กงตงหนิงเป็นผู้บัญชาการกองทัพ การที่อยู่ข้างกายเขาคงจะไม่มีอันตรายอะไรหรอกกระมัง!
สืออีเหนียงถอนหายใจอย่างผ่อนคลายและยิ่งให้ความสนใจกับการรบของกองทัพฝ่ายขวามากขึ้น
หลังจากเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างผ่านพ้นไป ก็มีรายงานสงครามจากกานโจวว่ากงตงหนิงได้สังหารศัตรูไปแล้วมากกว่าหนึ่งหมื่นคนและใช้ม้าศึกที่ยึดมาได้ช่วยฝึกทหารใหม่ ทหารม้าสามพันนายเดินทางไปยังต้าถงอย่างรวดเร็ว สังหารศัตรูสองแสนคน กองทัพเผ่าตาดมองโกลอีกสองหมื่นคนหนีไปที่ด่านหุบเขาจยาอวี้ ปัญหาของโอวหยางหมิงได้รับการแก้ไข ในกลางเดือนห้าได้มีข่าวดีมาอีก กงตงหนิงเหลือทหารม้าของกองทัพซื่อชวนไว้ปกป้องกานโจว และเขาได้นำทหารม้าของกองทัพกุ้ยโจวไปที่ต้าถงด้วยตัวเองเพื่อล้อมและปราบปรามเผ่าตาดมองโกลมากกว่าสองหมื่นคน
สวีลิ่งอี๋มีสีหน้าดีใจ “สละเซวียนถงเพื่อปกป้องต้าถง ตัดลู่ทางถอยทัพของเผ่าตาดมองโกล จากนั้นก็รวมกำลังเข้ากับกองทัพของโอวหยางหมิงเข้าโจมตีเซวียนถง ไม่เพียงแต่ได้ยึดคืนพื้นที่ที่สูญเสียไป ซ้ำยังแก้ไขภัยอันตรายของเยี่ยนจิง” จากนั้นก็ตะโกนเรียกเติงฮวาเสียงดังว่า “นำป้ายชื่อไปยื่น ข้าจะเข้าวัง” น้ำเสียงแห่งความปิติยินดีดังก้องกังวาน
เขาไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้มานานมากแล้ว
สืออีเหนียงเองก็ยิ้มตามเช่นกัน “สงครามครั้งนี้มีโอกาสที่จะชนะใช่หรือไม่เจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า นั่งลงข้างเตียงแล้วพูดกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ดังนั้นข้าจึงต้องเข้าวัง โน้มน้าวให้ฮ่องเต้ปล่อยให้กงตงหนิงบัญชาการทั้งสามกองทัพ มิเช่นนั้นหากหนึ่งกองทัพมีผู้บัญชาการสองคน เมื่อถึงเวลานั้นจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน”
ในสถานการณ์เช่นนี้คาดว่าฮ่องเต้คงจะเห็นด้วยกับคำร้องของสวีลิ่งอี๋!
สืออีเหนียงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
สวีลิ่งอี๋ค่อยๆ เขี่ยเส้นผมที่ตกลงมาข้างแก้มของนางไปทัดไว้หลังใบหูพลางพูดอย่างอ่อนโยนว่า “วันนี้อากาศดี เจ้าอยากไปนั่งเล่นที่สวนหลังจวนหรือไม่”
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมานางก็ไม่สบายมาตลอด
เขารู้ว่านางป่วยใจจึงไม่ได้เชิญหมอหลวง เวลาที่นางอยากนอนก็ให้นางนอน หากไม่อยากนอนก็ปล่อยให้นางทำงานเย็บปักหรืออ่านหนังสือ ทุกอย่างล้วนปล่อยไปตามความต้องการของนาง ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้นางก็ยังคงซีดเซียวขึ้นทุกวัน
บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อก่อนมีความกดดันมากเกินไป ในเวลานี้อารมณ์ผ่อนคลายอย่างกะทันหันจึงได้รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาเล็กน้อย สืออีเหนียงนั่งพิงหมอนอิงใบใหญ่ “ข้าอยากนอนสักประเดี๋ยว!” ท่าทางเกียจคร้านไม่มีชีวิตชีวา
สวีลิ่งอี๋มองดูใบหน้าที่ซีดเซียวของนาง แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู “เช่นนั้นก็หลับสักหน่อยเถิด เรื่องในเรือนยังมีเจียงซื่อกับอิงเหนียงคอยช่วยดูแล” พูดพลางช่วยนางจัดมุมผ้าห่ม อดปลอบโยนนางไม่ได้ “ในจดหมายของกงตงหนิงยังบอกอีกว่าจิ่นเกอเฉลียวฉลาด แค่เรียนรู้ก็ทำได้เลย เมื่อทำได้ก็ชำนาญในทันที โปรดปรานเขาเป็นอย่างมาก ตอนนี้ยังให้จิ่นเกอช่วยเขาจัดการเอกสารอีกด้วย!” กลัวว่านางจะไม่รู้ถึงรายละเอียดจึงอธิบายต่ออีกว่า “สิ่งที่จิ่นเกอทำอยู่ตอนนี้เทียบได้กับมหาบัณฑิตของกระทรวงขุนนางภายใน หลังจากจัดเรียงเอกสารราชการของแต่ละหน่วยแต่ละกองทัพแล้ว ก็เอาไปให้กงตงหนิงชี้แนะ จากนั้นค่อยนำเอกสารที่กงตงหนิงชี้แนะเสร็จแล้วส่งต่อให้แต่ละหน่วยแต่ละกองทัพ ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กลับสามารถทำให้เข้าใจเรื่องเล็กใหญ่ในกองทัพ ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย ซึ่งจะช่วยเขาได้มากในอนาคต” แล้วพูดต่อไปว่า “ในเมื่อเผ่าตาดมองโกลประสบความสำเร็จในครั้งนี้ เกรงว่าในอีกไม่กี่ปีซีเป่ยคงจะไม่สงบสุขแล้ว หลังจากสงคราม กงตงหนิงน่าจะได้รับตำแหน่งรองเจ้ากรมกลาโหม ทำหน้าที่ผู้บัญชาการกองทัพฝ่ายขวาแห่งกองทัพภาคคอยคุ้มครองซีเป่ย เขาเองก็มีเจตนาเช่นเดียวกัน ต้องการให้จิ่นเกออยู่ข้างกายเพื่อฝึกฝนสักสองสามปี จากนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยมีให้เขาเผชิญสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองก็ยังไม่สาย”
ความหมายก็คือครั้งนี้จิ่นเกอไม่ต้องลงสนามรบ และไม่ต้องแย่งชิงผลงานทางทหารแล้ว ในภายภาคหน้ายังมีโอกาสอีก
“ใต้เท้ากงพิจารณาได้รอบคอบเป็นอย่างมาก” สืออีเหนียงยิ่งรู้สึกสบายใจขึ้นมาอีก แววตาของนางดูสดใสมากขึ้น
สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม “เช่นนั้นเจ้าก็รีบนอนเถิด!ตอนกลางวันตื่นมาแล้ว พวกเราก็ไปทานอาหารกลางวันด้วยกันดีหรือไม่”
สืออีเหนียงตอบเพียง “เจ้าค่ะ” พลิกตัวแล้วผล็อยหลับไปทันที
สวีลิ่งอี๋นั่งอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นเบาๆ แล้วไปที่ห้องหนังสือ
******
สืออีเหนียงหลับสนิท เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าดวงอาทิตย์อยู่ทางทิศตะวันตกแล้ว เลยเวลาอาหารกลางวันไปนานแล้ว
“ทำไมถึงไม่ปลุกข้าเล่า” นางถามเหลิ่งเซียงที่ปรนนิบัตินางเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ตอนที่ท่านโหวกำลังลังเลว่าจะปลุกท่านดีหรือไม่ ปรากฏว่ามีขันทีในวังมาบอกให้ท่านโหวเข้าวังทันที” สาวใช้น้อยถืออ่างทองแดงเข้ามา เหลิ่งเซียงเอาผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่พันรอบหน้าอกสืออีเหนียง ช่วยนางพันแขนเสื้อขึ้น “ท่านโหวก็เลยไม่ให้พวกบ่าวปลุกท่านเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงล้างหน้า “เช่นนั้นท่านโหวก็ยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ!” ขณะที่เหลิ่งเซียงกำลังพูด หันเซี่ยวก็ยกโจ๊กรังนกเข้ามา
บางทีอาจจะเป็นเพราะนอนนานเกินไป ร่างกายยังคงอ่อนแรงอยู่เล็กน้อย
สืออีเหนียงทานโจ๊กรังนก จากนั้นก็ซุกกลับเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง “ให้ห้องครัวเตรียมอาหารเอาไว้ พอท่านโหวกลับมาก็ยกอาหารมาได้เลย”
หันเซี่ยวขานรับแล้วเดินออกไป
ไม่นานสวีลิ่งอี๋ก็กลับมาจากในวัง มานั่งลงข้างๆ สืออีเหนียงโดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า “ยังนอนอยู่อีกหรือ! ทานอาหารกลางวันแล้วหรือยัง”
“ทานแล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าท่านโหวยังไม่ทันได้ทานอาหารกลางวันก็เข้าวังไปเสียแล้ว คงจะหิวมากใช่หรือไม่ ท่านรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด ข้าจะให้บรรดาสาวใช้น้อยยกอาหารเข้ามาประเดี๋ยวนี้”
เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นว่านางดูมีเรี่ยวแรง ก็ยิ้มพลางหันหลังแล้วไปที่ห้องชำระ
สืออีเหนียงกลับแอบรู้สึกแปลกๆ
เหตุใดรอยยิ้มของสวีลิ่งอี๋ถึงดูไม่เต็มใจนัก หรือว่าเรื่องที่เข้าไปในวังไม่ได้เป็นไปได้ด้วยดี
นางพลันใจเต้นระส่ำอีกครั้ง
เมื่อสวีลิ่งอี๋ทานอาหารเสร็จก็ถามเขาเสียงเบาว่า “เรื่องของกงตงหนิง ฮ่องเต้ว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ชะงักไปครู่หนึ่ง
สืออีเหนียงพูดขึ้นมาว่า “แม้ว่ามันจะทำให้ข้าเป็นกังวล แต่คำพูดของท่านโหวนั้นมีน้ำหนักและเชื่อถือได้มาตลอด หากท่านบอกข้าแล้ว ข้าก็จะได้ไม่ต้องวิตกกังวลมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินข่าวลือจากที่อื่น”
นี่เป็นการชี้นำเขาอยู่อย่างนั้นหรือ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างหมดปัญญา ต้องยอมรับว่าที่นางพูดนั้นมีเหตุผล
“ฮ่องเต้ได้ทิ้งกำลังทหารหนึ่งหมื่นนายจากกองทัพเติงโจว กองทัพหนิงไห่ กองทัพจี่หนาน กองทัพผิงซานของซานตงให้กับโอวหยางหมิง ส่วนกองทัพที่เหลือนั้นอยู่ภายใต้คำสั่งของกงตงหนิง”
สืออีเหนียงตกตะลึง ไม่นานก็เข้าใจในทันที “ฮ่องเต้ต้องการให้โอวหยางหมิงทำผลงานเพื่อชดเชยความผิดอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
“กองทัพใหญ่สี่แสนนาย สูญเสียไปสองในสามส่วน” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “มีเพียงทำผลงานทางทหารเท่านั้นอาจจะสามารถละเว้นโทษประหารของโอวหยางหมิงได้”
ฮ่องเต้ทรงปกป้องเช่นนี้ ก็ยังพูดได้เพียงว่า ‘อาจจะ’ เท่านั้น…
สืออีเหนียงรู้สึกมืดมน ทันใดนั้นก็นึกถึงฟั่นเหวยกังขึ้นมา “แล้วใต้เท้าฟั่นเล่า”
แววตาสวีลิ่งอี๋หม่นหมองลง เงียบไปนานก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “หากเขาร่วมเป็นร่วมตายอยู่ที่เซวียนถง ก็ยังพอสามารถปล่อยผ่านเรื่องในอดีตไม่เอาความได้ ตอนนี้…” ยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายหน้า
สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็ใจเต้นแรง “หรือท่านโหวจะรู้ว่าฟั่นเหวยกังอยู่ที่ใด”
สวีลิ่งอี๋เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “เขาฆ่าตัวตายแล้ว!”
สืออีเหนียงพลันรู้สึกใจหาย ผ่านไปสักพักใหญ่ถึงได้เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นได้ยินข่าวเลย”
สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเบาลงกว่าเดิม “เขาส่งผู้ติดตามที่ไว้ใจมาพบข้า ให้ข้าช่วยขอร้องกับฮ่องเต้แทนเขา หวังว่าฮ่องเต้จะไม่กล่าวโทษตระกูลของเขา”
สืออีเหนียงอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ “ฮ่องเต้องค์ใหม่ ข้าราชบริพารใหม่ หากเป็นฮ่องเต้องค์ก่อน ไม่แน่เขาอาจจะมีโอกาสนำทหารหนึ่งหมื่นนายสร้างผลงานชดใช้ความผิด!”
สวีลิ่งอี๋เองก็รู้สึกทอดถอนใจ “ดังนั้นบางครั้งข้าถึงได้คิดว่าบางทีควรจะอยู่นิ่งๆ อย่างซื่อสัตย์ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทในราชสำนัก หรือไม่ก็ต้องมีความสามารถพลิกแพลงสถานการณ์ ผ่านมาหลายราชวงศ์ก็ไม่มีวันล้ม”
สืออีเหนียงมองเขาที่มีท่าทางเป็นห่วงแว่นแคว้นและราษฎร ก่อนจะเม้มปากยิ้ม “เช่นนั้นท่านโหวผ่านมากี่ราชวงศ์แล้วหรือ”
“สามราชวงศ์!” เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นว่ายากนักที่นางจะอารมณ์ดีจึงพูดหยอกล้อนาง น้ำเสียงฟังดูภูมิใจเล็กน้อย “จากราชวงศ์เจี้ยนอู่มาหย่งเหอ แล้วก็ต่อด้วยซีหนิง ข้าก็นับว่าผ่านมาสามราชวงศ์แล้ว”
สืออีเหนียงมองไปยังผมสีดำสนิทของเขา อดหัวเราะออกมาไม่ได้
สวีลิ่งอี๋อาศัยโอกาสนี้ดึงนางเข้ามา “ลุกขึ้นเถิด เจ้าทานอะไรสักหน่อยแล้วไปคารวะท่านแม่กับข้า!”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงขานรับ ยิ้มพลางซบลงบนไหล่ของเขา
ร่างกายอ่อนนุ่มราวกับไม่มีกระดูก ยิ่งดูอ่อนโยนมากกว่าเดิม แตกต่างจากความเย็นชาในอดีต
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางหอมแก้มนาง ก่อนจะอุ้มนางไปที่เตียงเตาริมหน้าต่างแล้วช่วยนางสวมรองเท้า
นี่เป็นครั้งแรก…
สืออีเหนียงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ข้าทำเองเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋เพียงแต่มองนางด้วยรอยยิ้ม “ยกเท้าขึ้นมา!”
มีเสียงฝีเท้าของสาวใช้น้อยอยู่ข้างนอก “ท่านโหว ฮูหยิน อาหารเย็นมาแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงรีบสวมรองเท้าพลางเหลือบมองสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋กำลังยิ้ม
บรรยากาศในห้องพลันอบอุ่นขึ้นมาทันที
บรรดาบ่าวรับใช้ต่างก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เหลิ่งเซียงไปรายงานหู่พั่ว “ฮูหยินกับท่านโหวดีกันแล้วเจ้าค่ะ!”
หู่พั่วสีหน้าเย็นยะเยือก “ฮูหยินกับท่านโหวโกรธกันตั้งแต่เมื่อไร ฮูหยินเพียงแค่กังวลเรื่องของคุณชายน้อยหกเท่านั้น อย่าได้พูดจาไร้สาระ”
เหลิ่งเซียงรีบก้มหน้า “ข้าผิดไปแล้ว ไม่กล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ!”
หู่พั่วสบถออกมาอย่างพอใจ แต่สายตากลับมองไปที่ห้องหลัก เห็นสืออีเหนียงสวมชุดผ้าไหมสีเขียวทะเลสาบ สวมเสื้อกั๊กสีเหลืองนกกระเรียน ใส่ต่างหูทองคำฝังทับทิม พูดคุยหัวเราะกับสวีลิ่งอี๋เบาๆ พลางเดินออกมาพร้อมกัน
ฮูหยินไม่มีอารมณ์แต่งตัวมาหลายวัน ดูเหมือนว่าฟ้าหลังฝนคงจะสดใสขึ้นมาแล้ว!
หู่พั่วมุมปากยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว
******
เมื่อไท่ฮูหยินเห็นสืออีเหนียงก็ดีใจเช่นกัน “สีหน้าดูดีขึ้นมากแล้ว!”
สืออีเหนียงยิ้มพลางช่วยไท่ฮูหยินรินน้ำชา
“สุขภาพดีขึ้นก็ดีแล้ว!” ไท่ฮูหยินไม่ได้ดื่มชา แต่กลับหยิบผลอิงเถาในจานแก้วมาทาน “เจ้าไม่สบาย พวกเราก็ฉลองเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างได้ไม่เต็มที่” ไท่ฮูหยินพูดกับฮูหยินสองว่า “พรุ่งนี้พวกเราไปพายเรือที่ท่าน้ำหลิวฟังกันดีกว่า ปีนี้ข้ายังไม่ได้พายเรือเลย!” ท่าทางราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปาน
ไท่ฮูหยินไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไปล่องเรือก็ต้องมีป้ารับใช้ที่ร่างกายกำยำคอยดูแลอยู่ข้างกาย
ฮูหยินสองมองไปที่สืออีเหนียงราวกับขอคำแนะนำ “พรุ่งนี้พวกเราไปพายเรือกันดีหรือไม่”
“เอาสิ เอาสิ!” ไม่รอให้สืออีเหนียงพูด ฮูหยินห้าก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า “หลายวันมานี้ทุกคนต่างก็รู้สึกหดหู่ อาศัยช่วงที่อากาศดี พวกเรามาทำตัวให้มีชีวิตชีวากันเถิด!”
สืออีเหนียงกลับรู้สึกว่าอากาศร้อนเกินไป แต่ในเมื่อทุกคนอยากไป นางย่อมคล้อยตาม ยิ้มพลางรับคำแล้วให้เจียงซื่อไปจัดเตรียมเรื่องพายเรือ เมื่อถึงวันนั้นก็นั่งโบกพัดอยู่ในศาลารับลม มองดูฮูหยินสอง ฮูหยินห้า อิงเหนียง เซินเกอ เฉิงเกอ ถิงเกอ และจวงเกอพายเรืออยู่ในทะเลสาบปี้อีพลางหัวเราะสนุกสนาน
สายลมพัดโชยมา นางอดหรี่ตาลงไม่ได้
ตอนนี้กลางฤดูร้อนแล้ว ฤดูใบไม้ผลิของซีเป่ยมาช้าแต่ก็คงจะมาแล้ว ตราบใดที่ทุ่งหญ้ายังเขียวขจี ก็เป็นฤดูกาลที่ดีสำหรับปล่อยสัตว์ไปกินหญ้า หากพลาดฤดูนี้ไปก็ถือว่าพลาดปีนี้ไปด้วย กงตงหนิงก็รายงานข่าวดีมาอยู่บ่อยๆ เผ่าตาดมองโกลเหล่านั้นคงจะรีบถอยทัพกลับถิ่นที่อยู่แล้วกระมัง! เช่นนั้นสงครามครั้งนี้ก็คงจะจบลงในเร็ววัน!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สืออีเหนียงก็อารมณ์ดียิ่งขึ้นไปอีก
เจียงซื่อที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ เห็นดังนั้นก็ยิ้มพลางยกจานลายครามทรงสูงที่ใส่กระจับกับเม็ดบัวมาวาง “ท่านแม่ ทางหนานจิงส่งมา ท่านลองชิมสักหน่อยเถิด!”
สืออีเหนียงยิ้มพลางหยิบกระจับขึ้นมาชิม
เสียงโหวกเหวกโวยวายของถิงเกอกับจวงเกอดังมาจากทะเลสาบปี้อี
เซินเกอพาหลานชายทั้งสองคนพายเรือเข้าไปในพุ่มดอกบัว เด็กน้อยทั้งสองคนกำลังเก็บดอกบัวอยู่ที่นั่น
เจียงซื่อยิ้มพลางถามสืออีเหนียง “ได้ยินมาว่าใต้เท้ากงรายงานข่าวดีมาหลายครั้งติดต่อกัน คุณชายน้อยหกใกล้จะกลับมาแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เมื่ออยู่ต่อหน้าไท่ฮูหยิน ไม่มีใครกล้าพูดว่าตอนนี้กงตงหนิงรับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพฝ่ายขวาแห่งกองทัพภาคและกำลังนำกองทัพกุ้ยโจวทำศึกอยู่ที่เซวียนถง
สืออีเหนียงพยักหน้าพลางยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม “ใช่แล้ว จิ่นเกอใกล้จะกลับมาแล้ว!”