“ขอคาปูชิโน่กับแพนเค้กอย่างละที่ ฟุโดวซังจะเอาอะไรไหมครับ?”
“ไม่ล่ะครับ ยังไม่หิวน่ะครับ”
ฟุโดวออกมาจากบริษัทและเปลี่ยนไปคุยกันที่คาเฟ่ใกล้ๆแทน
คนที่สั่งคาปูชิโน่และแพนเค้กก็คืออิจูอิน ฮารุโตะ ที่ฟุโดวเป็นคนนัดไว้
เขาคือหัวหน้าโปรเจ็กต์ของ “บุปผานิรันดร์ร่วงโรย” คนที่ใกล้เคียงกับคำว่าพระเจ้ามากที่สุดสำหรับเกมนั้น
ภายนอกยังดูหนุ่มอยู่เลย แต่อายุก็น่าจะเข้าวัยสามสิบไปแล้ว
ผมสีดำสั้นและดวงตาสีดำ สวมแว่นทรงเหลี่ยม ดูเผินๆแล้วจะดูเป็นผู้ทรงภูมิ
เป็นค่านิยมมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าคนฉลาดมักจะสวมแว่น แต่คนสวมแว่นจะฉลาดจริงๆรึเปล่านี่ก็ไม่รู้
ในยุคที่สมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่ต้องใช้เป็นประจำเช่นนี้ การที่คนจะสายตาแย่ลงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เดี๋ยวนี้จึงมีคนสวมแว่นหรือคอนแทกเลนส์อยู่ถมเถไป
“เอาล่ะ… ก็ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะครับ ช่วยบอกหน่อยได้ไหมครับ? …ว่า เอลริส 102 นี่มันหมายความว่ายังไง?”
“นั่นคือน้ำหนักดั้งเดิมของตัวละครที่มีชื่อว่าเอลริสครับ”
ฟุโดวตอบคำถามของอิจูอินอย่างตรงไปตรงมา
อิจูอินไอเล็กน้อย
“พูดแปลกจังเลยนะครับ น้ำหนักอย่างเป็นทางการของเอลริสคือ 44 กิโลกรัม นี่คุณได้เล่นเกมจริงๆรึเปล่าครับเนี่ย?”
“ถ้าคุณคิดอย่างนั้นจริงๆ คุณก็คงจะไม่ตอบรับการนัดหมายครั้งนี้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะ…เพราะว่าคุณเอะใจอะไรบางอย่าง ถึงยอมรับคำขอนัดพบจากฟรีแลนซ์ไร้ชื่อเสียงอย่างผม ถึงแม้จะต้องสละเวลาอันมีค่าของตัวเองก็ตาม ใช่ไหมล่ะครับ?”
ฟุโดวพูดอย่างมั่นใจกับอิจูอินที่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง
การจะถูกปฏิเสธด้วยคำว่า “พวกเรายุ่งอยู่ จึงไม่สามารถตอบรับการนัดพบนี้ได้” ก็เป็นเรื่องปกติ
เพราะว่าฟุโดวไม่ใช่นักข่าวชื่อดังหรือทำงานให้กับนิตยสารอะไรซะด้วย
เนื่องจากเป็นแค่ฟรีแลนซ์…จึงไม่มีเหตุผลให้อีกฝ่ายสละเวลามาให้คนอย่างเขาเลย
แต่ถึงอย่างนั้น โปรดิวเซอร์คนนี้ก็ยังตอบรับการนัดพบ
อย่างน้อยที่สุด เขาก็น่าจะรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับรหัสที่ถูกส่งให้
เห็นอิจูอินยังเงียบอยู่ ฟุโดวก็พูดต่อไป
“บทบาทของเอลริสคนก่อนน่ะ…ไม่เหมือนกับในตอนนี้ เธอเป็นพวกน่ารำคาญที่ถูกเกลียดได้ง่าย และจะรับบทเป็นตัวร้ายเสมอไม่ว่าจะในรูทไหน…เธอจะรับบทเป็นตัวร้ายหลักในช่วงเทอมสองของเนื้อเรื่อง ทำเรื่องชั่วร้ายต่างๆไว้มากมาย สุดท้ายก็จะถูกดีดออกจากเนื้อเรื่องไป…บทบาทของเธอน่ะเป็นแบบนั้น”
“…ครับ เป็นอย่างที่คุณพูดเลย”
อิจูอินผงกหัวเล็กน้อยให้กับคำพูดของฟุโดว
และแล้วกาแฟและแพนเค้กที่เขาสั่งไปก็มาถึง เขาใส่นมลงกาแฟไปสองช้อนก่อนที่จะคนเบาๆ
“อย่างที่คุณพูดเลยครับ…ฟุโดวซัง เอลริสเป็นตัวละครที่ถูกสร้างมาให้เป็นตัวปัญหา…เป็นตัวร้ายที่นำความยุ่งเหยิงมาสู่เรื่องราว แต่เพราะอะไรบางอย่าง เอลริสในตอนนี้กลับกลายมาเป็นตัวละครที่สมกับเป็นเซนต์ยิ่งกว่าเซนต์ตัวจริง เรียกว่ากลับหน้ากลับหลังกับบทบาทของเธอเมื่อก่อนเลย อีกอย่างหนึ่งคือ…คนอื่นๆที่เหลือกลับคิดว่าเธอน่ะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว… โปรแกรมเมอร์ที่ทำงานให้กับเกมนี้และคนในบริษัททุกคนก็ด้วย ถึงขั้นที่ผมคิดว่าตัวผมต่างหากที่หลอนไปเองเลยล่ะครับ”
“แสดงว่าพวกคุณไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงนี้หรือครับ?”
“พวกเราทำอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ ถ้าให้สร้างเกมใหม่แล้วเปลี่ยนบุคลิกของเอลริสในเกมนั้นก็ว่าไปอย่าง แต่การจะเปลี่ยนการรับรู้ของผู้คนให้คิดว่า ‘มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว’ ถ้าแบบนั้นคงต้องย้อนกลับไปเปลี่ยนอดีตแล้วล่ะครับ”
อิจูอินเทน้ำเชื่อมราดบนแพนเค้กและใช้มีดหั่นมัน
จากนั้นจึงใช้ส้อมจิ้มมันขึ้นมาแทน แล้วจึงจิบกาแฟตาม
“ผมก็นึกว่าคุณรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมถึงตอบรับการนัดพบครั้งนี้ยังไงล่ะครับ”
“ผมรู้อะไรหรือเปล่า…งั้นหรือ? จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่เรื่องที่ผมจะพูดนี่อาจจะเหลือเชื่อเกินกว่าที่จะสามารถเชื่อได้นะครับ”
“ผมจะตัดสินเองครับว่าควรจะเชื่อหรือไม่ หลังจากที่ได้ฟังแล้ว”
สถานการณ์มันชักจะเริ่มแปลกแล้วแฮะ ฟุโดวคิด
เขามาที่นี่เพื่อหาข้อมูล ไม่นึกเลยว่าเขาจะต้องมาเป็นคนให้ข้อมูลแทน
แต่ถ้าบอกไป เส้นทางอื่นอาจจะเปิดให้เห็นก็ได้
ถ้าบอกไปว่า “จริงๆแล้วชั้นคือเอลริส” คงจะไม่มีทางเชื่อแน่นอน ก็คงจะพูดหมดไม่ได้
“ตัวเอลริสเองน่ะครับ เธอกลายเป็นบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายๆกับวิญญาณ แล้วก็มาที่โลกทางฝั่งนี้ ตัวเกมเองก็ถูกเปลี่ยนให้ตรงกับการกระทำของเธอที่โลกนั้น และอีเวนต์บางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ก็เป็นเพราะว่าอนคตของเธอที่โลกนั้นยังไม่ได้ถูกกำหนดไว้…อย่างน้อยนั่นก็เป็นทฤษฎีที่ผมตั้งไว้น่ะครับ”
“…เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆด้วยนะครับเนี่ย มีหลักฐานอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ถ้าพาไปเจอเธอตรงๆเลยคงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ว่า…ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะโผล่มาตอนไหนนะครับ แต่บางทีเธอก็จะโผล่มาตอนนี้ผมอยู่ที่ห้อง น่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้ที่ทำให้ผมมีความทรงจำเกี่ยวกับเกมก่อนที่จะโดนเปลี่ยนแปลงได้”
อิจูอินใช้นิ้วนวดหว่างตา ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
จากนั้นเขาก็จิ้มแพนเค้กเข้าปากเพิ่มอีกเพื่อเสริมน้ำตาลให้กับสมองให้ความคิดแล่น
“คุณอาศัยอยู่ที่ไหนครับฟุโดวซัง?”
“อพาร์ทเมนต์แถวสุเนโทริน่ะครับ”
“ที่นั่นมีห้องว่างอยู่รึเปล่าครับ”
“ห้องข้างๆผมว่างอยู่ครับ”
“พอดีเลยครับ”
ได้ฟังคำตอบของฟุโดว อิจูอินก็พยักหน้าราวกับคิดบางอย่างออก
เขาดื่มกาแฟที่เหลือ เหมือนว่าจะตัดสินใจได้แล้ว เขาพูดว่า—
“ผมจะไปอาศัยอยู่ที่อพาร์ทเมนต์นั้นสักพักหนึ่ง ถ้าเอลริสโผล่มาเมื่อไรล่ะก็ ให้เรียกได้เลยโดยไม่ต้องสนเวลานะครับ”
“เอ๋? แบบ…แบบนั้นจะดีเหรอครับ? ผมก็นึกว่าคุณงานยุ่ง”
“จริงๆผมก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากนักหรอกครับ แต่ยิ่งกว่าเรื่องนั้น ถ้าผมไม่สามารถไขความข้องใจเรื่องนี้ได้ ผมก็จะอยู่ไม่สุขเลยล่ะครับ สิ่งที่ผมสร้างมาถูกเปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่ตัวผมไม่ได้ทำ แค่คิดก็น่าขนลุกแล้ว ผมปล่อยมันไว้ไม่ได้หรอก”
เข้าใจล่ะ ฟุโดวคิด
จากมุมมองของอิจูอิน ก็คงน่าขนลุกจริงๆนั่นแหละ
เหมือนกับรูปวาดของตัวเองอยู่ๆก็ขยับได้ขึ้นมา
ความเข้าใจของอิจูอินน่าจะลึกล้ำยิ่งกว่าฟุโดวเองซะอีก
และแล้ว เวลาที่จะแสดง”หลักฐาน”นั้นให้อิจูอินเห็นก็มาถึงเร็วกว่าที่คาด
.
ตั้งแต่ที่คืนดีกับเวอร์เนลสำเร็จก็ผ่านมาหลายวันแล้ว
วันก่อนที่จะถึงหยุดฤดูหนาว จู่ๆชั้นก็กลับมายังอพาร์ทเมนต์เก่าของตัวเอง
เหมือนจะสังเกตเห็นชั้นแล้ว ฟุโดว นิอิโตะ(ตัวชั้น)ก็ลุกขึ้นจากฟูกมาทักทาย
“โอ้ มาแล้วเหรอ”
“ค่ะ มาอีกแล้วค่ะ”
พูดไปเองก็กระไรอยู่ แต่หน้าตาดูไม่ได้เลยนะ
ว่าไงดี เจ้านี่มันจะกลายเป็นซอมบี้แล้วนะเนี่ย
ผิวหมองจนเริ่มกายเป็นสีเดียวกับพื้น แก้มซูบผอม บริเวณแถวตาก็ดูว่างๆชอบกล
ขอบตาดำเป็นหมีแพนด้า แถมหนาอย่างกับกระดูก
ดูเหมือนว่าจะมีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้วสินะ
ฟุโดวเอาสมาร์ทโฟนออกมาโทรเรียกใครบางคน
“เอลริส เดี๋ยวชั้นจะโทรเรียกคนมาเพิ่มอีกคนนึงนะ ถ้าบอกความสัมพันธ์จริงๆระหว่างเราไปจะยุ่งยากซะเปล่า ก็เก็บเรื่องนั้นไว้เป็นความลับแล้วก็อย่าพูดอะไรเกินจำเป็นแล้วกัน”
“เอ๋…พาคนนอกเข้ามาด้วยจะไม่เป็นไรหรือคะ?”
“ไม่ใช่คนนอกหรอก หัวหน้าทีมสร้างของบุปผานิรันดร์น่ะ”
ดูเหมือนว่าฟุโดวจะสามารถติดต่อคนสร้างได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แฮะ
ขยันจังนะแก เป็นแค่ชั้นแท้ๆเลย
ถ้าเป็นคนสร้างเกมล่ะก็…พยายามที่จะหาจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกฝั่งนี้และฝั่งนั้นสินะ
ถ้าลองคิดดูดีๆ เกิดใหม่ในโลกเกมนี่มันก็แปลกจริงๆนั่นแหละ
ยังไงซะ บุปผานิรันดร์ร่วงโรยก็เป็นแค่เกมที่สร้างจากข้อมูลภาพ เสียง และเกมเพลย์เท่านั้นแหละ
ไม่มากพอที่จะสามารถสร้างเป็นโลกทั้งใบได้หรอก
แล้วโลกที่ชั้นอาศัยอยู่ในตอนนี้คืออะไรล่ะ?
เป็นแค่โลกที่คล้ายคลึงกับเกมเฉยๆงั้นหรือ?
หรือว่ามีอยู่มาตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนเกมก็ถูกสร้างโดยใช้โลกนั้นเป็นฐาน?
…พอลองคิดว่าเกมถูกเปลี่ยนไปตามการกระทำของชั้น โอกาสที่จะเป็นแบบหลังก็เป็นไปได้สูงอยู่
“โอ้ มาแล้วล่ะ”
จากหน้าประตู ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนคนหนึ่ง
ฟุโดวเดินไปหน้าประตูและมองลอดผ่านรูก่อนที่จะเปิดให้คนข้างหน้าเข้ามา
คนที่เข้ามาคือผู้ชายสวมแว่นอายุน่าจะซักสามสิบกว่า
โฮ่~โห~ นี่คือผู้สร้างเกมเหรือเนี่ย
พอเขาเห็นชั้น ก็เบิกตากว้างตัวแข็งค้างไปเลย
“…ไม่อยากจะเชื่อเลย เธออยู่ที่นี่จริงๆด้วย…”
“เอ่อ…สวัสดีค่ะ ชั้นชื่อว่าเอลริสค่ะ”
ทักทายกันก่อนแล้วกัน
ในเมื่อเป็นผู้สร้างเกม จากมุมมองของโลกที่ชั้นอยู่นี่จะเรียกว่าเป็นพระเจ้าก็ได้มั้ง
ดีไม่ดีอาจจะทำลายล้างโลกได้ด้วยความคิดก็ได้ อย่าไปทำให้โกรธดีกว่า
ทำตัวเป็นมิตรเข้าไว้
“อะ-อา…ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมอิจูอิน ฮารุโตะ เป็นหัวหน้าโปรเจ็กท์ของ บุปผานิรันดร์ร่วงโรย ครับ”
ฟุมุ ฟุมุ อิจูอินซังสินะ
โอเค จำได้ละ
“มีเรื่องอะไรจะคุยหรือเปล่าคะ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว เกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างโลกทางฝั่งนี้และฟากนั้นยังไงล่ะ และความเกี่ยวข้องที่มีต่อเกมเองก็ด้วย ถ้าเธอทำอะไรที่ทางฝั่งนั้น คนของโลกทางนี้ก็จะถูกเปลี่ยนให้รับรู้ว่ามันเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว…พวกเราต้องการที่จะไขปริศนานั้นไงล่ะ”
คำถามของชั้นถูกตอบโดยฟุโดวราวกับว่าเป็นเรื่องที่แน่นอน
“อิจูอินซังที่อยู่ตรงนี้พอจะรู้อะไรบ้างไหมคะ?”
“มะ-ไม่ครับ…ผมไม่รู้อะไรเลย คนอื่นๆในทีมสร้างก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเนื้อหาของเกมเปลี่ยนแปลงไป ทุกคนคิดว่ามันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว”
ก็นึกว่าอิจูอินซังจะรู้อะไรบ้าง แต่แบบนี้ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าแฮะ
เขาเองดูจะไม่รู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เหมือนกัน
ถ้าคนที่นับได้ว่าเป็นพระเจ้าของฝั่งนั้นยังไม่รู้ ก็คงจนปัญญาแล้วล่ะ
“กุญแจที่สามารถไขปริศนานี้ได้อาจจะอยู่ในเกม บุปผานิรันดร์ก็ได้ ลองมาวิเคราะห์เกมนี้ใหม่ตั้งแต่ต้นกันเถอะครับ เราอาจจะเจอคำใบ้ในนั้นก็ได้”
อิจูอินซังพยักหน้าให้กับคำพูดของฟุโดว ชั้นก็ตามน้ำผงกหัวไปด้วย
ไหนๆอิจูอินซังก็อยู่ที่นี่แล้ว อาจจะมีเบื้องหลังการสร้างอะไรที่จะเป็นเบาะแสได้บ้างก็ได้
อิจูอินซังเริ่มอธิบาย
“บุปผานิรันดร์ร่วงโรย(คุอง โนะ ซังกะ)… ชื่ออย่างเป็นทางการคือ บุปผานิรันดร์ร่วงโรย ~Fiore caduto eterna~ ถูกสร้างขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน และมียอดขายอยู่กว่าสี่แสนสองหมื่นชุดในปัจจุบัน บริษัทผู้ผลิตคือ อัตติโม่เกมโปรดักชั่นโปรเจ็คท์ ทีมสร้างมีอยู่หกคน และกลายเป็นเกมฮิตอันดับหนึ่งของทางเรา ภาคต่อและสปินออฟของตัวละครยอดนิยม แมรี่ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการวางแผนแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก”
“ทำไมถึงไม่คืบหน้าหรือคะ?”
“นักเขียนที่ทำหน้าที่เขียนบททำงานช้าน่ะครับ…คนๆนั้นไม่ยอมส่งบทใหม่มาให้สักที เพราะแบบนี้แหละพวกนักเขียนนิยายเว็บถึงใช้ไม่ได้…”
มีข่าวลือเกี่ยวกับภาคต่อนี่มีมาตั้งนานแล้ว แต่ผ่านมาเป็นปีๆแล้วก็ยังไม่มีประกาศออกมาสักที
ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะคนเขียนบทสินะ
ถ้าไม่มีบทก็ทำงานอะไรไม่ได้นี่เนอะ
แต่…นิยายเว็บเหรอ?
“คนเขียนบทนี่เป็นคนอย่างไรหรือคะ?”
“ผมเองก็ไม่ค่อยรู้มากเหมือนกันครับ ไม่เคยเจอกันตัวเป็นๆด้วย…เรียกว่าเป็นการเขียนแบบไม่เปิดเผยตัวตนน่ะครับ เราคุยกันผ่านเน็ตบ้างก็จริง แต่ก็ไม่เคยพบกับเขาซึ่งๆหน้าเลย”
“ไม่เคยพบกันเลยหรือคะ? ทั้งๆที่อยู่ในทีมสร้างด้วยกันแท้ๆ?”
“เดิมทีแล้วบุปผานิรันดร์ร่วงโรยเป็นนิยายที่ชนะการประกวดน่ะครับ ผู้ชนะจะได้ทั้งเงินรางวัลและการันตีการตีพิมพ์ ผู้ที่ชนะในการประกวดประเภทเกมก็จะถูกนำนิยายมาสร้างเป็นเกมแทน…บุปผานิรันดร์ชนะการประกวดนั้นมาได้ ส่วนผู้เขียน…นามปากกาคือ ‘เต่าแห่งฟิโอริ’ ก็ตั้งเงื่อนไขว่าจะไม่มาเจอกันตรงๆเด็ดขาดและจะคุยกันทางออนไลน์เท่านั้น…ในยุคสมัยนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรขนาดนั้นหรอกครับ ผมก็เคยเชิญคนๆนั้นมาทานข้าวด้วยกันแล้ว แต่ก็ถูกตอบ NO มาตัวโตๆเลย คนเขียนบทคนนั้นเลยไม่ใช่ส่วนหนึ่งของบริษัทเราหรอกครับ”
เข้าใจสิ่งที่อิจูอินพูดแล้ว
ก็คือคนเขียนบทเป็นนักเขียนมือสมัครเล่นดาวรุ่งสินะ
“ต้องบอกว่าเขา…หรือเธอคนนั้นน่ะเป็นศิลปินตัวจริงเลยล่ะครับ พวกเราทำหน้าที่แค่สร้างภาพประกอบและเพลงประกอบ คนที่วาดภาพประกอบก็จ้างนักวาดชื่อดังเอา ทุกอย่างที่เหลือทั้งหมดเขาคนนั้นจะเป็นคนกำหนดเอง”
“ถ้าอย่างนั้นเราลองไปพบคนคนนั้นกันเถอะค่ะ คนคนนั้นอาศํยอยู่ที่ไหนและชื่อจริงชื่ออะไรหรือคะ? อย่างน้อยก็น่าจะมีชื่อจริงใช่ไหมคะ?”
“ครับ ตอนที่จะส่งเกมที่สร้างเสร็จแล้วไปให้ เราก็ต้องมีทั้งชื่อและที่อยู่ก่อน ถ้าจำไม่ผิด ชื่อจริงน่าจะชื่อว่า…ว่า…”
อิจูอินซังพูดจนถึงตรงนี้จากนั้นจึงเอียงคอ
เขาพยายามจะค้นในสมองเพื่อหาคำตอบ แต่ก็จำไม่ได้สักที เขาจึงลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าลำบากใจ
“…ขอโทษครับ ผมลืมไปแล้ว”
…เฮ้ย เฮ้ย คนคนนี้ไม่เป็นไรแน่นะ?
ก็นะ จะให้จำชื่อคนที่ไม่ใช่แม้กระทั่งพนักงานของบริษัทตัวเอง แถมเคยคุยกันแต่ผ่านทางออนไลน์ด้วยนามปากกาด้วยนี่คงไม่ใช่เรื่องง่ายมั้ง
ทำเอาชั้นกังวลเลยเนี่ย