ทุกคนแยกกันออกไปตามหาเอเทอร์น่า ส่วนชั้นก็มุ่งตรงไปที่บ่อน้ำหลังโรงเรียนในทันที
จะให้มาหาทีละซอกทีละมุมน่ะมันยุ่งยาก ใช้วิธีที่ดีและสะดวกที่สุดนี่แหละถึงจะเรียกว่าฉลาด
ตอนเดินไปหา บ่อน้ำก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร ชั้นเลยส่งพลังเวทย์ลงไปในน้ำ
น้ำในบ่อค่อยๆยกสูงขึ้น และเจ้าเต่าก็โผล่ขึ้นมา
“โอ้ มีอะไรรึเอลริส?”
“ค่ะ มีเรื่องอยากให้ช่วยน่ะค่ะ”
“ดูเหมือนจะมีปัญหาอะไรสินะ?”
เต่าตัวนี้มีความสามารถในการสังเกตการณ์เกือบทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้
แต่ยังไงซะมันก็มีอยู่แค่สมองเดียว จะให้มันเฝ้ามองทุกเหตุการณ์บนโลกอยู่ตลอดนี่มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
มันต้องรู้ก่อนว่าตัวเองอยากจะมองอะไร ถึงจะสามารถเห็นได้ ต้องดูไปทีละอย่าง
ถ้ามันอยากจะรู้สิ่งที่เกิดขึ้นที่นิวยอร์ก ก็จะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่นิวยอร์ก แต่จะไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในโตเกียว
คล้ายๆทีวีนั่นแหละ
เปิดได้ทีละช่องเท่านั้น ทีวีจอเดียวดูสองรายการพร้อมกันไม่ได้
ถ้าอยากดู SASUKE ฉบับพิเศษสิ้นปี ก็จะเปิด โกโร่ อร่อยฉายเดี่ยว ที่ฉายในเวลาเดียวกันไม่ได้
เพราะงี้ถ้าแม่มดเทเลพอร์ตหนีไปได้ล่ะก็ มันจะแย่เอา
สมมติถ้าแม่มดร่ายบาเรียที่ทำให้ตรวจจับไม่ได้อยู่ล่ะก็ บางทีเจ้าเต่าอาจจะพยายามหา “สถานที่ที่ตัวเองไม่สามารถสังเกตการณ์ได้” แล้วก็ทำให้รู้ที่อยู่ของแม่มดก็ได้
หรือถ้าแม่มดเทเลพอร์ตหนีไปจริง เจ้าเต่าก็คงพอจะคาดเดาได้ว่าจะไปที่ไหน
แต่ยังไงซะมันก็เป็นแค่การคาดเดา ไม่ใช่การมองอนาคตจริงๆ ยังมีโอกาสผิดอยู่
ถ้าแม่มดเทเลพอร์ตหนีไปในที่ๆเจ้าเต่าไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่ะก็ เจ้าเต่าคงต้องมานั่งไล่ทุกซอกทุกมุมของฟิโอเร่เพื่อหาสถานที่ๆตัวเองสังเกตไม่ได้
ง่ายๆก็คือ พลังของเจ้าเต่าน่ะสะดวกก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าแน่นอนไปซะทุกครั้ง
แล้วดูเหมือนว่าจนถึงเมื่อกี๊ มันกำลังสังเกตการณ์สิ่งที่อยู่นอกสถาบันอยู่
ไม่งั้นคงไม่บอกว่า “ดูเหมือนจะมีปัญหาอะไรสินะ?”
“ใช่ค่ะ นักเรียนของสถาบันคนหนึ่งจู่ๆก็หายไปน่ะค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่เวลามานั่งดูคาเมะคิจิกับคาเมะมิทะเลาะกันประสาคู่รักสินะ”
เจ้าเต่านี่ดูบ้าอะไรอยู่เนี่ย?
ไม่ใช่เวลาจะมาทำแบบนั้นนาเหวย
เออ จริงๆแอบดูคนรัก…ไม่สิ เต่ารักเชาตีกันนี่ไม่ใช่งานอดิเรกที่ดีนา
ช่างเรื่องนั้นไปก่อนแล้วกัน
ตอนนี้เราต้องการตาทิพย์นั่นอย่างด่วนเลย
“รู้จักเอเทอร์น่าซังใช่ไหมคะ? พอจะรู้ไหมคะว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”
“ได้เลย”
ไม่จำเป็นต้องอธิบายเกี่ยวกับตัวตนจริงๆของเอเทอร์น่า
เจ้าเต่ารู้ว่าชั้นเป็นเซนต์ตัวปลอม
แสดงว่ามันก็ควรจะรู้อยู่แล้วว่าเซนต์ตัวจริงคือใคร
เจ้าเต่าหลับตาไปครู่หนึ่ง หลังจากที่”สังเกตการณ์”เสร็จ มันก็หันมาบอก
“เจอเธอแล้ว แต่ดูเหมือนจะมีอะไรแปลกๆ”
“แปลกหรือคะ?”
“เธอยังอยู่ในสถาบันนี่แหละ แต่ว่า…สถานที่ที่เธออยู่น่ะมันประหลาด”
สถานที่ประหลาดนี่มันที่ไหนหว่า? โดนจับยัดไว้ในล็อกเกอร์เรอะ?
เอาเป็นว่าฟังที่เจ้าเต่าจะพูดก่อนแล้วกัน
“เป็นทางลับน่ะ…เป็นเหมือนห้องลับที่ถูกสร้างไว้หลังกำแพงนึงในสถาบันแห่งนี้ เอเทอร์น่าถูกจับอยู่ที่นั่น…ไม่ใช่แค่เธอนะ นักเรียนหลายคนก็ถูกขังอยู่ที่นั่นเหมือนกัน”
โฮ่วว ห้องลับเรอะ? โรงเรียนนี้มีของอย่างนี้ด้วยเหรอเนี่ย
ไม่สิ ดิแอสคงจะใช้อิทธิพลในฐานะครูใหญ่สร้างขึ้นมาล่ะมั้ง
นึกว่าจะมีแค่เอเทอร์น่า แต่ดูเหมือนจะมีนักเรียนคนอื่นอยู่ด้วย
ก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมถึงโดนลักพาตัว เดี๋ยวก็หาตัวคนร้ายแล้วจับมาเค้นให้สารภาพทีหลังแล้วกัน
ถึงจะไม่รู้เหตุผลของคนร้าย ก็ยังต้องช่วยออกมาอยู่ดีล่ะนะ
“คนร้ายอยู่ที่นั่นหรือเปล่าคะ?”
“อืมมม…ตรงนั้นมีผู้หญิงคนนึงที่ถูกล้อมรอบไว้ด้วยความมืด ก็คิดว่าน่าจะเป็นคนร้ายน่ะนะ”
“ใช่อเล็กเซียไหมคะ?”
“ไม่ใช่ อเล็กเซียจนตอนนี้ก็ยังอยู่ที่ใต้ดิน”
เห็นบอกว่าเป็นผู้หญิงที่ล้อมรอบไว้ด้วยความมืด ก็นึกว่าเป็นแม่มด
ถ้าเจ้าเต่าไม่อยู่ที่นี่ ชั้นคงคิดไปแล้วว่าอเล็กเซียเป็นคนร้าย
เพราะชั้นก็ไม่เคยเจออเล็กเซียมาก่อนน่ะนะ
ยังไงชั้นก็แค่เคยเห็นเธอผ่านเกม รูปวาดกับโลกสามมิตินี่เอามาเทียบกันยากอยู่แล้ว ถ้าชั้นเห็นใครสีผมคล้ายๆหน่อยก็คงจะเข้าใจผิดไปง่ายๆเลย
อย่างตอนชั้นเพิ่งได้ความทรงจำกลับมา ยังคิดเลยว่าตัวเองเป็นเอเทอร์น่าไม่ใช่เอลริส
“มุ พวกเธอถูกพาจากทางลับไปที่ดาดฟ้าแล้ว หนวดอะไรสักอย่างที่สร้างจากความมืดก็ลากพวกนักเรีบนไปด้วย…น่าจะมีแผนอะไร”
ไม่รู้หรอกนะว่ามีแผนอะไรน่ะ แต่พาไปดาดฟ้าโล่งแจ้งแบบนี้ก็หวานตูล่ะเด้อ
ชั้นหายตัวไปจับคนร้ายได้ง่ายๆเลยนะ
“ขอบคุณมากนะคะ โปรเฟตะ”
“จะไปแล้วสินะ ถึงจะไม่จำเป็นที่ต้องพูดแบบนี้ แต่ก็ระวังตัวไว้ล่ะ”
ได้ยินเจ้าเต่าพูดแบบนั้น ชั้นก็บินตรงไปที่ดาดฟ้าในทันที
โทษละกันนะ จะเอาให้จบเรื่องเร็วๆนี่แหละ
.
นักเรียนหญิงที่ถูกออคโตควบคุมกำลังเดินตรงไปยังดาดฟ้า
เอลิซาเบธ อิบลิส คือนักเรียนหญิงที่ถูกออคโตเลือกมาเป็นตัวตายตัวแทนของแม่มด
รูปลักษณ์ของเธอนั้นจะเรียกว่างดงามก็คงไม่ได้
ก็ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีอะไรมาก เรียกว่า ธรรมดา ดูจะตรงตัวที่สุด
ตาชั้นเดียว สันจมูกไม่สูงไม่ต่ำ
ใบหน้าไม่ได้สมมาตรอะไร ฟันสีเหลืองเรียงกันไม่เป็นระเบียบ
เส้นผมสีน้ำตาลยาวถึงเอว ประดับด้วยดอกไม้ที่คล้ายกับเอลริส(แต่ว่าเฉาตายไปแล้ว)
เธอหลงใหลในเอลริส
แต่ในขณะเดียวกันก็ริษยาและเกลียดชัง
ในตอนแรก มันก็เป็นแค่ความอิจฉาเล็กๆ
เธอเกิดในตระกูลชนชั้นสูง ในตอนที่เธออายุ 11 ปี เธอได้พบกับเซนต์ในงานเลี้ยงเต้ารำ และตั้งแต่นั้นมา เธอก็ใฝ่ฝันถึงรูปลักษณ์นั้น
เธออยากจะเป็นเหมือนกับเซนต์
เธอถึงได้ทำเครื่องประดับดอกไม้ที่เหมือนกับเอลริสขึ้นมา เธอเลียนแบบท่าทีของเอลริส ไว้ผมแบบเดียวกับเอลริส
ใช่แล้ว ในตอนแรกๆมันก็เป็นแค่การ ทำตาม เท่านั้น
ลอกเลียนคนที่ตัวเองนับถือ อยากจะเป็นเหมือนดาราคนนั้นคนนี้…มันไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ยิ่งเธอเติบโตขึ้น ผมของเธอที่เคยเป็นสีทองก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ไม่ว่าจะมองอย่างไร ภาพที่สะท้อนอยู่ในกระจกนั้นไม่ใช่เอลริส
เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ก็ตัวเธอไม่ใช่เอลริสนี่นา
คนเราเกิดมาหน้าตาไม่เหมือนกัน ก็เรื่องธรรมชาติ
ตามปกติ คนทั่วไปก็คงจะเริ่มรู้ตัวถึงความจริง และยอมรับมันได้ในที่สุด
แต่ภายในตัวเธอ ความหลงใหลนั้นค่อยๆบิดเบี้ยวขึ้นทีละน้อย
มันเริ่มมาจาก “ชั้นเองก็อยากจะเป็นแบบนั้น”
กลายเป็น “ถ้าแค่ชั้นเป็นแบบนั้นล่ะก็”
ตั้งแต่ที่เธอเข้ามายังสถาบันแห่งนี้ และได้อาศัยอยู่ในสถานที่ที่เดียวกับตัวตนที่เธอหลงใหล ความรู้สึกอันบิดเบี้ยวนี้ก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น ความมืดในใจเธอค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆทุกครั้งที่เธอพบเห็นเอลริส…
จนกระทั่ง มันแปรเปลี่ยนจาก “ทำไมชั้นถึงไม่ใช่เอลริส?” กลายเป็น “ถ้าแค่ชั้นเกิดต่างไปจากนี้ ชั้นก็คงกลายเป็นเอลริสไปแล้ว” เป็นภาพลวงตาบ้าๆแบบนั้น
ถ้าแค่เธอเกิดมาต่างไปจากตอนนี้ เธอคงจะกลายเป็นเซนต์เอลริส
เธอคงจะมีรูปลักษณ์ที่งดงามแบบนั้น
ไม่ มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ นั่นเป็นสิ่งที่เธอควรจะมี
เธอกล่อมหัวใจที่บิดเบี้ยวของตัวเองให้เมินหน้าหนีจากความจริง เสพสมไปกับจินตนาการ
เธอฝันถึงโลกที่เธอเกิดมาเป็นเอลริส โลกที่เธอได้รับความนับถือบูชา ได้รับเกียรติยศและชื่อเสียงในฐานะของเซนต์
ไม่นานนัก โลกแห่งจินตนาการนี้ก็ได้กลายเป็นความจริงในความคิดของเธอ
ชั้นคือเอลริสตัวจริง แต่ทำไมเธอคนนั้นถึงถูกเคารพบูชาแทนชั้นล่ะ!?
เธอคนนั้นขโมยเกียรติยศของชั้น ชื่อเสียงของชั้น รูปลักษณ์ของชั้นไป! นังแมวขโมยชั้นต่ำ!
ชั้นคือตัวจริง เธอก็เป็นแค่ของเลียนแบบ
เอลิซาเบธเริ่มที่จะเชื่อเช่นนั้น
เป็นความคิดที่บ้าบอและไม่มีเหตุผลเลยสักนิด
เธอไม่สามารถแยกระหว่างความจริงแบะความเพ้อฝันของตัวเองออกจากกันได้ เธอเริ่มปฏิบัติเหมือนตัวเธอเองเป็นเซนต์ ในใจของเธอ เธอคือตัวจริง ส่วนเอลริสคือตัวปลอม
เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน(ในความคิดของตัวเอง)ให้แก่เพื่อนร่วมชั้น เธอประกาศว่าตัวเองนี่แหละจะกอบกู้โลกนี้
ไม่ต้องคิดเลย ใครๆก็มองสิ่งที่เธอทำว่าเป็นการลบหลู่ เป็นเพียงของลอกเลียนแบบที่น่าขบขัน
รอยยิ้มที่เธอคิดว่าเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนนั้นมีแต่ความหลงตัวเองอยู่เต็มที่ ท่าทีของเธอที่พยายามจะทำอบบเอลริสนั้นไม่ได้เข้ากับตัวเธอเลย
ไม่มีใครอยากจะเป็นเพื่อนกับเธอ…ตั้งแต่แรกแล้ว ที่นี่คือสถาบันสอนอัศวินเพื่อมารับใช้เซนต์ ใครจะอยากมายุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงบ้าที่ลบหลู่เซนต์และคิดว่าตัวเองเป็นตัวจริงล่ะ
ในเวลาไม่นาน เธอก็ถูกกีดกัน และกลายเป็นเพียงตัวเกะกะในสายตาของทุกคน
ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวเกี่ยวกับการกระทำของเธอก็ลอยไปถึงหูพ่อแม่ของเธอซึ่งอับอายในเรื่องนี้เป็นอย่างมากและยื่นเรื่องเพื่อให้เอลิซาเบธออกจากโรงเรียน
ทางสถาบันก็รับเรื่องนั้นไว้อย่างง่ายๆ เอลิซาเบธจะถูกไล่ออกจากโรงเรียนภายในเดือนนี้
เอลิซาเบธเองก็ได้รับจดหมายจากพ่อของเธอ เนื้อความนั้นแสดงออกถึงความโกรธและความอับอายในตัวเธอ นี่ยิ่งทำให้เอลิซาเบธเกรี้ยวกราดขึ้นไปอีก
ทำไมถึงไม่มีใครเข้าใจ?
ชั้นคือเอลริสนะ ทั้งๆที่ชั้นรักทุกคนและโลกใบนี้ขนาดนี้แท้ๆ
ยิ่งคิดอย่างนั้น เธอก็ยิ่งรังเกียจทุกสิ่งเข้าไปอีก
ถึงปากจะบอกว่าเธอรักทุกคน แต่ในใจของเธอนั้นเกลียดทุกคน
สุดท้ายแล้ว เธอก็แค่คิดไปเอง หลงอยู่ในจินตนาการของตัวเองว่าตนรักทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
เธอไม่ได้รักพวกมัน เธอไม่สนโลกนี้ด้วยซ้ำ
เธอแค่คิดว่านี่คือสิ่งที่เอลริสคิดและทำ
‘น่าอิจฉาเหลือเกิน ถ้าเพียงแค่ไม่มีเอลริสอยู่ ชั้นคงได้กลายเป็นเอลริสไปแล้ว’
‘ถ้าแค่ไม่มีเอลริส ชื่อเสียงและเกียรติยศพวกนั้นก็จะเป็นของชั้น’
เอลิซาเบธเกลียดชังเอลริส ผู้เป็นต้นตอของความหลงใหลของเธอ
ไม่ต้องบอกเลยว่า ต่อให้ไม่มีเอลริสอยู่ ชื่อเสียงและเกียรติยศก็จะไม่ตกเป็นของเอลิซาเบธอยู่ดี
พวกเธอสองคนเป็นคนละคนกัน เธอคือเอลิซาเบธ อิบลิส ไม่ใช่เอลริส
ความคิดของเธอนั้นบิดเบี้ยวจนมืดบอดจากความเป็นจริง
ตัวตนของเธอในสายตาผู้อื่นนั้นต่ำจนจะต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็ยังจะถูกไล่ออกจากสถาบันอยู่ดี
นี่ทำให้เธอเป็นที่จับตาของออคโต
ถ้าเป็นเธอล่ะก็ ต่อให้เปิดเผยออกไปว่าเป็นแม่มดก็คงไม่มีใครสงสัยว่าไม่จริงเป็นแน่
เธอนั้นอ่อนแอก็จริงอยู่ แต่ที่เธอต้องทำก็แค่แสดงเป็นแม่มด
ไม่มีใครรักเธอ เรียกได้ว่าเป็นที่รังเกียจของทุกคนก็ไม่เกินเลย
ยิ่งการที่เธอว่าร้ายเซนต์อยู่ทุกวันนี่สิยิ่งดี
ตั้งแต่ที่เธอเริ่มพูดลบหลู่เซนต์ ตัวตนในสังคมของเธอก็เรียกได้ว่า “หายๆไปซะได้ก็ดี”
ใครๆก็คิดว่า “นี่ถ้าเธอเป็นผู้ติดตามของแม่มดก็ดีสิ จะได้ส่งเธอไปลงนรกได้แบบไม่มีใครว่า”
ความคิดแบบนั้นมันเปลี่ยนจาก “ถ้าแค่เธอเป็นแม่มดหรือสมุน” กลายเป็น “อย่างเธอนี่จะเป็นแม่มดหรือสมุนก็ไม่แปลก”ได้ง่ายๆ
ยิ่งเป็นคนที่น่ารังเกียจเท่าไร ก็ยิ่งเป็นที่น่าเชื่อถือ
ต่อให้มีใครรู้ตัวว่าเธอก็แค่สติไม่สมประกอบ คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่คิดจะต่อต้านที่เธอจะกลายเป็นตัวตนที่พวกเขาคิดว่าเธอเป็นอยู่ดี
ไม่ว่าใครก็จะคิดว่า
“อา ว่าแล้วเชียว”
ออคโตพยายามที่จะชักจูงความคิดของทุกคนไปในทิศทางนั้น
มนุษย์นั้นประหลาด ต่อให้มีความแคลงใจอยู่ แต่ถ้าความเห็นส่วนมากคิดตรงกัน ก็จะทำให้เริ่มคิดว่า “อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้” ขึ้นมา
ตัวเอลริสเองอาจจะฉลาดกว่านั้น
เธออาจจะรู้ตัวว่าปลาซิวปลาสร้อยแบบนี้ไม่มีทางเป็นแม่มดได้
แต่ถ้าความคิดของเธอถูกกลบด้วยความคิดเห็นของสังคมล่ะ?
ถ้าทุกคนนอกจากเอลริสบอกว่า “เธอคือแม่มด” ต่อให้เป็นเอลริสก็ไม่อาจเมินเฉยได้
การใช้ความคิดเห็นส่วนมากเพื่อเปลี่ยนใจเอลริสนั้นถือว่าเป็นไปได้
คนโง่ร้อยคนสามารถเปลี่ยนความคิดนักปราชญ์ได้
ออคโตพยายามที่จะทำให้มันออกมาอลังการที่สุด ให้ดูเหมือนว่าแม่ทดปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าฝูงชนจริงๆ
ควบคุมให้เอลิซาเบธประกาศว่าตัวเองเป็นแม่มดต่อหน้าทุกคน แสดงให้เห็นเหมือนว่าเธอมีพลังความมืด จากนั้นก็เอาพวกตัวประกันที่จับมามาโชว์ให้เห็น
จากนั้นก็ฆ่าสักคนสองคนต่อหน้า
ทำให้ความโกรธและเกลียดที่มีต่อเธอถึงขีดสุด จากนั้นออคโตก็จะหนีไปก่อนที่เอลริสจะมาถึง
ทำให้ทุกคนลงความเห็นพ้องกันว่า “กำจัดแม่มดเอลิซาเบธ” บังคับให้เอลริสต้องลงมือ
ในขั้นแรกนี้ มันต้องขึ้นมายังดาดฟ้าก่อน และปลดปล่อยพลังเวทย์ออกมา
ต้องมีการอาละวาดของเวทมนตร์มากพอที่จะดึงความสนใจของนักเรียนจำนวนมากได้
เพื่อเริ่มแผนการขั้นแรก ออคโตยิงเวทมนตร์ใส่พวกนักเรียนที่ฝึกฝนกันอยู่ที่สนาม