เกิดอะไรขึ้นหลายอย่างในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ตัวผมหนึ่งในสิบสองผู้กล้าจักราศรี ได้ยอมศิโรราบแก่ขุนพลจอมมาร และเข้าเป็นหนึ่งในข้ารับใช้ของศัตรู ในฐานะผู้กล้าแล้ว ไม่มีอะไรที่น่าอับอายมากไปกว่านี้ได้อีกแล้วละ
นี่ผม ..คิดบ้าอะไรถึงตอบตกลงไปกันนะ
ผมนั่งมึนอยู่บนขั้นบรรได โดยมีดราแคล์นั่งอยู่ข้างๆ ตั้งแต่ที่ตอบตกลงไป พวกเราก็ไม่ได้คุยอะไรเป็นพิเศษ ดราแคล์แค่นั่งข้างผมที่เอาแต่ร้องไห้รู้สึกผิด และพึ่งจะหยุดน้ำตาตัวเองไว้ได้เมื่อไม่กี่นาทีก่อน
พอหยุดร้องไห้เสียใจ ควบคุมอารมณ์ในสถานการณ์แบบนี้ได้แล้ว ผมก็ตั้งใจจะเอ่ยถาม ทว่า
“ดีขึ้นแล้วหรือยังคะ?”
“อะ อือ ..”
“ดีมากค่ะ คิดว่าคุณน่าจะมีเรื่องที่สงสัยอยู่ไม่มากก็น้อย”
ราวกับว่าอ่านใจได้
“เชิญถามได้เต็มที่เลยนะคะ พวกเราสองคนพอจะมีเวลาคุยกันอีกมาก”
เพราะกว่าคณะผู้กล้าของเวอร์โก้ และอควาเรียจะมาถึง ก็น่าจะใช้เวลาอย่างน้อยๆอีกราวสามชั่วโมง รวมให้ผมกลับไปที่แคมป์ด้วยแล้ว ด้วยเหตุนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไรขนาดนั้น
“..เรื่องที่ว่าจอมมารตายไปแล้วน่ะ”
“ค่ะ ไม่ได้โกหกหรอกนะคะ จอมมารตายไปตั้งแต่เมื่อห้าร้อยปีก่อน ด้วยฝีมือของผู้กล้าคนหนึ่ง ..ที่แกร่งเอามากๆ แน่นอนว่าให้หลังจากนั้นไม่นาน ผู้กล้าคนนั้นก็จะสิ้นชีพไปด้วยอายุขัย และไม่สามารถปราบปีศาจได้หมดตามที่หวัง พวกเราเผ่าปีศาจเลยเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้ค่ะ ขุนพลปีศาจในตอนนี้ กับเมื่อห้าร้อยปีก่อนก็ล้วนแต่เป็นคนละคนกันหมดแล้ว เพียงแต่ว่า ยังคงเดิมชื่อเรียกตำแหน่งเอาไว้ เมื่อห้าร้อยปีก่อน ขุนพลจอมมารก่อนดิฉันก็มีนามว่า ‘ดราแคล์’ ในประวัติศาสตร์มนุษย์เช่นเดียวกัน”
“…”
จอมมารตายไปแล้ว ..แค่นั้นไม่พอ ตำแหน่งขุนพลจอมมารยังมีการสับเปลี่ยนตลอด
ข้อมูลที่ได้รับมันผิดกับภูมิความรู้ที่ได้รับมาตลอดหลายปีมานี้ เชื่อว่าในหมู่ผู้กล้าเองก็คงมีแค่ผมที่รู้คนเดียว ..ความรู้ที่ไม่แตกต่างกับการโดนหักหน้า ทำให้ผมรู้สึกหดหู่ และคิดคำถามต่อไปได้ทันท่วงที ดราแคล์จึงเป็นคนพูดขึ้นต่อ
“ขอแนะนำตัวใหม่อีกครั้งนะคะ คุณผู้กล้าลีโอนาร์ ดิฉัน ‘ลิลิธ ดราแคล์’ เป็นแวมไพร์ค่ะ สืบทอดตำแหน่งจากบิดาที่จากไปเมื่อห้าร้อยปีก่อน และอย่างที่ท่านรู้ ดิฉันคือเจ้าของเมืองเคลื่อนที่แห่งนี้ และเป็นหนึ่งในขุนพลจอมมารที่ประจำตำแหน่งอยู่”
ข้อมูลที่ผมรู้ก่อนจะมาพบกับดราแคล์มีเพียงแค่ เธอเป็นแวมไพร์ หนึ่งในสิบเผ่าพันธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แล้วก็ขุนพลจอมมาร
ดราแคล์ส่งสายตาคาดหวังให้ผมตอบกลับมาที่ผม
“อ่า เอ่อ .. ผม ลีโอนาร์ ยูซาริเซี่ยน .. อายุ 17 ปี เป็นผู้กล้าครับ ..”
“ลีโอนาร์นี่ไม่ใช่ชื่อจริงนี่ค่ะ หากจำไม่ผิดผู้กล้าจะได้รับนามใหม่เมื่อถูกแต่งตั้งเป็นผู้กล้าโดยเรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้น ชื่อที่แท้จริงจะต้องเป็นชื่อเมื่อถือกำเนิด ไม่ใช่ชื่อของผู้กล้า ..ฉันเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ?”
ผมส่ายหัวปฏิเสธ
“เข้าใจถูกแล้ว แต่ว่า ..ชื่อของผมตอนนี้คือ ลีโอนาร์ เรียกแบบจะดีกว่า ไม่สิ ได้โปรดเรียกผมว่า ลีโอนาร์ หรือไม่ก็ ลีโอ เถอะครับ”
“ถ้านั้นก็.. ลีโอนาร์”
ดราแคล์อมยิ้มก่อนเอ่ยชื่อของผม ใบหน้าที่งดงามของเธอทำให้ผมรู้สึกแปลกๆชอบกล ต่างกับอิมเมจที่คิดเอาไว้ ทำไม …ขุนพลจอมมารถึงได้ดูสวยแล้วก็น่ารักขนาดนี้กัน แถมยังอ่อนโยนกับตัวตนที่เสมือนไรน้ำไร้ค่าแบบผมอีก
“ลีโอนาร์ เกลียดเผ่าปีศาจหรือคะ?”
“เรื่องนั้น”
หลายสิ่งหลายอย่างของผมถูกช่วงชิงไป ความภาคภูมิใจ สหายคนสำคัญ—และบางทีอาจรวมถึงจิตวิญญาณด้วย
“ครับ”
แน่นอนอยู่แล้วว่าผมต้องเกลียด เพราะในทุกๆวัน ผมจะฝันถึงวันที่ตัวเองยังปกติดีเสมอ ผมยังเฝ้าถึงตัวเองในวันๆนั้นมาโดยตลอด แต่ว่าเรียกมันกลับคืนมาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว สูญเสียไปโดยสมบูรณ์แบบ แล้วตอนนี้ก็กำลังจะสูญเสียมันไปอีกครั้ง ..ส่วนใดส่วนหนึ่งของความเป็นผู้กล้าในตัวผม
“ถ้าอย่างนั้นจะขอแสดงจุดยืนนะคะ ลีโอนาร์–ฉันไม่เคยคิดเกลียดมนุษย์เลย”
“..ขอถามได้หรือเปล่าครับ ไม่ใช่ว่าพ่อของคุณเองก็ถูกมนุษย์ฆ่าหรอกเหรอ”
“เสียใจด้วยนะคะ ดิฉันไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่วิเศษกับบิดามากถึงจะเศร้า แล้วก็ต่อให้เศร้า ก็คงไม่โกรธแค้นหรอกค่ะ สำหรับฉัน มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนๆกัน พวกเราแค่มีปัญหากันด้วยเหตุผลที่ไม่ได้เกี่ยวกับคำว่า ‘เผ่าพันธ์ุ’ เพราะอย่างนั้นจึงไม่ได้รังเกียจ แต่หากจำเป็น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่กล้าลงมือทำเรื่องสำคัญหรอกนะคะ”
หมายความว่า ถ้าจำเป็นก็จะฆ่า ไม่ใช่ฆ่าทุกคนโดยไม่จำเป็น
“และโชคดีนะคะ ลีโอนาร์ ที่ฉันไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าผู้กล้าสองคนนั้น เพราะลีโอนาร์ยอมให้ความร่วมมือแก่ดิฉัน”
“เกี่ยวกับเรื่อง ..ต่อจากนี้ตั้งใจจะให้ผมทำอะไรล่ะ”
“ทรยศมนุษยศาสตร์ ..อืม แบบเจาะจงเลยก็-เข้าเป็นหนึ่งในคนของกองทัพของดิฉันค่ะ”
ก่อนที่ผมจะได้โต้กลับ เธอก็โพล่งขึ้นก่อน
“แน่นอนว่าศัตรูไม่ใช่มนุษย์ แล้วก็เวลาทำงาน จะเอาตามที่ลีโอนาร์สะดวก จะไม่มีการบังคับให้ทิ้งงานของผู้กล้าหรอกนะคะ”
อย่างกับว่าอ่านใจได้เลย ได้ยินรายละเอียดหน้าที่ ผมก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
“ให้สู้กับพวกมอนสเตอร์สินะครับ อย่างที่ดราแคล์รู้ ความสามารถของผมนั้นด้วยเอามากๆ ไม่สามารถสู้กับมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งจนเกินไปได้ แต่ถ้าให้เป็นคนสร้างจังหวะก็อาจพอมีประโยชน์อยู่บ้าง”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ที่ฉันจะให้สู้ด้วยคือ ‘เผ่าปีศาจ’ ต่างหากค่ะ”
“หา!? ทำไมถึง กับเผ่าพันธุ์เดียวกัน” ผมเผลอตะโกนออกมา
“เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อน เมื่อเทียบกับเวลาที่มีอยู่แล้ว คิดว่าไม่ใช่เวลาอันดีที่จะสนทนากันเสียสักเท่าไหร่ ไว้ดิฉันจะอธิบายให้ฟังในคราวหน้าที่พบกันนะคะ เอาเป็นว่าหายห่วงค่ะ ศัตรูไม่ใช่ผู้กล้า หรือว่ามนุษยชาติ แต่เป็นตัวปัญหาที่กำลังขวางทางฉันอยู่ แล้วก็อยากให้ช่วยส่งการเคลื่อนไหวของมนุษย์ ที่มีต่อฉันให้ด้วยจะเป็นการดีมาก”
ว่าแล้วเชียว สุดท้ายก็ต้องการข้อมูลสำคัญของทางนี้
“เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามหรอกนะคะบอกก่อน สำหรับมนุษย์ แค่ฉันโผล่หัวมา พวกเขาก็คงยกโขยงผู้กล้าและกองทัพมารุมแล้ว”
…จริงอย่างที่เธอว่า เพราะอย่างนั้นผมถึงมาอยู่ตรงนี้นี่แหละ
“เพื่อความปลอดภัยการร่วมมือกันระหว่างพวกเรา ยังไงซะข้อมูลของทางลีโอนาร์ก็จำเป็น ในทางกลับกัน ดิฉันก็ไม่คิดปิดบังลีโอนาร์เรื่องตำแหน่งที่ตั้ง หรือข้อมูลของฝั่งปีศาจแต่อย่างไรด้วย หากไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนที่ฉันปกครอง ฉันก็พร้อมให้ความร่วมมือเล็กๆน้อยๆ แม้ว่านั่นจะเป็นการหาเรื่องขุนพลจอมมารคนอื่นก็ตามที”
เธอพูดเรื่องสุดจะหนักอึ้งออกมาอย่างง่ายดาย
“พวกเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน คือร่วมมือกัน ต่อให้เป็นลูกน้อง แต่ฉันก็จะให้สิทธิ์ลีโอนาร์เต็มที่เท่าที่จะให้ได้ ขอให้พึงนึกไว้ในหัวเช่นนี้นะคะ”
“…”
ผมถูกเธอดักความคิดไว้ได้ทุกทาง และทำให้เผลอหลงคิดไปว่าการร่วมมือกับดราแคล์ อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่แย่มากขนาดนั้น–คงไม่ใช่ว่าตั้งแต่ผมตัดสินใจเข้าประสาท เธอก็ตั้งใจให้สถานการณ์มันลงเอยแบบนี้อยู่แล้วหรอกเหรอนะ? แต่ว่า ..การขายข้อมูลให้ขุนพลจอมมาร ไม่ว่ายังไงมันก็เกินไป ต่อให้ข้อเสนอที่จะดีแค่ไหน แต่ศีลธรรมในฐานะผู้กล้ามันทำให้ผมรับไม่ได้อยู่ดี
เป็นอีกครั้ง ที่ผมไม่ต้องพูด เธอก็เดาความคิดของผมออก
“รู้ดีค่ะ ว่าการไว้ใจศัตรูที่พึ่งได้เปิดอกคุยกันครั้งแรก มันเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ใช่ค่ะ ฉันรู้ดีเลยละความรู้สึกนี้” ดราแคล์พึมพำ ไม่รู้สึกว่ากำลังโกหกเลยสักนิดเดียว “เพราะอย่างนั้น ช่วยเชื่อใจฉันสักนิดนึงก็ยังดีค่ะ”
“มีแค่ทางเลือกนั้นอย่างเดียวไม่ใช่หรือไงครับ ..กลับกัน ไม่คิดว่าผมจะหักหลังบ้างเลยเหรอครับ”
“ก็ลองดูสิคะ?”
ปลายเสียงของเธอ ดูเย็นชาขึ้นมานิดหน่อย
น้ำเสียงที่โต้กลับไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว สถานะผู้กล้าเบื้องหน้าเธอคงไม่ต่างกับแมลงกระมัง หรือไม่ก็ ไม่สิ ไม่ใช่แค่ผู้กล้า อาจจะเหมารวมถึงมนุษย์ทุกคนมากกว่า ทุกอย่างไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอเลย ..อาจจะนะ
ความเชื่อใจที่มีต่อตัวผม นอกเหนือสิ่งอื่นใดคือ ..จิตวิญญาณบางอย่างที่กำลังลุกโซน ผมสัมผัสมันได้จากตัวของดราแคล์ สิ่งที่คนประเภทเดียวกับเวอร์โก้เขามีกัน ..เป้าหมายบางอย่าง— ‘ความฝัน’ บนฝ่ามือ
“เอาละ เหมือนจะหมดเวลาคุยแล้ว หลังจากนี้ฉันจะเคลื่อนไหวเมืองเคลื่อนที่ เรื่องสถานที่นัดหมาย ฉันจะติดต่อไปด้วยนกสื่อสาร คาดว่าจะไปถึงในพรุ่งนี้ช่วงมืดๆ ช่วยหาเวลาปลีกตัวให้ดิฉันด้วยนะคะ”
ว่าอย่างนั้นจบ ผมก็หันหลังกลับไปตั้งใจจะหาทางออก ทว่า ก็มีเมดสาวสองคนปรากฏตัวหน้าประตูพอดี
เมดทั้งสองคนสวมชุดเมดรูปแบบเดียวกัน แต่ตัวชุดดูแตกต่างกับชุดเมดที่ผมเห็นบ่อยๆในคฤหาสน์ของขุนนาง ..มันดูเหมือนกับชุดเมดผสมกับชุดโกธิค
เมดสาวคนแรก เป็นสตรีที่หน้าตาดูไม่ต่างกับมนุษย์เลยสักนิด ยกเว้นบนศรีษะที่มีเขาอยู่หนึ่ง กับอีกคน เมดสาวคนที่สอง ..เด็กสาวตัวเล็ก เลือนผมสีขาวเหมือนผม แต่สง่างาม แตกต่างกับสีผมของผมที่เป็นสีขาวซีด แต่ปอยผมด้านขวากลับเป็นสีดำ และเช่นเดียวกันกับเส้นผม สีผิวของเธอก็เป็นสีขาว เพียงแต่อมชมพู ดวงตาสีฟ้าเปล่งประกาย ภาพลักษณ์ให้ความรู้สึกเหมือนเจ้าหญิงจากที่ไหนสักแห่ง มากกว่าเมดรับใช้
พูดตามตรง เธอเป็นคนที่สวยที่สุดที่ผมเคยพบเจอมาก่อน ทั้งๆที่คิดว่าเจ้าหญิงของอาณาจักรเป็นคนที่สวยที่สุดแล้วแท้ๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจ พลางคิดว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่กว่าที่ผมคิดมากนัก
“ฝากลีโอนาร์ด้วยนะ ทั้งสองคน”
จากที่ดราแคล์บอก พวกเขาจะรับหน้าที่พาผมไปส่ง ผมจึงเดินตรงไปหา ทั้งสองโค้งศรีษะทักทายผม ทุกอย่างดูปกติดี ยกเว้นแต่เพียงเมดคนหนึ่งที่มีผมสีขาวคนนั้น เธอส่งสายตาประหนึ่งว่ามองแมลงสาปใส่ผม บางทีคงจะเป็นสายตาแบบเดียวกับที่ผมแสดงออกมาตอนที่คุยกับดราแคล์ในทีแรก
เธอกลัวชังเผ่าพันธ์มนุษย์นั่นเอง
ชวนให้รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย แล้วก็รู้สึกผิดกับดราแคล์ด้วยที่ผมแสดงปฏิกิริยาแบบนี้ใส่ เพียงเวลาสั้นๆก็ทำให้ผมรู้ว่าปีศาจกับมนุษย์ อาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากขนาดนั้น อย่างที่ดราแคล์บอก
“ ‘เรเซล’ ค่ะ”
คนผมสีน้ำตาลมีชื่อว่าเรเซล ส่วนคนผมสีขาว
“ ‘อานิม่า’ ”
..อานิม่า ผมพยักหน้ารับ และไม่พูดอะไร เผ่าปีศาจโดยส่วนใหญ่เหมือนกันหมดคือเผ่ามีเขาเป็นที่บรรจุมานาเอาไว้มหาศาล มีได้ตั้งแต่หนึ่งเขาไปจนถึงมากสุดสามเขา และมีปีกปีศาจที่สามารถกางออกเพื่อบินได้ ยกเว้นอานิม่าที่น่าจะเป็นเผ่าปีศาจประเภทอื่น เพราะเธอไม่มีเขา แถมยังไม่มีลักษณะเด่นที่เผ่าปีศาจมีกันอีก
“เช่นนั้นก็ตามมานะคะ ท่านลีโอนาร์”
เรเซลเอ่ยชื่อของผม ก่อนหันหลังเดินไปคู่กับอานิม่าทั้งสองนำทางผมไปที่ทางออกของเมืองเคลื่อนที่ ระหว่างทางไม่มีการพูดคุยใดๆเกิดขั้นทั้งสิ้น ผมได้แต่ครุ่นคิดเรื่องราวมากมาย ระหว่างเดินตาม ไปจนถึงปลายทาง
ปลายทางคือก้นสุดของเหว เป็นพื้นที่ที่มีลำธารไหลผ่าน …ทันทีที่ผมเดินออกมา และหันหลังกลับไป เมืองเคลื่อนที่ก็หายไปจากสายตา แน่นอนว่ารวมถึงเมดสองคนนั้นที่ช่วยนำทางผมออกมา อย่างกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมถอนหายใจเฮือกโต นำมือมาสัมผัสที่หน้าท้องของตัวเอง
“ [เอ็กซ์โพลชั่น] ”
และระเบิดตัวเองตาย เพื่อที่จะรีบเดินทางกลับแคมป์ ก่อนพวกเวอร์โก้จะมาถึง–