปังแข็งเกินไปบ้าง…ตอนที่เธอจะอาบน้ำ เธอก็จะบอกให้ต้มน้ำไว้ก่อนเสมอ…ถ้าถามว่าทำไมเธอก็จะบอกว่า’ถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วใจจะไม่สงบ…’”
หะ แปลกแฮะ
เธอไม่ได้ทำอะไรที่มันเลวร้ายขนาดที่ชั้นคิดเลย
คือก็เรียกได้ว่าเป็นเด็กเอาแต่ใจแหละ…แต่เอาไปเทียบกับสิ่งที่เอลริสควรจะทำไม่ได้เลย…
ว่าไงดีล่ะ…ประเภทของความเอาแต่ใจมันต่างกัน
ความเอาแต่ใจของเอลริสในเกมจะเลวร้ายกว่านี้ เธอมีความสุขที่ได้ทรมาณผู้อื่น เรียกได้ว่าเป็นขยะสังคมตัวเป็นๆ
ในทางกลับกัน เอลริสเด็กที่ลุงฟ็อกซ์พูดถึงเมื่อกี๊ ดูยังไงก็เป็นแค่เด็กโง่ๆคนนึง
ก็แค่ทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณ พูดสิ่งที่อยากพูด ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ เป็นแค่เด็กที่ซุกซนและดื้อรั้น
ระหว่างที่ชั้นกำลังงงกับข้อมูลใหม่นี้อยู่ ลุงฟ็อกซ์แกก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา
“ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการพูดของเธอนั้นก็ค่อนข้างจะหยาบกร้าน สอนกี่ครั้งก็ไม่เคยจำ…ไม่รู้จะเรียกว่ามีเอกลักษณ์หรือทอมบอยดี…”
“คะ คิดไม่ถึงเลยนะคะเนี่ย ยิ่งถ้ามองจากทางเอลริสในปัจจุบันแล้ว…”
“ใช่แล้วล่ะขอรับ เพราะเช่นนั้นการที่เธอเติบโตมาเป็นเซนต์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เป็นสิ่งที่พวกเราภูมิใจเป็นอย่างมาก”
หา? หาาา?
ไม่เหมือนกับที่คิดไว้เลย แปลกจัง
คือนั่นก็นับว่าเป็นเด็กไม่ดีจริงๆนั่นแหละ เป็นเด็กที่เอาแต่ใจมากด้วย
แต่เอาไปเทียบกับเอลริสในเกมไม่ได้เลย
ว่าไงดีล่ะ…นั่นเป็นคำอธิบายที่ทำให้นึกถึงตัวชั้นเองขึ้นมาเลย
ถ้าชั้นมาเกิดใหม่ในโลกนี้โดยไม่มีความทรงจำจากชาติก่อน ไม่ต้องโรลเพลย์เป็นเซนต์ แค่เป็นตัวของตัวเอง…ก็น่าจะเป็นอะไรที่คล้ายๆแบบนั้นนั่นแหละ
ไม่ใช่ว่า…
ในโลกนี้ชั้นแค่ไม่มีความทรงจำในชาติก่อนจนตอนอายุห้าขวบ…
—ตั้งแต่แรกแล้ว เอลริสในโลกนี้ก็คือตัวชั้นเองหรอกเหรอ?
.
เมื่อเอลริสปรากฏตัวขึ้นในห้องโถงใหญ่ บรรยากาศของงานเลี้ยงก็เปลี่ยนไป
ทันทีที่เธอก้าวเข้ามา เวลาก็เสมือนหยุดนิ่ง สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปที่ตัวเธอ เสี้ยววินาทีจากนั้น พวกเขาก็เริ่มขัดแข้งขัดขากันเอง
สำหรับอัศวินแล้ว การได้เอสคอร์ทเซนต์ในการเต้นรำนั้นถือเป็นเกียรติสูงสุด
ผู้ชายทุกคนในสถานที่นี้ล้วนเป็นคู่แข่งกัน ทุกคนคือศัตรู
พวกเขาพยายามหยุดยั้งไม่ให้ใครคนอื่นตัดหน้านำไปก่อน และในขณะเดียวกันก็พยายามหาช่องว่างให้ตัวเองสามารถขึ้นเข้าถึงเธอได้เป็นคนแรก
คนแรกสุดที่เคลื่อนไหวก็คือเจ้าโรคจิตประจำสถาบัน ซัปเปิ้ล เมนต์
เพียงย่างก้าวแรก เขาก็ถุฏนักเรียนและอาจารย์คนอื่นๆพร้อมใจกันดร็อปคิกใส่จากทุกทิศทาง
ถึงแม้เขาจะยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่สำหรับไอ้โรคจิตคนนี้ จะรอให้มันเริ่มไปแล้วก็คงสายเกินแก้
เท่านี้มารร้ายก็ถูกกำจัดไปแล้วหนึ่ง
คนต่อมาที่เคลื่อนไหวคือทหารเกณฑ์เก่า จอห์น ผู้มีอายุ 20 ปีแม้จะยังอยู่ปีหนึ่ง
แต่เขากลับถูกสายตาดุดันของเลย์ล่าข่มไว้ ไล่ให้เขากลับไปยังที่นั่งของตน
สามเกลอ ทาดาโนะ คาซุอะ และวาเสะ ยืนขึ้นพร้อมกัน
ทั้งสามมองหน้ากันไปมา จากนั้นก็พุ่งกำปั้นเข้าใส่กันเอง
ทริปเปิ้ลเคโอ
ชายหนุ่มนับไม่ถ้วนต่างเริ่มเคลื่อนไหว บางคนก็ถูกผู้ชายคนอื่นสกัดไว้ได้ ส่วนพวกที่เหลือก็พ่ายแพ้ให้กับสายตาเย็นยะเยือกของเลย์ล่า
ในจำนวนนั้น มีชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่สามารถก้าวข้ามศพ(ยังไม่ตาย)ที่กองพะเนินอยู่บนพื้นมาได้
เขาสามารถหลบหลีกกับดักที่ถูกวางไว้โดยตัวผู้คนอื่นได้พลิ้วไหวราวสายน้ำ เขาสามารถสะบัดใครก็ตามที่ขวางหน้าเขาออกไปได้ด้วยร่างกายอันทรงพลัง
เขารับสายตาเย็นชาของเลย์ล่าเข้าไปโดยไม่สะทกสะท้าน ชายหนุ่มผู้นั้น–เวอร์เนลได้มาอยู่ต่อหน้าเซนต์แล้ว เขากล่าว
“ท่านเอลริสครับ ได้โปรดให้เกียรติเต้นกับผมสักเพลงได้ไหมครับ”
—ในเวลานั้นเองที่เวอร์เนลกลายเป็นฮีโร่แห่งตำนาน เขากลายเป็นที่เคารพนับถือในหมู่นักเรียนชาย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นที่อิจฉาริษยา เป็นศัตรูของชายหนุ่มทุกคนในโรงเรียน