เพราะไออุ่นจากกองทัพจอมมาร ทำให้ผมทรยศมนุษยชาติ – บทที่ 1 ผู้กล้าไร้ค่า (3)

เพราะไออุ่นจากกองทัพจอมมาร ทำให้ผมทรยศมนุษยชาติ

พรแห่ง ‘อมตะ’ ที่ผมได้รับ มันไม่ใช่ความอมตะทางร่างกายอย่างเดียว แต่รวมถึงทางจิตวิญญาณ ต่อให้ร่างไม่เหลือกระทั่งเศษเสี้ยว ผมก็สามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีกครั้งเสมอ จากความว่างเปล่านี่แหละ แต่ว่าพอไม่มีกายเนื้อ ทิศทางที่ตัวผมจะคืนชีพมาใหม่ ในระยะใกล้กับจุดที่ตายราว 10 กิโลเมตร ผมสามารถกำหนดมันได้ด้วยตัวเอง ด้วยความสะดวกสบายนี้ ทำให้ผมมีทริคพิเศษ ทำเสมือนว่าตัวเองวาร์ปได้—โดยแลกกับการระเบิดตัวเองไม่ให้เหลือเศษเสี้ยว

แม้พลังการต่อสู้จะต่ำสุดเรี่ยดินในหมู่ผู้กล้า แต่ในทหารทั่วไป ผมอยู่ชั้นเลิศ และในฐานะจอมเวทย์ก็อยู่ระดับที่ใช้ได้ ด้วยเหตุนั้นเอง ผมจึงมีทักษะระเบิดตัวเองด้วยการลงดาบอย่างแม่นยำ และการระเบิดจากเวทมนต์ที่ใช้ ทำให้ผมเคลื่อนที่สิบกิโลเมตรได้ติดต่อกัน

เหตุผลที่ผมมักจะมีหน้าที่เป็นตัวถ่วงเวลา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความสามารถนี้ที่ทำให้สนับสนุนหลายๆเหตุการณ์ได้พร้อมกัน ถึงลำพังความสามารถของผมมันจะเปลี่ยนสถานการณ์อะไรไม่ได้เลยก็ตามที

แต่ว่าความสามารถนี้ก็มีข้อเสียอยู่ เมื่อมานาของผมหมด ความอมตะจะหยุดทำงานไปชั่วขณะจนกว่ามานาจะฟื้นกลับมา หรือก็คือ ถ้าผมตายตอนมานาหมด ผมต้องรอเวลารื้อฟื้นของมานาเสียก่อน ถึงจะเกิดใหม่ได้ หากนับจำนวนมานาในร่างกาย หักกับการวาร์ประเบิดตัวตายของตัวเอง ผมจะใช้ได้แค่ 6 ครั้ง แต่ก็มากพอที่จะไปถึงที่หมายได้โดยเร็วกว่าพวกเวอร์โก้แล้ว

กว่าพวกเวอร์โก้จะมาถึง พวกเขาจะใช้เวลาถึงสองวัน แต่ผมใช้เวลาแค่วันเดียว ทั้งยังออกมาคนแรก ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงมาถึงที่หมายเร็วกว่าตามที่วางแผนเอาไว้

ผมรีบเร่งเดินเข้ามาข้างในแคมป์ที่เต็มไปด้วยทหารยอดฝีมือ และตรงไปหาผู้บัญชาการจุดๆนั้น ยื่นใบภารกิจไปให้ และออกปฏิบัติการณ์โดยทันที

โชคดีที่ผู้บัญชาการณ์คือหนึ่งในครูฝึกสมัยเป็นผู้กล้าฝึดหัด ทำให้พูดคุยได้ง่าย และอีกอย่างเขาก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คน ที่ไม่แสดงสีหน้ารังเกียจใส่ผม ผมนึกขอบคุณเขาในใจ และรีบเร่งเดินไปต่อ

เมืองเคลื่อนที่ของดราแคล์ อยู่บริเวณใต้สุดของเหวที่กั้นเขตุระหว่างแดนมนุษย์ และแดนปีศาจเอาไว้ ผมเดินรีบเร่งฝีเท้า ผสมกับใช้การระเบิดตัวเองเร่งไปให้ถึงที่หมาย โดยประหยัดมานาในร่างกายไว้ให้เหลือครึ่งหนึ่ง เผื่อกรณีหลบหนีเมื่อผิดพลาด

ผมใช้เวลาไม่นานก็มาถึงเมืองเคลื่อนที่ของดราแคล์ …เมืองขนาดยักษ์ที่ไม่ต่างอะไรกับอาณาจักรขนาดย่อม นั่นคือที่อยู่ของดราแคล์

เป็นเมืองลอยฟ้าที่ล้อมรอบด้วยกำแพงป้องปราการ ดูเหมือนกันฐานสำหรับใช้รบมากกว่าเมืองหากมองแค่จากที่ต่ำ แต่ถ้ามองจากที่สูง มันเป็นเมืองที่ดูสวยงาม เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรม และพื้นที่ส่วนกลางที่ดูสวยงาม มีเผ่าปีศาจเดินไปมา และใช้ชีวิตกันไม่แตกต่างกับมนุษย์เลยสักนิด ดูไม่มีเค้าเมืองของขุนพบจอมมารที่จะต้องรับมือกับสงครามตลอดเวลาเลย อดให้ตั้งคำถามไม่ได้ว่ามันใช่เมืองของขุนพลจอมมารจริงๆเหรอ?

ที่สำคัญมันปรากฏร่าง เสมือนว่าไม่คิดจะปกปิดอะไรทั้งนั้น ยากจะเชื่อว่าไม่มีใครพบเห็นมันมาได้ถึงสิบปี ผมกระโดดดิ่งลงไป ไม่มีทางถึงอยู่แล้ว ผมจึงระเบิดตัวเองอีกครั้ง และปรากฏตัวมาใหม่ที่ข้างในตัวเมืองพร้อมกับผ้าคลุมสีน้ำตาลที่ผมเรียกออกมาจากกระเป๋าเวทมนตร์วิเศษของผู้กล้า ผมเดินผ่านเหล่าปีศาจที่ดำเนินชีวิตปกติ และมุ่งตรงไปที่ประสาทซึ่งตั้งตระหง่านอยู่จุดศูนย์กลาง

…เป้าหมายของผมไม่ใช่การเอาชนะดราแคล์ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ผมจะชนะ สิ่งที่ผมจะทำก็มีแค่ ทำให้ดราแคล์รู้ถึงการมาของผู้กล้า และหลีกเลี่ยงการปะทะ หรืออย่างน้อยๆ ถ้าผมพลาด ทางกองทัพก็จะสูญเสียข้อได้เปรียบที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว และเปลี่ยนแผนไม่ให้ผู้กล้าคนอื่นบุกโจมตี เพราะความเสี่ยงสูงเกินไป

“..”

หลังเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมคงจะถูกรังเกียจมากกว่าเดินหลายเท่าตัว ถึงกระนั้นผมก็ไม่มีทางเลือก

“จะให้ทุกคนตายไม่ได้เด็ดขาด”

ความตายเวียนว่ายไปมาบนหัวสมองเล็กๆของผม ผมแค่คิดแต่จะหยุดยั้งความตายก็เท่านั้น

****

ประสาทลักลอบเข้ามาได้ง่ายเกินคาด บ่อยครั้งก็จริงที่มีภารกิจให้ผมลักลอบเก็บข้อมูล ทำให้มีทักษะด้านนี้เป็นพิเศษ แต่ประสาทขุนพลจอมมารแห่งนี้เงียบเกินไป ผิดสังเกตุได้อย่างชัดเจน แต่ว่า ผมไม่สามารถหยุดเดินไปต่อได้ ผมจำใจเดินไปต่อทั้งอย่างนั้น โดยคิดว่าต่อให้ล้มเหลว ผมก็จะวาร์ปหนีออกมาได้ทัน และมันก็จะเป็นไปตามแผนการณ์ของผม

สุดท้าย ผมก็มาถึงห้องโถงขนาดใหญ่ ที่มีพรมสีแดงราดยาวไปตรงบังลังค์ที่มีคนๆหนึ่งนั่งเท้าคางอยู่

สตรีผู้มีเลืองผมสีม่วงมัดเป็นหางม้า ผิวสีซีด แต่ดูไม่เหมือนคนขาดสารอาหารแต่อย่างไร ตัวสูงเมื่อเทียบกับสตรีด้วยกัน แต่ตัวไม่ได้หนา ดูเบาะบางยากจะเชื่อว่าเป็นขุนพลจอมมาร ..ถึงอย่างนั้นผมก็ตัดสินใจชี้ดาบใส่หญิงสาวรูปงาม ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นดราแคล์

“ฉัน ผู้กล้าลำดับที่ 12 ‘ลีโอนาร์ ยูซาริเซี่ยน’ มาที่นี่เพื่อจบชีวิตของแกลง และทวงคืนความสงบสุขให้แก่ผู้คน!!” 

ผมกู่ร้องออกมาสุดเสียง พร้อมกับชักดาบแห่งผู้กล้า และตั้งท่าเตรียมเข้าปะทะ ทว่า หญิงสาวกลับนั่งเท้าคางอยู่เฉยๆ พลางหรี่ตามองผมอย่างเฉยเมย

“…ดราแคล์? นั่นคือชื่อเรียกที่มนุษย์ยุคนี้ เรียกดิฉันสินะคะ”

“หา?”

“จริงๆแล้วชื่อของฉันไม่ใช่ดราแคล์ แต่เป็น ‘ลิลิธ’ ต่างหาก ขออภัยหากล่วงเกิน แต่ดิฉันไม่ค่อยถูกใจชื่อนั้นเสียเท่าไหร่น่ะค่ะ พอดีฉันไม่ค่อยชอบเผ่าพันธ์แวมไพร์เสียเท่าไหร่”

ทั้งๆที่เป็นเผ่าของตัวเองน่ะเหรอ? ผมได้แต่นึกสงสัย แต่เธอตรงหน้าก็ไม่คิดจะตอบข้อสงสัยในจิตใจ และลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ไร้ซึ่งความกระตืนรือร้นใดๆต่อผู้กล้าเบื้องหน้า เธอเดินลงจากบรรไดไปสู่บังลังค์ และอยู่บนพรมสีแดงในพื้นที่ระนาบเดียวกันกับผม เธอยืนเท้าสะเอว มองผมด้วยดวงตาสีม่วงคู่นั้นโดยไม่รีบร้อน

“..เป็นผู้กล้าที่อ่อนแอที่สุดเท่าที่เคยเห็นเลยนะคะเนี่ย”

“…”

สมกับเป็นระดับขุนพลจอมมาร มองความสามารถของผมออกได้ในพริบตาเดียว กลับกัน ผมมองไม่ออกเลยว่าตัวเธอมีอะไร ไม่ได้รู้สึกว่าอ่อนแอ ขณะเดียวกันก็สัมผัสไม่ได้เลยว่าแข็งแกร่ง เป็นสัมผัสแบบเดียวกับที่เคยเผชิญหน้ากับอันดาย ความไม่สมเหตุสมผลนี้มีกลิ่นความตายอยู่ .. ว่าแล้วเชียว ผมตัดสินใจถูกแล้วที่ห้ามไม่ให้ทั้งสองคนนั้นสู้กับสิ่งมีชีวิตตรงหน้านี้

“ว่าแต่ว่า เมืองและประสาทของดิฉัน เป็นอย่างไรบ้างคะ? หวังว่าคุณผู้กล้าจะถูกใจนะ”

“ตั้งใจปล่อยให้ผมผ่านมาถึงที่นี่นั้นเหรอ”

“ค่ะ ถ้าเกิดไม่ปล่อยให้เขามาข้างใน มันจะลำบากเอาในหลายๆความหมาย พอดีฉันมีงานอดิเรกคือเก็บสะสมดาบของผู้กล้า ..จะปล่อยให้เล็ดลอดหนีไปไม่ได้”

กล่าวจบ ดราแคล์ก็เรียกเอาเคียวปริศนาที่มีรูปทรงน่าขยะแขยงออกมา ก่อนที่เธอจะได้เหวี่ยงสะบัดมันไปมา ผมก็ออกวิ่ง—ทุ่มความสามารถทั้งหมดไปที่การโจมตีในดาบๆเดียว แต่ว่านั่นถูกดราแคล์มองออกได้ในอึดใจเดียว เธอก้าวขาเป็นจังหวะเสมือนงานเต้นรำ และหมุนตัว โดยไม่รู้สึกตัว และตามไม่ทัน ร่างของผมก็โดนแยกออกเป็นสี่ส่วน ร่างกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง แต่สิ่งที่เหมือนกันคือไม่มีเศษเลือดเปื้อนพรมเลยแม้แต่หยุดเดียว

ทักษะที่ยอดเยี่ยม และความจงใจให้ผลลัพธ์เป็นอย่างนั้น คือการดูถูกกันขั้นสูงสุด ผมตายโดยที่ไม่แม้แต่จะได้กวัดแกว่งดาบสักครั้ง

แต่ว่าก็ทำสำเร็จแล้ว ..เพียงเท่านี้ก็หลีกเลี่ยงความตายได้ ผมระเบิดร่างของตัวเองทิ้ง เหลือแค่รอเวลาเพื่อวาร์ปนี้ไปที่อื่น 

…………………………

………………….

………

เอ๊ะ? ทำไมถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่นานร่างของผมก็หลอมรวมกลับมาเข้าที่ แต่ผมไม่สามารถออกจากห้องโถงแห่งนี้ได้เหมือนกับที่ควรจะเป็น ผมหน้าซีด ดวงตาสั่นสะเทือนไปมา ได้แต่มองดราแคล์ด้วยแววตาของสัตว์ผู้ถูกล่า

“ฮึฮึ คิดถูกแล้วที่กางม่านเขตุแดนเอาไว้ไม่ให้หนีไปได้ เป็นความสามารถพิเศษที่น่าสนใจดีนะคะ เมื่อใช้คู่กับความอมตะ ก็นับว่าเป็นข้อดีข้อใหญ่ที่ไม่เลว ทว่าต่อหน้าเทคนิคขั้นสูงของดิฉัน การจะแก้ทางมันทำได้ง่ายๆค่ะ คุณผู้กล้าลีโอนาร์”

“..แก..ทำอะไรลงไป ..”

“บอกแล้วไงว่าจะให้เล็ดลอดออกไปไม่ได้น่ะค่ะ”

ดราแคล์แกว่งเคียวหนึ่งครั้ง ขาทั้งสองข้างของผมปลิวกระเด็น และมองไม่เห็นการแกว่งอีกครั้ง แขนของผมก็ขาดไปสองข้าง เธอเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ-ผมรีบฟื้นฟูตัวเอง ลุกขึ้นยืน และพุ่งไปข้างหน้า

“ย๊ากกกก-”

ครั้งนี้หัวแยกออกจากกัน พอจะลุกขึ้นมาใหม่ก็โดนสะบั้นลำตัวจนขาด

“ตามปกติ มาตรฐานของผู้กล้า พวกเขาจะตอบโต้การโจมตีทั้งหมดนี้ได้แบบไม่ยากเย็น แต่ดูเหมือนว่าคุณจะทำไม่ได้สินะคะ?”

ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่อง ผมฟื้นตัวเองใหม่ แต่ครั้งนี้เลือกที่จะไม่สู้ต่อ ผมหันหลังกลับ และวิ่งหนีแทน สภาพของหมาจนตรอกที่ดูไม่ได้ ระหว่างที่วิ่งก็สะดุดล้ม ทั้งๆที่ไม่ควรจะล้มได้ และเพราะเผลอล้ม ตัวเลยโดนหั่นเป็นสองส่วน ผมฟื้นฟูกลับมาใหม่ ทั้งใบหน้าที่ซีดเผือก พยายามวิ่งหรีจาก ณ จุดนี้ให้เร็วที่สุด

แต่ว่าประตูที่เปิดอยู่ก็ปิดลง ผมสะบั้นประตูทิ้ง แต่ไม่เป็นผล ปลายดาบไม่แม้แต่จะสัมผัสถึงประตู มันถูกสะกัดกั้นไว้ด้วยเขตุแเดนพิเศษสีเลือดของดราแคล์ ผมหันหลังกลับ ตั้งท่าดาบ จดจ่อกับทุกการเคลื่อนไหวของดราแคล์

“….อา..อา…อา”

ความกลัวคลืบคลานเข้าสู่จิตใจที่บอดซ้ำ ผมหายใจแรง กระพริบตารัวๆ ในสภาพท่วมเลือดที่ดูไม่ได้ ดราแคล์หยุดเดินในระยะห่างสองเมตร เธอหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเดินหันหลังกลับ ใช้เวลาเกือบนาทีในการกลับไปนั่งบนบังลังค์ดั่งเดิม เธอเท้าคาง จ้องมองมาที่ตัวผมผู้แสนน่าสมเพช และยิ้ม

“เป็นภาพที่หาดูได้ยากนะ การหนีตายของผู้กล้าน่ะ ทั้งที่ปกติ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ต้องหันดาบกลับมา เข้าปะทะกับศัตรู แต่นี่กลับวิ่งหนีในสภาพที่ดูไม่ได้”

“….”

“คุณผู้กล้า คุณตั้งใจมาทำอะไรที่นี่กันแน่คะ? ดูจากสภาพ คงไม่ได้คิดจริงๆหรอกนะว่าลำพังพลังแค่นั้น จะสามารถเอาชนะดิฉันได้? อย่าว่าแต่ดิฉันเลย แค่ลูกน้องของฉันไม่กี่คน ก็สามารถเล่นงานคุณได้อยู่หมัดแล้ว”

สิ่งที่ผมควรตอบกลับคืออะไรกันแน่นะ ร้องขอชีวิตจากคนที่ฆ่าผมตายไปเกือบสิบครั้ง? หรือว่าจะ ..เจรจาต่อรองดี

“อีกไม่กี่วัน ผู้กล้าสองคนจะมุ่งตรงมาที่แห่งนี้ ก่อนจะถึงวันนั้นช่วยย้ายฐานที่มั่นไปที่อื่น ..ได้หรือเปล่าครับ”

“…. ?? โทษทีนะ ประมวลผลไม่ทัน ผู้กล้าขอให้ดิฉันหนีจากผู้กล้าอีกสองคนนั้นเหรอ?”

“…อือ”

“แหม่ เป็นคนที่มีจิตใจดีเหลือเกินนะคะ ถึงขนาดยอมให้ตัวเองตกที่นั่งลำบาก เพื่อปกป้องเผ่าปีศาจ และพวกพ้องของตัวเองเช่นนี้ ก็จริงที่การกระทำเช่นนี้เป็นการหลีกเลี่ยงสงครามที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ว่า–ไม่ใช่ว่าคุณหลงลืมหน้าที่ของตัวเองไปแล้วหรอกเหรอคะ?” ดราแคล์ยิ้ม “ผู้กล้าน่ะนะ เป็นตัวตนที่มีอยู่เพื่อปราบจอมมาร แน่นอนว่าสมุนข้างทาง อย่าง ขุนพลจอมมาร เช่นดิฉัน ก็ควรจะอยู่ในเป้าหมายกำจัดด้วยเช่นเดียวกัน สงครามมันเลวร้ายก็จริง แต่ว่าเรื่องราวหลังสงครามจะเต็มไปด้วยความสุข แม้จะเป็นแค่ของฝ่ายชนะ ด้วยเหตุนั้นจึงมีการมีอยู่ของผู้กล้า เพื่อสันติสุขของมวลมนุษย์”

ดราแคล์พล่ามเรื่องหน้าที่ของผู้กล้าออกมา โดยที่ผมได้แต่คิดตามว่าที่เธอพูดมันถูกต้องไปซะหมดทุกอย่าง แม้แต่ฝ่ายตรงข้าม ยังมีสามัญสำนึกเรื่องผู้กล้าที่ดีกว่าผู้กล้าจริงๆเช่นผม

“แต่ว่า ไม่ว่าจะผู้กล้าคนไหนก็ไม่มีทางชนะดราแคล์ได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าความแข็งแกร่งที่ไร้เหตุผล ต่อให้มีผู้กล้าหลายคน มันก็ไร้ผล”

“..ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะคะ?”

ดราแคล์สงสัยจากใจจริง

“เพราะมนุษย์น่ะอ่อนแอจะตายไป สามารถตายได้ง่ายๆกับอีแค่การหวดดาบเล่นๆของศัตรู ถ้าเผลอไปโดนเข้าก็จะตายทันที”

“แค่ไม่ให้โดนก็พอแล้วนี่ อีกอย่าง บางคนก็มีความสามารถรักษาตัวที่เป็นเลิศนะคะ อย่างท่านก็เป็นถึงอมตะเลยไม่ใช่หรือไง”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ! ก็ยังชนะไม่ได้อยู่ดี!!”

“รู้รึเปล่า ผู้กล้าลีโอนาร์”

ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วพื้นที่ อย่างกับว่าดราแคล์จงใจให้ผมหุบปาก ก่อนที่เธอจะพูดเรื่องสุดจะแสนสำคัญออกมา

เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อได้

“จอมมารน่ะนะ ได้ตายไปตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อนแล้ว”

“…หา?”

“ด้วยฝีมือของผู้กล้าคนหนึ่งในอดีต จอมมาร และขุนพลจอมมารกว่าครึ่ง ถูกกำราบลงในชั่วข้ามคืนเดียว ในเหตุการณ์คราวนั้น ทำให้ฉันรู้ซึ้งน่ะ ว่าทำไมผู้กล้าถึงเป็นแสงสว่างของมวลมนุษย์ได้ ..ไม่ใช่แค่เธอหรอกนะที่คิดว่าขุนพลจอมมารแข็งแกร่งจนเกินไป ทางพวกเราเองก็มีมุมมองต่อผู้กล้าไม่ต่างกัน”

…..

….พูดจริง หรือโกหกกันแน่ ผมไม่อาจทราบได้ บนหน้าประวัติศาสตร์ของผู้กล้า ไม่เคยมีข้อมูลนี้มาก่อน จอมมารควรจะยังมีชีวิตอยู่ และรอให้พวกเราผู้กล้าไปปราบ แล้วก็เรื่องที่ขุนพลจอมมารไม่ได้เปลี่ยนตำแหน่งมาหลายร้อยปีนั่นก็ด้วย

“พรแห่งผู้กล้าที่ยกระดับร่างกาย และสามารถพัฒนาได้เรื่อยๆ ดาบแห่งผู้กล้าที่เสมือนไม้ตายที่จะทำให้เหนือกว่าพวกเราได้ ทั้งที่อ่อนแอกว่าทุกด้าน หากจำไม่ผิด ฉันเคยพบกับผู้กล้าที่รวดเร็วยิ่งกว่าขุนพลจอมมาร หรือชำนาญเรื่องเวทมนตร์มากกว่า ทั้งๆที่ตัวตนเหล่านั้นพึ่งเริ่มต้นเส้นทางชีวิตได้แค่ไม่กี่ปี ผิดกับพวกเราที่อยู่กันมาหลายร้อยปี ..ถึงสุดท้าย ผู้กล้าเหล่านั้นจะพ่ายแพ้ แต่ความจริงที่ว่าในสถานการณ์ที่เอื้อจะสามารถเอาชนะพวกเราได้ ด้วยจังหวะดาบเดียวนั้น ก็ยังเป็นความจริง”

ประวัติศาสตร์ของทั้งสองฝั่งแตกต่างกัน แล้วก็ความจริงที่ว่าผมดูถูกผู้กล้ามากเกินไป ความรู้สึกสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่อยู่ในใจก็คือ ในเมื่อจอมมารได้ถูกโค่นไปแล้ว ทำไมจึงต้องดำเนินสงครามต่อด้วยล่ะ มันก็ทำให้ผมรู้สึกหมดเรี่ยวแรง และทรุดลงไปกับพื้น

ทั้งๆที่ไม่แน่ชัดว่าใช่ความจริงหรือเปล่า แต่หัวสมองก็ตอบสนองไปอย่างนั้นแล้ว เป็นคนเขลาที่เชื่อในเรื่องที่ออกมาจากปากคนอื่นง่ายๆไปเสียแล้ว ตัวผมน่ะ

“การต่อสู้ ณ ปัจจุบันนี้ ไม่ใช่เรื่องของการปราบจอมมาร แต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์มากกว่านั่นแหละ ไม่ใช่แค่มนุษย์อย่างเดียว พวกเราเองก็คิดว่าการที่มนุษย์สูญพันธ์ุจะทำให้ดำเนินชีวิตต่อได้อย่างมั่นคงมากกว่า มีปีศาจที่ต้องอดยากต่อวันมหาศาล เพราะพื้นที่ทำกินที่เล็กน้อย พวกเราเลยอยากได้พื้นที่ของมนุษย์ที่มีคนอาศัยอยู่แต่เดิม อ่า แล้วก็ มีเหตุผลสำคัญอีกหลายข้อที่พูดออกไปคงไม่ดีเท่าไหร่ด้วย ทางมนุษย์ล่ะ ต้องการอะไรจากการต่อสู้คราวนี้”

“..สันติสุข”

“ไร้เดียงสาจริงๆเลยนะ ทางฝั่งมนุษย์ฝูมฝักผู้กล้ามาด้วยชุดความคิดแบบนี้นี่เอง”

…ถูกต่อว่าแนวคิดที่มีมาเกือบสิบปีเอาเสียดื้อๆ ดราแคล์หัวเราะใส่ผมอย่างเอ็นดู

“แต่ก็นะ ท่านผู้กล้าลีโอนาร์ บางทีการตัดสินใจคราวนี้ของท่าน มันอาจจะดีต่อพวกท่านมากกว่าก็เป็นไปได้ ..ถ้าต้องสู้กันจริงๆ กับอีแค่ผู้กล้าที่พึ่งเริ่มต้นเส้นทางได้สองถึงสามปี เอาชนะดิฉันไม่ได้หรอกนะคะ แผนรับมือพลังของผู้กล้า ทางดิฉันเตรียมไว้อย่างดีแล้วละ”

“….”

“ด้วยเหตุนั้นเอง การรุกรานในอีกไม่กี่วันต่อจากนี้ของผู้กล้า ดิฉันจะรอคอย เตรียมเปิดบ้านต้อนรับให้อย่างดีเลยเชียว”

…..อ่า

ผมติดอยู่ในเขตุแดน จึงไม่สามารถหนีออกไปให้ข่าวสารได้ อย่างดี พวกเขาก็จะคิดว่าผมหนีสงครามก็เท่านั้น และยังไงก็จะบุกโจมตีต่อ แล้วก็ต้องแพ้ให้กับดราแคล์อยู่ดี ถึงเธอจะบอกว่าผมไม่ควรดูถูกผู้กล้า แต่มันก็ยังเร็วไปสำหรับสองคนนั้นอยู่ดี

การตัดสินใจผมไม่ได้ผิดพลาด ..แต่ว่า ผมอยู่ในกำมือของดราแคล์ ไม่สามารถทำอะไรได้ เธออ่านทุกอย่างได้ขาด จึงเชื้อเชิญให้ผมเข้ามาภายในประสาท

เขตุแดนที่กันไม่ให้มีมานาไหลผ่านได้ ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย เป็นครั้งแรกที่เคยเห็น ไม่มีมนุษย์คนไหนที่ทำได้ ..ใช่ เพราะเธอคือดราแคล์ เลยสามารถทำได้ ผมทำบ้าอะไรลงไป ทั้งๆที่ข้อมูลของอีกฝ่ายที่มีมันแสนน้อยนิด แต่ผมกลับตัดสินใจทำเรื่องที่บ้าระห่ำขนาดนี้ ผมมัน ..ไร้ค่าที่สุด

“..ผมมันไร้ค่า”

ผมหมดเรี่ยวแรงโดยสมบูรณ์ ปล่อยมือจากด้ามจับดาบ และนั่งคุกเข่าอย่างน่าสังเวช

ต่อจากนี้ไม่นาน จะมีความตายครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้น โดยที่ผมจะได้แต่ดูมัน ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เหมือนกับเมื่อวันนั้น

ภาพของปลายดาบที่ผ่านร่างกายของสหาย ราวกับตัดกระดาษผุดขึ้นมาในหัว และมันก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ ผมขยี้หัวใจตัวเองด้วยแขนข้างขวา น้ำตาลไหลออกจากตาทั้งสองข้าง และส่งสายตาแสนเวทถนาไปให้กับดราแคล์บนบังลังค์

“..ขอร้องละ ดราแคล์ ผมขอร้อง ได้โปรด …ได้โปรดหยุดการฆ่าฟันด้วยเถอะ ….ผม …ผมน่ะ ไม่อยากให้มีใครตายไปมากกว่านี้อีกแล้ว” 

ผมลุกขึ้นเดิน เลินอย่างทุลักทุเล ปล่อยให้น้ำตาหยดลงพื้น และลงไปก้มกราบหน้าบรรไดทางขึ้นสู่บังลังค์ ประหนึ่งการบูชาพระเจ้า

“ไม่ว่าอะไรผมก็ยอม ขอร้องละ …ไว้ชีวิตทุกคนด้วยเถอะ …”

“ไม่ว่าจะอะไรก็ยอมสินะคะ”

“ต่อให้ต้องตายเป็นพันๆครั้งเพื่อดิฉัน? เพื่อไม่ให้ดิฉันต้องพ่ายแพ้?”

“..อ่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะไม่มีทางพ่ายแพ้ เพราะผมน่ะ ..ไม่สามารถพ่ายแพ้ได้ ต่อให้ตายเป็นพันๆครั้ง ผมก็จะไม่พ่ายแพ้”

เพราะไม่สามารถพ่ายแพ้ได้ และไม่สามารถชนะได้

“ผมคือผู้กล้าไร้ค่าที่ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากตาย และตาย ถ้าหากว่าตัวผมที่เป็นแบบนี้ ถ้าหากว่าชีวิตแสนไร้ค่านี้สามารถทำอะไรได้บ้างละก็ ..จะสามารถรักษาชีวิตคนไว้ได้ละก็ ..ผมจะยอมรับทุกเงื่อนไข”

“ท่านไม่ได้ไร้ค่าเสียหน่อย ไม่เป็นอะไรค่ะ ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น ความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับดิฉันก็ยังเป็นของจริงอยู่ดี ความกล้าหาญที่ต้องการเปลี่ยนชะตากรรมของสหายร่วมรบนั้น ช่างน่านับถือจากใจจริง”

เป็นครั้งแรกที่น้ำเสียงของเธอไม่ได้แฝงด้วยเลศนัย มันดูอ่อนโยน ราวกับคำพูดสั่งสอนของผู้ใหญ่

เพียงคำพูดนี้หัวใจของผมก็เบิกบานประหนึ่งช่วงฤดูใบไม้ผลิที่แสนงดงาม เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองมันช่างสวยงาม ..ต่อหน้าเธอ ด้วยประโยคพูดสั้นๆด้วยน้ำเสียงนี้ ผมสัมผัสได้ถึงไออุ่น ความหวาดกลัวหายจากจิตใจทันทีที่เธอยื่นมือมาให้ผม และ ..

“ผู้กล้าลีโอนาร์ …ฉันจะไม่คิดว่าคุณไร้ค่า”

กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยสเน่ห์

“เพราะอย่างนั้น–ทรยศมนุษยชาติเพื่อดิฉันซะ”

ในห้วงเวลานั้น ผมไม่ลังเลที่จะตอบเลยแม้แต่น้อย .. ผมหลงลืมประโยคสำคัญอย่างการ ทรยษมนุษยชาติ และเดินไปก้มลงจับมือข้างนั้น

“ผมยอมรับทุกอย่าง”

นับตั้งแต่วินาทีนี้ ผู้กล้าลีโอนาร์ ไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งในแสงสว่างทั้งสิบสองของมวลมนุษย์ แต่เป็นอีกหนึ่งในลูกน้องของขุนพลจอมมาร—

เพราะไออุ่นจากกองทัพจอมมาร ทำให้ผมทรยศมนุษยชาติ

เพราะไออุ่นจากกองทัพจอมมาร ทำให้ผมทรยศมนุษยชาติ

Status: Ongoing
ผู้กล้า ลีโอนาร์ ยูซาริเซี่ยน ตัวเขาที่ควรจะตายกลับมีพรในฐานะผู้กล้าคือ อมตะ พรที่ราวกับคำสาป จุดเปลี่ยนของเขาได้มาถึง เมื่อได้พบกับ ขุนพลจอมมาร ‘ดราแคล์’ ผู้เชื้อเชิญให้เขาทรยศมนุษยชาติ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท