ผมนั่งอยู่เฉยๆอย่างนั้นไปพักใหญ่ เมื่อกู้คืนสติได้ผมก็ลุกขึ้น และออกเดินต่อ ผมมองบรรยากาศที่ไร้ผู้คน และดูแห้งแล้ง ทั้งๆที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ทำให้ชุกคิดได้ว่าที่ดูแห้งแล้งไม่ใช่ธรรมชาติ แต่เป็นบรรยากาศต่างหาก ตลอดสองปีผมมีประสบการณ์เดินสำรวจพื้นที่กก่อนสงครามเสมอ และในทุกๆที่จะมีบรรยากาศราวๆนี้ตลอด
เนื่องจากความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดสงครามกับดราแคล์ ทำให้ชาวบ้านหลายชีวิตพากันอพยพ และคงใช้เวลาหลายวันทีเดียวกว่าหมู่บ้านแห่งนี้จะกลับมามีบรรยากาศเหมือนเก่า
“..หืม?”
ผมสังเกตุเห็นมนุษย์ เป็นชายชราที่กำลังเดินแบกสัมภาระยักษ์ ..ไม่ใช่กงการอะไรของผม พอตัดสินใจอย่างนั้นจู่ๆเสียงตะโกนเรียกก็ดังขึ้น
“หนุ่ม หนุ่ม ช่วยพี่ด้วย!”
“..อ๊ะ ครับ”
ผมแกล้งทำเป็นพึ่งเห็น และวิ่งเหยาะๆไปหา
สุดท้ายก็ลงเอยที่ต้องช่วยชายชราแบกของเข้าหมู่บ้าน
“แหม่ๆ ไม่มีหนุ่มนี่แย่เลย”
“ไม่หรอกครับ”
“ว่าแต่ว่าดีจริงๆเนอะที่พวกท่านผู้กล้าไม่ไปหาเรื่องกับขุนพลจอมมารเนี่ย!”
เขาคงดูไม่ออกว่าผมก็เป็นผู้กล้า เพราะการแต่งตัวที่ไร้เอกลักษณ์ เสื้อผ้าเก่าๆโทรมๆ แล้วก็ผ้าคลุมสีน้ำตาล ให้พูด ดูเหมือนนักผจญภัยแรงค์ต่ำมากกว่า
“คิดอย่างนั้นเหรอครับ”
“เรื่องนั้นก็ แน่นอนอยู่แล้วสิ” ชายชรายิ้ม “ไม่มีใครชอบสงครามหรอกนะ!”
..นั่นสินะ
ผมรู้สึกดีใจ ที่มีคนดีใจเหมือนกับผม แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นชาวบ้านที่ไม่มีบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์เลยก็ตาม แต่ผมก็ดีใจ
เหตุผลที่ผมไปขวางทางผู้กล้าด้วยกันเอง ทำข้อตกลงกับดราแคล์ อาจจะเป็นเพราะเพื่อสิ่งนี้ก็ได้
เพื่อรักษาชีวิต ตัวผมที่ผ่านความตายมานับพันๆครั้ง รู้สึกว่าชีวิตคือสมบัติล้ำค่าที่ทำหายได้ง่ายเหลือเกิน ไม่รู้ทำไม แต่ผมคิดว่าตัวผมผู้ผ่านความตาย เข้าใจถึงเรื่องๆนี้ได้ดีกว่าใคร
****
ตกดึก ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในป่า ตามสัญญาที่ให้ไว้กับดราแคล์ที่ว่าเธอจะส่งข้อความมาให้ผม และยืนอยู่แบบนั้นเฉยๆ ในทีแรกคิดว่าอาจต้องรอนานหน่อย แต่หลังจากพ้นเขตุหมู่บ้านเพียงไม่กี่วินาที ก็มีนกตัวสีดำบินผ่านไป พร้อมกับมีจดหมายฉบับหนึ่งตกลงมา
กลไกการทำงานของนก คล้ายกับนกส่งข่าวสารของทางกองทัพ เพียงแต่มีเวทมนตร์เข้ามาช่วยอย่างมหาศาล คาดเดาโดยง่าย เป็นนกที่วาร์ปตามจุดต่างๆได้ ปลอดภัยแก่การถูกดักจับ เพียงแค่ครู่เดียว ผมก็รู้ได้ทันทีว่าผู้ควบคุมนกเป็นจอมเวทย์ที่เก่งกาจยิ่งกว่าตัวผมเสียอีก
“เอาเป็นว่า”
ผมเปิดเนื้อหาในจดหมายอ่าน และทำตามที่จดหมายบอก
‘เจอกันที่ประสาทเดิม เข้ามาจนถึงตัวประสาทโดยอย่าให้ใครจับได้เหมือนเดิม’
..ทั้งๆที่เข้าเป็นลูกน้องแล้วแท้ๆ แต่ทำไมเหมือนผมยังทำเรื่องไม่ดีเหมือนเดิมกันนะ
อย่างไรก็ช่าง ผมทำตามที่ดราแคล์บอก
****
มาถึงแล้ว
ตอนนี้ผมอยู่หน้าทางเข้าประสาท ทางเดิมกับที่ผมแอบลอบเข้ามาในทีแรกเลย แต่ด้วยอะไรต่อมิอะไร ทำให้ผมไม่ค่อยอยากจะเดินเข้าไปเสียเท่าไหร่ ..แบบว่า พอนึกถึงครั้งแรกที่เข้ามา สภาพผมไม่ต่างกับหนูที่เดินเหยียบกับดักเลยสักนิดเดียว มันชวนประหม่าไม่น้อยทีเดียว คาดว่าผมน่าจะยืนอยู่แบบนี้ไปกว่าสิบนาทีเลยละ
“ถ้ามาแล้วก็รีบเดินสิ”
“วะ เหวอ!!”
“ ‘อานิม่า’ เผื่อจำชื่อไม่ได้ ท่านดราแคล์บอกให้มารับ”
ถ้าหากว่าไม่ถูกทักโดยเธอคนนี้ก่อนละก็ ..เหมือนว่าคราวนี้เธอจะมาคนเดียว เมดอีกคนที่ชื่อเรเซลไม่ได้มาด้วย
“อะ อือ เข้าใจแล้ว”
“ค่ะ เช่นนั้นก็ตามมา”
ผมเดินตามหลังอานิม่าไป
“เธอเกลียดเผ่ามนุษย์นั้นเหรอ”
“ค่ะ” อานิม่าตอบเสียงแข็ง
“ระ เหรอ ..”
ทำเอาผมไม่กล้าชวนคุย โชคดีที่ไม่นานก็มาถึง ผมมาอยู่ตรงหน้าบังลังค์ของดราแคล์ และตัวดราแคล์ในคราวนี้ก็นั่งอยู่บนบังลังค์เหมือนครั้งก่อน
“สบายดีรึเปล่าคะ?”
“ครับ ..เอ่อ ขอบคุณที่ยอมทำตามที่ขอร้องนะครับ”
ผมคิดว่าเธออาจจะจะหักหลังผมด้วยซ้ำตอนแรก ดราแคล์หัวเราะพึมพำราวกับเรื่องตลก
“ไม่เคยได้ยินวลียอดนิยมของปีศาจเหรอคะว่า ‘ต่อให้เงื่อนไขจะโหดร้าย แต่ปีศาจไม่โกหก แต่มนุษย์น่ะโกหก เพื่อสิ่งที่โหดร้ายยิ่งกว่า’ หรือคะ?”
เป็นวลีที่ไม่เคยได้ยิน คงจะเป็นของเผ่าปีศาจ แน่นอนมนุษย์คงไม่ได้รับวัฒนธรรมมาหรอก แต่ก็มีคล้ายๆกันจำพวก ปีศาจเชื่อใจไม่ได้ แต่มนุษย์น่ะเชื่อใจได้ เยอะอยู่เหมือนกัน
“ไม่เคยเลยนะ ..ครับ”
“ไม่มีอารมณ์ขันเลยนะคะเนี่ย ถ้านั้นก็ ..ลีโอนาร์ งานในฐานะผู้กล้าของคุณ จะมาในอีกกี่วันหรือคะ?”
“น่าจะอีกราวสองวันต่อจากนี้ครับ”
“แบบนี้นี่เอง เป็นองค์กรที่ใช้งานกันโหดจริงๆนะคะ เพราะแบบนี้นี่แหละดิฉันถึงไม่ค่อยชอบ ‘ศาสนจักรริเซี่ยน’ สักเท่าไหร่”
‘ศาสนจักรริเซี่ยน’ เป็นผู้นำทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์ อีกทั้งยังเป็นแหล่งคัดเลือกผู้กล้ามาตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนแล้ว ผู้กล้ากับศาสนจักรริเซี่ยนจึงมีความเกี่ยวข้องกันเป็นอย่างมาก อย่างพวกภาระหน้าที่ต่างๆ หรือว่าจะสวัดดิการทั้งหลายผมก็จะได้รับโดยตรงจากศาสนจักร ไม่ได้ขึ้นตรงกับอาณาจักร หรือกองทัพทหารอะไรขนาดนั้น แค่ต้องทำงานร่วมกันเฉยๆ
“ใช้งานหนักเหรอครับ เรื่องนั้นเป็นเพราะผู้กล้ามีความสำคัญต่อโลกต่างหากครับ”
“เรื่องนั้นก็จริง แต่ว่าการให้ความสำคัญกับคนสำคัญเองก็จำเป็นนะคะ ลีโอนาร์ คุณมีสิทธิ์จะให้อิสระตัวเองบ้าง นิดหน่อยก็ยังดีนะคะ ด้วยเหตุนั้นเองดิฉันเสนอทางให้คุณยื่นฟ้องศาสนจักรให้อ่วม แล้วจากนั้นก็ลาออกมาทำงานให้ดิฉันคนเดียวค่ะ”
ฟ้องศาสนจักรได้ที่ไหนกัน
“ชักจะไปกันใหญ่แล้วครับ ขอปฏิเสธครับ ถึงอย่างไร ศาสนจักรยูซาริเซี่ยนก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้กล้าครับ”
“แหม่ น่าเสียดายจริงๆค่ะ”
“ที่สำคัญ เรียกผมมาที่นี่ คงไม่ได้เรียกมาคุยอย่างเดียวหรอกนะครับ”
“เรื่องนั้นก็ใช่ค่ะ เฮ้อ ลีโอนาร์เนี่ยนะ การทำงานที่มีอารมณ์ขันปนอยู่ด้วย จะช่วยทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นนะคะ”
“สุขภาพจิตของผมสามารถฟื้นฟูได้ครับ คิดว่าไม่จำเป็น”
“ค่ะ เป็นผู้กล้านี่สะดวกดีนะคะ”
กล่าวจบ ดราแคล์ก็ลุกขึ้น และเดินลงจากบังลังค์ ตรงมาที่ผม และยื่นซองจดหมายขนาดใหญ่มาให้ผม ผมรับเอาไว้แต่โดยดี
“ช่วยนำจุดหมายนี้ไปส่งให้ในจุดที่ฉันต้องการทีนะคะ”
ผมพลิกจดหมายดู มันมีแผนที่บอกอยู่ว่าต้องเอาไปให้ที่ไหน
“เข้าใจแล้ว”
“ไม่ถามหน่อยหรือคะว่าจดหมายอะไร?”
“ไม่มีความจำเป็นครับ ถ้าแค่ส่งจดหมาย”
เพราะผมอ่านภาษาเผ่าปีศาจไม่ออกน่ะนะ ในแผนที่กำกับไว้เป็นสัญลักษณ์ง่ายๆ ต่อให้เป็นผมที่ไม่เข้าใจภาษาเขียนของเผ่าปีศาจก็ดูออก
“ไม่ระมัดระวังตัวเองเลยนะคะ ถ้าไม่ถาม ดิฉันก็ขอถือวิสาสะบอกเองนะคะ”
“..ครับ”
“ดิฉันกำลังจะขึ้นทะเบียนคุณเป็นเผ่าปีศาจค่ะ เพราะจะให้คุณดำเนินงานหลายๆอย่างให้ เลยจำเป็นต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ‘บัตรประชาชนปีศาจ’ ค่ะ”
……..หา?
“ฝั่งมนุษย์เองก็มีไม่ใช่หรือคะ? จำพวกตราสัญลักษณ์ยืนยันตัว หรือว่าบัตรนักผจญภัย การมีของเหล่านี้จะทำให้เข้าในพื้นที่ที่ทางการได้โดยไม่มีปัญหา การทำงานจำพวกราชกาล หรือว่าอะไรที่มันเป็นการส่วนตัวหน่อยก็จำเป็นต้องใช้นะคะ จะให้ดิฉันพาคุณออกงานทั้งๆที่เป็นทั้งผู้กล้า และไม่มีบัตรยืนยันตัวตนอะไรเลยคงจะไม่ได้”
“เรื่องนั้นก็เข้าใจ แต่ว่า ..ทำบัตรประชาชนปีศาจให้ผู้กล้า?”
“ลีโอนาร์เป็นคนของฉันนี่ ถ้านั้นมีอะไรแปลกด้วยเหรอคะ?”
ผมคิดว่าดราแคล์น่าจะไม่ค่อยเต็ม
“…” อยากจะถอนหายใจออกมาเต็มทน แต่ก็ต้องห้ามตัวเองเอาไว้ “เข้าใจแล้ว มีอะไรอีกรึเปล่าครับ”
“มีค่ะ โปรดรับสิ่งนี้ไปด้วย”
เธอมอบหน้ากากสีทองมาให้ผม ..
“นี่เป็นหน้ากากปลอมตัวเป็นเผ่าปีศาจค่ะ ผู้ที่ใส่จะถูกเปลี่ยนกลิ่นสัมผัสให้เป็น ‘เผ่าหน้ากากทองคำ’ มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง ยกเว้นกลิ่นสัมผัส และใบหน้าที่จะมีหน้ากากติดไว้ตลอดค่ะ โปรดใส่สิ่งนี้ตลอดการเดินทางด้วยนะคะ และถอดก็ต่อเมื่อไม่มีความจำเป็นแล้ว”
“ไว้ใจได้แน่เหรอครับสิ่งนี้”
“แน่นอนสิคะ เป็นสมบัติที่เก็บได้จากคลังของท่านจอมมารในอดีตเชียวนะคะ” ว่าแล้วดราแคล์ก็ใส่โชว์ “นี่ไงคะ? ปลอดภัยหายห่วง”
….
“เป็นไงบ้างคะๆๆ กลิ่นตัวฉันเหมือนเผ่าหน้ากากทองคำหรือยังล่ะคะ?”
“ไม่ทราบครับ เพราะผมไม่เคยเจอ เผ่าหน้ากากทองคำถูกบันทึกไว้ว่าสูญพันธ์ุไปตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อนแล้วด้วยครับ”
“จริงๆก็ยังมีอยู่นะคะ เพียงแต่น้อยเอามากๆ”
ในที่สุด ดราแคล์ก็ยอมถอดหน้ากากทองคำออก และยื่นมือให้ผม
“เช่นนั้นก็ฝากด้วยนะคะ ลีโอนาร์”
“..ครับ”
ผมพบว่าการพูดคุยกับดราแคล์นั้นเหนื่อยกว่าที่คิด เธอเป็นคนที่ดูสูงส่งและสง่างาม แต่กลับร่าเริงจนเกินความจำเป็น กว่าจะผละตัวออกมาได้ก็คุยเรื่องที่ไม่จำเป็นกันมหาศาล ยังไม่ทันเริ่มงานผมก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว
“ลำบากหน่อยนะคะ รับมือกับท่านดราแคล์” อานิม่าเอ่ยขึ้น “เข้าใจนะคะ ความรู้สึกของท่าน”
“…”
“แต่ว่าเธอไม่ใช่คนที่แย่ใช่มั้ยล่ะคะ?”
“…ไม่รู้เหมือนกัน”
ถึงอย่างไรผมก็เป็นผู้กล้า การญาติดีกับเผ่าปีศาจเกินความจำเป็น ..บางทีมันก็เป็นความรู้สึกแปลกๆที่ชวนให้อยากอ้วกออกมาเหมือนกัน
“แต่ว่าก็คงจะดีกว่าขุนพลจอมมารคนอื่นๆกระมังครับ”
“นั่นสินะคะ ถ้าเป็นเรื่องนั้นคงไม่จำเป็นต้องมีการดีเบต”
จริงด้วยสินะ นิสัยของขุนพลจอมมารคนอื่นๆจะเป็นอย่างไร ผมคงไม่ต้องสืบมากนัก ..ชั่วครู่หนึ่ง ผมนึกถึงหน้าของ ‘อันดาย’ ขึ้นมาได้ ขุนพลจอมมารที่ช่วงชิงทุกอย่างไปจากผม
ใช่จริงๆด้วย ผมไม่สามารถคิดว่าจะญาติดีกับดราแคล์ได้ขนาดนั้น แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ผมกล้าพูดคือ–เทียบกับอันดายแล้ว ผมไม่ได้รังเกียจเธอมากขนาดนั้น แค่อยากจะอ้วก กับปีศาจทุกคนก็เป็นเช่นนั้น เพียงแต่ผมไม่ใช่คนแสดงออกทางความรู้สึกชัดเจน แล้วก็เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือผมอยู่ในถิ่นของเผ่าปีศาจด้วย จะไปแสดงท่าทีรังเกียจชัดเจนได้อย่างไรกัน
“เช่นนั้นก็ขอให้โชคดี”
อานิม่ามาส่งผมจนถึงประตูทางออกจากปราสาท ..ผมสวมหน้ากากทองคำ เปลี่ยนกลิ่นอายเผ่าพันธ์ุของตัวเอง และออกเดิน