อัลเฟรียรับหน้าที่จัดการไวเวิร์น
ถึงแม้ไวเวิร์นจะอยู่ในระดับชั้นที่ต่ำกว่ามังกร มันก็ยังถือเป็นปีศาจที่มีเกล็ดแข็งยิ่งกว่าเหล็กธรรมดา บินไปมาบนฟ้าได้ และมีลมหายใจเป็นเปลวเพลิง
ถึงกระนั้น กับปีศาจแค่นี้ อัลเฟรียไม่หวาดหวั่นอยู่แล้ว
มันอาจจะเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งพอสมควรก็จริง
แต่ตัวเธอเองต้องผจญกับศัตรูระดับนี้มาแล้วนักต่อนักก่อนที่เธอจะถูกผนึกไว้
ถึงแม้กิริยาของเธอจะไม่สุภาพ แต่ก็ยังเป็นความจริงที่ว่าตัวเธอคือเซนต์คนแรก
ยิ่งเป็นกว่านั้น ตัวตนของเซนต์ในยุคสมัยของเธอยังไม่เป็นที่ยอมรับ ทำให้ทรัพยากรและกำลังพลของเธอที่มีในการต่อสู้กับแม่มดนั้นน้อยกว่ารุ่นต่อๆมาอย่างเห็นได้ชัด
จริงอยู่ที่เธอถูกลอบโจมตีแล้วจับมาผนึกไว้ แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวแค่ไหนในการต่อสู้ตรงๆ
ความแตกต่างของอัลเฟรียและเซนต์คนอื่นๆก็คือการที่เธอไม่มีอัศวินจำนวนมากมาคอยปกป้อง
ไม่นับรวมเอลริสที่แกร่งกว่าอัศวินทั้งหมดรวมกัน แต่เซนต์โดนส่วนมากแล้วจะไม่ค่อยได้ออกแนวหน้าหลังจากผ่านการแต่งตั้งเป็นเซนต์แล้ว
หน้าที่ของพวกเธอคือการร่ายเวทมนตร์จากแนวหลังในขณะที่ทหารและอัศวินทั้งหลายรับหน้าที่เป็นโล่มนุษย์เพื่อซื้อเวลา
อัลเฟรียน่ะต่างออกไป เธอต้องออกรบแนวหน้าไปสู้กับปีศาจโดยตรงอยู่ตลอด
นั่นทำให้ทักษะและรูปแบบการต่อสู้ของเธอนั้น”ไม่สมกับเป็นเซนต์” ถึงแม้จะเป็นเซนต์คนแรกก็เถอะ
“เตรียมพร้อมให้ดีล่ะกิ้งก่าจัง เจ้ากำลังจะกลายมาเป็นสนิมติดดาบของท่านอัลเฟรียผู้นี้ เนื้อไวเวิร์นนี่จะอร่อยมั้ยน้า…? เอากลับไปให้เอลริสทำสเต๊กให้ดีกว่า”
เธอจ้องไปที่เหยื่อพร้อมกับเลียริมฝีปาก จากนั้นก็เปิดใช้งานเวทมนตร์
เวทมนตร์ที่เธอเชี่ยวชาญคือธาตุที่มีเพียงเซนต์และแม่มดที่สามารถใช้งานได้ “ความมืด”
การควบคุมความมืดนั้นก็คือการควบคุมมิติที่กระทั่งแสงก็ไม่อาจส่องผ่าน
ฉะนั้นเวทมนตร์ธาตุมืดนี่ควรจะถูกเรียกว่าธาตุมิติจะถูกกว่า เป็นเวทมนตร์ระดับสูงที่มีเพียงผู้ได้รับเลือกจากโลกเท่านั้นจึงจะใช้ได้
อัลเฟรียโยนดาบสั้นของเธอขึ้นไปบนอากาศ
ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาจับไว้ ดาบนั้นลอยค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนที่อัลเฟรียจะโยนดาบประเภทเดียวกับขึ้นไปอีกสองเล่ม
ทำแบบนี้ไปอีกสามครั้ง จากนั้นเธอก็หยิบโล่รูปกระดองเต่าออกมา
โล่นี้เป็นโล่ที่เอลริสทำให้เป็นพิเศษ แต่ก่อนที่เธอจะโดนผนึก โปรเฟตะนั่นล่ะที่โดนเอาใาใช้แทนโล่นี้
“จะไปล่ะนะ!”
ดาบทั้งสิบเล่มร่ายรำกลางอากาศและพุ่งเข้าใส่ไวเวิร์ตามคำสั่งของอัลเฟรีย ราวกับว่ามีกลุ่มอัศวินที่มองไม่เห็นคอยสู้กับเจ้าไวเวิร์นอยู่
ส่วนตัวอัลเฟรียจะหลบอยู่หลังโล่ นี่คือวิชาสิบดาบที่อัลเฟรียถนัดนัก
ดาบจะโจมตีศัตรูจากทั้งบนล่างซ้ายขวาหน้าหลัง หากปล่อยช่องว่างแม้แต่นิดเดียวก็จะโดนจู่โจมเข้าให้
นี่คือสไตล์การต่อสู้ที่อัลเฟรียสร้างขึ้นในการต่อสู้กับปีศาจจำนวนมากพร้อมๆกัน
เธอน่ะเป็นคนง่ายๆ อีกฝ่ายมากี่ตัวก็ใช้อาวุธจำนวนเท่ากันเข้าสู้
แต่ยิ่งเดินออกแนวหน้ามากเท่าไร ทั้งประสิทธิภาพและอัตราการอยู่รอดของเธอก็ยิ่งหดน้อยลง
จึงเป็นที่มาของการต่อสู้แบบเน้นวิ่งหลบในขณะที่ปล่อยให้อาวุธสู้ของมันเอง
รูปแบบการต่อสู้ในอุดมคติของอัลเฟรียก็คือการที่อีกฝ่ายทำอะไรกลับไม่ได้ ส่วนเธอก็จะขยี้พวกมันจนเละให้สาแก่ใจอยู่ฝ่ายเดียว…อะไรแบบนั้น
ถึงจะฟังดูแย่ แต่นี่เป็นสไตล์การต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพสูง
เพราะว่าไม่ได้มีคนถือดาบอยู่จริงๆ ทำให้ดาบที่เธอควบคุมสามารถเคลื่อนไหวในแบบที่มนุษย์ไม่สามารถแกว่งได้ และการที่อัลเฟรียให้ความสำคัญกับการหลบและป้องกันเป็นหลัก ทำให้เธอเป็นศัตรูที่ทนทายาดที่สุดในสนามรบ
และนี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น เธอปล่อยให้ดาบสิบเล่มคอยโจมตีไวเวิร์นไปเรื่อยๆในขณะที่ตัวเธอเองก็ใช้โล่คอยกันลมหายใจเพลิงของมันไว้
เธอไม่มีทางจะแพ้ได้เลย
เจ้าไวเวิร์นจะถูกปราบเมื่อไรก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
.
เอเทอร์น่ากำลังงงงวย
ตอนแรกที่ได้ยินแผนว่าจะให้เธอสู้กับปีศาจตัวคนเดียว ก็นึกว่าล้อกันเล่นเสียอีก
ถ้าเป้นอัลเฟรียก็เข้าใจได้ แต่ตัวเอเทอร์น่าเองเป็นเพียงแค่เด็กที่มีพลังใกล้เคียงกับเซนต์ ไม่ใช่เซนต์ตัวจริงด้วยซ้ำ
แผนก็คือการให้อัลเฟรียและเอเทอร์น่าจัดการปีศาจสองตัวให้เร็วที่สุด จากนั้นค่อยตามมาสมทบพวกจอห์นแล้วจัดการอีกสองตัวที่เหลือ
แต่นี่ต้องเป็นการเลือกที่ผิดพลาดแน่ๆ
เธอคิดว่ายังไงก็ทำไม่ได้ ถึงกับคิดว่าเอลริสพยายามจะฆ่าเธอด้วยซ้ำ
แต่ทันทีที่เริ่มสู้ ความคิดของเธอก็เปลี่ยนไป
—เธอไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้เลย
“มออออออ!”
มิโนทอร์คำรามเสียงดังพร้อมแกว่งขวานไปมา แต่การโจมตีเหล่านั้นเข้าไม่ถึงเอเทอร์น่าเลยแม้แต่น้อย
ตั้งแต่ที่พลังของเอเทอร์น่าถูกปลุกขึ้นมา เพียงแค่ตั้งสมาธิเล็กน้อย การโจมตีใดๆของปีศาจก็เข้าไม่ถึงเธอ
เอเทอร์น่าไม่รู้ถึงการควบคุมมิติจากเวทย์ความมืด แต่มิโนทอร์ก็ไม่สามารถโจมตีเธอได้เลย
นี่คือความลับของการป้องกันไร้เทียมทานที่แม่มดและเซนต์มี เพราะว่ามิติรอบตัวพวกเธอโดนบิดเบี้ยว ทำให้การโจมตีเข้าไม่ถึงตัว
การจะทะลวงผ่านสิ่งนั้นได้ ผู้โจมตีก็จำเป็นต้องมีความสามารถในการควบคุมมิติเช่นกัน
พวกปีศาจเองก็มีพลังเช่นนั้น ถึงแม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม ทำให้พวกมันสามารถทำร้ายเซนต์ได้
แต่ก็เหมือนกับที่คนธรรมดาไม่สามารถทำอะไรปีศาจได้ พลังการควบคุมมิติที่ปีศาจมีนั้นก็ช่างอ่อนแอ
ถ้าเซนต์ตั้งใจที่จะกันจริงๆ การโจมตีใดของปีศาจก็จะเข้าไม่ถึงตัว
‘ไม่อยากจะเชื่อเลย….ชั้นสามารถต่อกรกับสิ่งนี้ได้ ไม่สิ…ชนะได้’
การโจมตีของมิโนทอร์ไม่อาจทำร้ายเอเทอร์น่าได้ ในขณะที่ทุกการโจมตีของเอเทอร์น่าสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับมัน
อย่างที่บอกไปว่าปีศาจสามารถควบคุมมิติได้เล็กน้อย
เพราะเช่นนั้น การโจมตีของอัศวินทั้งหลายจึงสร้างความเสียหายน้อยกว่าที่ควรจะเป้นต่อพวกมัน
การโจมตีที่มีพลังมิติผสมอยู่จึงสามารถทะลวงการป้องกันนั้นและสร้างความเสียหายเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้
เมื่อเกราะมิติที่ล้อมพวกมันหายไป เนื้อในของปีศาจพวกนั้นก็ไม่ต่างจากสัตว์ธรรมดา
“ลูเช่!”
เอเทอร์น่าร่ายมนต์ออกมา ทำให้แสงมารวมที่ปลายนิ้วของเธอ
ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ลำแสงทะลุผ่านอกของเจ้ามิโนทอร์ ส่งมันลงไปนอนจมกองเลือด
.
“ฟุฮะฮะฮ่า! เอาเลย จงร่ายรำให้ข้าชม!”
เทียบกันแล้ว เวอร์เนล ซัปเปิ้ล และแมรี่ที่รับหน้าที่ถ่วงเวลาแม่มดนั้นต้องเจอกับการต่อสู้ที่โหดหินกว่ามาก
เมื่อแม่มดโบกคฑา กระสุนสีดำก็ถูกยิงออกมา
พวกเขาสามารถหลบได้ทันก็จริง แต่เมื่อเห็นกระสุนนั้นตกกระทบกับพื้นและสร้างหลุมใหญ่ขึ้นมา จึงอดไม่ได้เลยที่จะทำให้เหงื่อตก
“เรสตริโจนเน่!”
ซัปเปิ้ลร่ายมนต์เสกโซ่ขึ้นมาจากผืนดินเพื่อพันธนาการแม่มดไว้
เขาใช้พื้นของที่นี่เป็นวัตถุดิบ และใช้เวทย์ดินเปลี่ยนมันกลายเป็นโซ่และใช้เป็นอาวุธ
ไม่ว่าอย่างไร การโจมตีของพวกเขาก็ทำอันตรายต่อแม่มดไม่ได้
มากที่สุดที่ทำได้ก็คือการผนึกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเพื่อยื้อเวลา
“ลูกไม้ตื้นๆ!”
ทันทีที่พูดแบบนั้น หมอกสีดำรอบตัวเธอก็ทำลายโซ่นั้นออก
เธอขยายมิติรอบโซ่นั้นเพื่อง้างมันจนแตก
“…ฟรีส!”
แมรี่ใช้พลังเวทย์จำนวนมากเพื่อใช้เวทย์น้ำแข็งออกมา
เวทย์นี้แช่แข็งพื้นรอบๆทั้งหมด ทำให้เท้าของแม่มดถูกยึดติดอยู่กับพื้น
เหตุผลที่เธอถูกเลือกมาอยู่ทางกลุ่มนี้ก็เพราะความเชี่ยวชาญในด้านการจำกัดการเคลื่อนไหวศัตรูของเธอ
“อ่อนหัดน่า!”
แต่แม่มดก็เพียงต้องทำอย่างเดิมเพื่อจะหลุดออกมาได้
เธอโบกคฑาเพื่อเตรียมตัวโจมตีครั้งต่อไป
“ตรงนั้น!”
มิติรอบๆเวอร์เนลสั่นไหว
สร้อยที่เขาสวมอยู่แตกออก ส่งผลให้จี้ห้อยคอที่ได้รับมาจากเอลริสร่วงลงกับพื้น
ถือว่ายังดีที่จุดมุ่งหมายของการโจมตีนี้ไม่ใช่เพื่อเอาถึงตาย
ยังไงซะแม่มดก็จะยังต้องการพวกเวอร์เนลไว้เป็นตัวประกัน
ถ้าปล่อยให้ตายไปก็ไร้ความหมาย การจะจับพวกมันทั้งเป็นจึงเป็นเรื่องสำคัญ
และด้วยความรู้สึกว่าตัวเองนั้นเหนือกว่า การโจมตีนั้นจึงถูกจำกัดพลังไว้เพื่อไม่ให้พลั้งมือฆ่าพวกเขาตาย
ถ้าไม่เช่นนั้นล่ะก็ พวกเวอร์เนลคงจะต้านแม่มดได้ไม่นานถึงขนาดนี้หรอก
อีกอย่างหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีต่อต้านได้เลย
“ฮ้าาาาาา!”
เวอร์เนลคำราม ไอสีดำทมิฬปกคลุมทั่วร่าง
นี่คือ”ความมืด”เช่นเดียวกับแม่มด
เพื่อสลายเวทมนตร์ที่แม่มดร่ายออกมา เวอร์เนลง้างเกรทซอร์ดขึ้นและฟันลงไปยังแม่มด
ถึงแม้มันจะส่งเธอกระเด็นไป แต่ก็ไม่ได้สร้างบาดแผลให้กับเธอ
ถึงจะเป็นความมืดแบบเดียวกัน ความเข้มข้นน่ะมันต่างกัน
ความเสียหายที่แม่มดได้รับจากการโจมตีเมื่อครู่มีไม่ถึงหนึ่งในสิบจากที่ควรจะเป็น
ถึงอย่างนั้น แม่มดก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างชัดเจน เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เธอมองไปยังมือของตนเอง…และพบว่ามีเลือดอยู่
สำหรับตัวเธอที่ไร้เทียมทานแล้ว การจะสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดเช่นนี้ ไม่สามารถที่จะมองข้ามไปได้…และเธอก็นึกได้ถึงเหตุผลหนึ่งขึ้นมา
“เจ้า…เข้าใจล่ะ! เจ้านี่เองสินะที่ครอบครองพลังส่วนหนึ่งของข้าอยู่…เป็นเจ้า!”
แม่มด…อเล็กเซียในช่วงเวลาที่ยังหลงเหลือตัวตนอยู่ ก่อนที่เธอจะตกลงสู่ความมืด ได้ตัดวิญญาณของตนออกมาส่วนหนึ่งเพื่อต่อต้านกระบวนการเปลี่ยนเป็นแม่มด
เมื่อเธอกลายมาเป็นแม่มดอย่างเต็มตัว สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกเกี่ยวกับการกระทำนี้ก็คือความเสียดาย แต่เธอก็รู้ดีว่าที่ใดสักแห่งในโลกนี้มีใครสักคนที่ครอบครองวิยญาณและพลังส่วนหนึ่งของเธออยู่
เธอพบเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อสามปีก่อน
ถึงแม้จะโดนตัดไปแล้ว แต่มันก็ยังเป็นวิญญาณของเธอ ทำให้อเล็กเซียยังสามารถสัมผัสถึงมันได้และรู้ที่อยู่คร่าวๆของมัน
ในตอนนั้นเธอส่งออคโตออกไปเก็บมันกลับมา แต่ก็ถูกขัดขวางโดยเอลริส…ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังส่วนนี้อีกเลย
เหยื่อที่หลุดหนีไปตอนนั้น ไม่นึกเลยว่าจะได้มาเจอที่นี่!
รอยยิ้มของแม่มดเริ่มบิดเบี้ยว เธอมองเวอร์เนลราวกับได้เจอกับสมบัติที่ทำหายไป
“โออ โชคดีจริงๆ…ไม่นึกเลยว่าในหมู่คนที่ข้าสั่งให้พาตัวมา จะมีเจ้าหนูที่ครอบครองเศษเสี้ยวพลังของข้ารวมอยู่ด้วย…”
“นี่คือ-พลังของแก…?”
“ก็ใช่น่ะสิ ในตอนนั้นข้าน่ะยังโง่เขลา เลือกที่จะตัดพลังของตนออกไป ข้ารู้ว่ามันไปสถิตอยู่กับชีวิตที่ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นมา แต่ก็ไม่นึกเลยว่ามันจะกลับมาหาข้าถึงที่แบบนี้”
ตรงข้ามกับความสุขของแม่มด เวอร์เนลในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยความโกรธ
อย่างนี้นี่เอง เป็นความผิดของเจ้านี่
ที่เขาถูกครอบครัวทอดทิ้งและปฏิบัติเหมือนเป็นสัตว์ประหลาด…
…ไม่ นั่นไม่สำคัญอะไรอีกแล้ว
มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ที่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยกโทษให้ไม่ได้เป็นอันขาด
“อายุขัยของชั้นเหลืออีกไม่มากแล้ว อย่างมากก็ครึ่งปี…ชั้นคงจะอยู่ไม่ถึงวันเกิดครั้งต่อไปแล้วล่ะ”
เพราะว่าเขามีพลังนี้อยู่ เธอถึงได้มาช่วยเขาไว้ในวันนั้น
เพราะว่าเธอดึงพลังนั้นออกไป ทำให้อายุขัยของเธอถูกกัดกินหายไป
ในอีกไม่เกินครึ่งปี โลกนี้จะสูญเสียเอลริสไป
คนที่จะสามารถทำเช่นเดียวกับเธอได้ คงจะไม่โผล่มาอีกแล้วในอนาคต
จะไม่มีใครอื่นที่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากเท่ากับเธออีกแล้ว
ในอีกเพียงครึ่งปี เธอก็จะจากโลกนี้ไป
เธอจะไม่เคลื่อนไหวอีกแล้ว…เธอจะไม่ยิ้มแย้มอีกแล้ว
ทุกๆอย่าง…ทั้งหมดนี้…
“ทั้งหมด…ทั้งหมดนี้—เป็นความผิดของแกกกกกกก!!!”
เวอร์เนลคำรามเสียงดัง ไอความมืดรอบตัวยิ่งเข้มข้นมากขึ้น
พลังที่หลั่งไหลออกมาผสมเข้ากับความรู้สึกที่ปะทุ ทำให้แม่มดเห็นภาพของยักษ์ที่กระทั่งเธอก็อดไม่ได้ที่จะหวาดผวา
เขาลืมเลือนหน้าที่ของตนไป ถือเกรทซอร์ดกระโจนเข้าใส่แม่มด
ไม่สนว่าเธอจะกันได้รึเปล่า
สายตาของเขาถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยความโกรธ เขาไม่สนด้วยซ้ำว่าการโจมตีนั้นจะเข้าไม่ถึงอีกฝ่าย
ครั้งแล้วครั้งเล่า ดาบของเขากระทบข้าใส่การป้องกันของแม่มดจนเกิดประกายไฟขึ้นมา เป็นการโจมตีที่บ้าคลั่งและดุร้าย
“อึก…อะ อะไรน่ะ!? อยู่ๆก็…!”
ถึงแม้แม่มดจะตื่นตระหนกกับแรงกดดันที่เขา่แผ่ออกมา เธอก็ยังโจมตีสวนกลับไปได้
แต่เวอร์เนลก็ยังไม่หยุด
ถึงแม้เวทมนตร์จะพุ่งเข้าใส่ท้องของเขาเต็มๆ เขาก็ไม่แม้แต่จะชะงัก
เสียงแกร๊งดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แม่มดใช้มือกุมหัวของเธอไว้ด้วยความหวาดกลัว
“ถ้าแค่! ถ้าแค่ไม่มีแกอยู่ล่ะก็!!!!!”
น้ำตาไหลรินจากใบหน้าของเวอร์เนล เขาโยนดาบของตนทิ้งไปและขึ้นคร่อมแม่มด
เขากำหมัดแน่นและชกเข้าใส่ใบหน้าของเธอด้วยทุกอย่างที่มี
สองครั้ง สามครั้ง สี่ครั้ง…ถึงแม้จะส่งเสียงเหมือนกับถูกค้อนทุบในทุกๆหมัด แต่จริงๆแล้วความเสียหายไม่ได้มากมายอะไรขนาดนั้น
แม่มดที่เริ่มตั้งสติได้ใช้เวทมนตร์เป่าเวอร์เนลออกไป
“อย่ามาทำได้ใจไปนะ! ไอ้เด็กเวร!”
แม่มดโบกคฑาและยิงลูกไฟออกไปห้าลูกพร้อมๆกัน
แมรี่ใช้ม่านน้ำเพื่อบังทัศนวิสัยของเธอไว้
แต่ถึงจะมองไม่เห็น เธอก็ยังไม่หยุดโจมตี
ซัปเปิ้ลและแมรี่ยิงกระสุนหินและน้ำแข็งผ่านม่านน้ำสวนกลับไป
เวอร์เนลใช้โอกาสนี้หยิบดาบขึ้นมาเพื่อโจมตีอีกครั้ง
“อย่ามาดูถูกข้านะเจ้าพวกเด็กบ้า… ข้าคือแม่มดนะโว้ย!”
แม่มดพูดด้วยความหงุดหงิด มิติรอบตัวเธอค่อยๆบิดเบี้ยว
ในครั้งนี้พลังเวทย์ที่ใส่เข้าไปในการโจมตีมันผิดกัน
จริงอยู่ที่จุดเด่นของแม่มดคือความคงกระพัน แต่ก็จะดูถูกพลังเวทย์มหาศาลของเธอไม่ได้เลย
เพราะว่าพลังของเวทมนตร์นั้นขึ้นอยู่กับพลังเวทย์ที่ใส่ไป ยิ่งยัดพลังเวทย์เข้าไปในการโจมตีเยอะเท่าไรก็จะยิ่งรุนแรง
ด้วยพลังเวทย์จำนวนมากที่เธอถือครองอยู่ การโจมตีของเธอจึงไม่อาจกันได้
เพียงแค่ครั้งเดียว ซัปเปิ้ล เวอร์เนล และแมรี่ก็ถูกอัดกระเด็นติดผนัง
“หึ…พวกเจ้ามีความสามารถก็จริง แต่สุดท้าย…”
“ไอ้ย๊ะ เจอยัยโง่ที่เผลอลดการป้องกันหนึ่งหน่อ!”
ในตอนที่แม่มดเริ่มใจเย็นลง เธอก็โดนอัลเฟรียดร็อปคิกเข้าให้ที่สีข้าง
ความคงกระพันของแม่มดไม่มีผลเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเซนต์คนแรกอย่างอัลเฟรีย
ลูกเตะของอัลเฟรียส่งแม่มดกระเด็นไป เธอหันมาหาพวกพ้องของเธอพร้อมชูนิ้วเป้นตัว V
“เย้!”
และอัลเฟรียที่เผลอลดการป้องกันก็โดนแม่มดโจมตีจนกระเด็นไป
อุ๊ยตาย ยัยโง่ที่ไหนกันนะ
อเล็กเซียน้ำตาคลอจากความเจ็บปวดที่สีข้างค่อยๆลุกขึ้นมา
“นี่เจ้า…ทะลวงการป้องกันของข้าได้ยังไงกัน…?”
แม่มดเริ่มระแวงอัลเฟรียขึ้นมา ในมือกำคฑาแน่น
อีกฝ่ายคือตัวตนที่โจมตีผ่านการป้องกันสมบูรณ์แบบของเธอมาได้ นั่นทำให้เธอหวาดกลัวเล็กน้อย
รอบนี้ เป็นเวทมนตร์ของเอเทอร์น่าที่พุ่งมาทางนี้
เธอคิดจะใช้มือเดียวกันเอาไว้ แต่เธอสังหรณ์ไม่ดี จึงเลือกที่จะหลบแทน
การโจมตีที่โดนหลบแบบฉิวเฉียดนั้นสร้างรอยแผลบนมือของอเล็กเซีย ใบหน้าของแม่มดเต็มไปด้วยความหวาดกลัวถึงที่สุด
“เป็น เป็นไปไม่ได้… เธอคนนั้นก็ทะลวงการป้องกันของข้าได้เช่นกันหรือ…!? นี่มันบ้าอะไรกัน…!”
ไม่เคยมีใครอื่นนอกจากเซนต์ที่สามารถทะลวงการป้องกันของแม่มดได้มาก่อน สองคนรวดนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เมื่อเห็นพวกเอเทอร์น่าตามมาสมทบ ก็ทำให้แม่มดรู้สึกตัวว่าในตอนนี้เหลือเธออยู่เพียงคนเดียว
แต่เจ้าพวกนั้นก็ไม่ปล่อยเวลาเหลือให้เธอได้คิด
อัลเฟรียโบกคฑาที่ได้รับมาจากเอลริสและยิงเวทมนตร์ออกไปเต็มกำลัง
มิติรอบตัวเธอบิดเบี้ยว ปรากฏหลุมดำที่ดูดกลืนทุกสิ่งออกมา
“อะไร…นี่มันเป็นไปไม่ได้! ได้ยังไงกัน ทั้งที่เอลริสก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แท้ๆ ทำไมถึงมีเซนต์อยู่ได้ล่ะ!?”
เบื้องหน้าแม่มดที่ตัวสิ่นด้วยความกลัว เอเทอร์น่าก็ร่ายเวทมนตร์ตาม
มิติรอบตัวเธอเองก็เริ่มบิดเบี้ยว แสงค่อยๆมารวมตัวที่ปลายคฑาของเธอ
“คะ คนนั้นก็ด้วยรึ?! โกหก โกหกน่า…นี่มันไม่จริง…ทำไม…ทำไมถึงมีเซนต์อยู่สองคน!?”
เซนต์มีอยู่เพียงคนเดียวในแต่ละยุคสมัย เป็นเช่นนี้มาตลอด
แต่กลับมีข้อยกเว้นอยู่ต่อหน้าต่อตาเธอ
ยิ่งไปกว่านั้น เอลริสยังไม่ได้มาที่นี่เสียด้วยซ้ำ ก็แสดงว่ามีเซนต์อยู่ถึงสามคนน่ะสิ?
“เอาล่ะเอเทอร์น่าจัง กะให้ตรงจังหวะของเรานะ!”
“ค่ะ ท่านอัลเฟรีย!”
พลังเวทย์ของอัลเฟรียและเอเทอร์น่าเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองคนยิงการโจมตีเข้าใส่แม่มด
“ซุปเปอร์ท่าไม้ตาย! บอลโคตรอภิมหาเทพแข็งแกร่งทนทานงดงามที่สุดในสามโลก!”
“อะ เอ่ออ….แบบว่า บอลที่สุดยอดมากๆค่ะ!”
ชื่อท่าไม้ตายของเธอแสดงให้เห็นอย่างดีว่าเซนส์การตั้งชื่อของอัลเฟรียนั้นห่วยแค่ไหน ส่วนเอเทอร์น่าที่ไม่มีเวลาคิดชื่อท่าก็จำเป็นต้องให้ชื่อสั่วๆแบบนั้นไป
ถึงแม้จะชื่อเอาฮาแบบนี้ แต่พลังนั้นเป็นของจริง
แม่มดที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะทำความเข้าใจสถานการณ์ ก็ได้แต่รีดพลังเวทย์ทั้งหมดมาใช้ป้องกันการโจมตีนั้น…
—เกิดระเบิดขนาดขึ้นที่ชั้นใต้ดินส่งเสียงดังขนาดทำให้หูดับได้ออกมา