บทที่ 704 มาเพื่อเปิดโปงเรื่องจอมปลอม แต่เหมือนจะเจอของจริง!
กิเลนไฟเหินไปตามลม เปลวเพลิงสีทองแผดเผานภา ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เมฆแดง ช่างเป็นภาพที่ตระการตายิ่งนัก
หลี่จิ่วเต้าที่นั่งอยู่บนหลังกิเลนไฟ สัมผัสกับสายลมที่ปะทะกับใบหน้า หมู่เมฆโถมทับอยู่ข้างใต้ สุขอุราระคนปีติเป็นที่สุด
ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
การบินด้วยสัตว์ขี่เช่นนี้ ดีกว่านั่งอยู่ในรถลากมาก เขาสั่งให้กิเลนไฟเพิ่มความเร็วอย่างอดไม่ได้ ดื่มด่ำกับความสุขที่ได้แล่นปราดอย่างรวดเร็วในชั้นเมฆ
ท้ายที่สุดก็กลับไปด้วยความพึงพอใจ ขี่กิเลนไฟเข้าไปรวมตัวกับพวกเซี่ยเหยียน
เซี่ยเหยียนจัดการเรื่องของจ้าวจงเรียบร้อย และคนจากตระกูลจ้าวก็กลับไปกันหมดแล้ว
“ไปเถิด เราไปที่เขาเฟิ่งหวากัน…”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ยเสียงเบา บอกให้กิเลนไฟสำรวมพลังปราณ เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์
แบบนี้ไม่ดี เตะตาเกินไป
แม้ว่าการได้ขี่อยู่บนหลังกิเลนไฟนั้นสุดแสนจะองอาจมาดเท่ แต่เขามิใช่คนที่ชื่นชอบความโดดเด่น ยามร้างผู้คนพอจะขี่กิเลนไฟโต้ลมตามใจชอบได้อยู่ หากมีผู้คนพลุกพล่าน เขาชอบอยู่อย่างสงบไม่เตะตามากกว่า
ความระมัดระวังช่วยให้ชีวิตยืนยาว…
การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เป็นเรื่องง่ายยิ่งนักสำหรับกิเลนไฟ แสงสว่างกะพริบอยู่รอบตัวมัน ไม่นานนักลักษณะทางกายของมันก็เปลี่ยนไป กลายเป็นม้ามังกรตัวหนึ่ง
“เช่นนี้ดีหรือไม่คุณชาย”
กิเลนไฟถามอย่างระวัง กลัวคุณชายจะไม่พอใจ
“ดี”
หลี่จิ่วเต้าพยักหน้าน้อย ๆ
ม้ามังกรที่จำแลงจากกิเลนไฟนั้นสูงใหญ่เกรียงไกร ดูยิ่งใหญ่มาดเท่เช่นเดียวกัน
ทว่าเทียบกับร่างกิเลนไฟก่อนหน้านี้ รูปลักษณ์ของม้ามังกรดูลดความโดดเด่นลงมาก ตรงใจยิ่ง เขาพึงพอใจในม้ามังกรเช่นนี้สุด ๆ
“ไปกันเถิด”
ชายหนุ่มขี่อยู่บนหลังกิเลนไฟ ส่วนฉินหวายเฟิงยังคงขี่กระบี่ต่อไป มุ่งหน้าไปยังเขาเฟิ่งหวาพร้อมกับรถลากเก้าอสูร
ระหว่างนั้น ฉินหวายเฟิงรู้สึกสะท้อนใจเหลือแสน
เขาช่างโชคดีเสียนี่กระไร ถึงได้พานพบผู้ยิ่งใหญ่เช่นหลี่จิ่วเต้า มิหนำซ้ำ ผู้ยิ่งใหญ่ระดับหลี่จิ่วเต้ายังไม่วางมาดสักนิด มีสัมพันธ์ไมตรีดียิ่งนัก
สัตว์อสูรทั้งเก้าก็สะท้อนใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน
เพียงแต่พวกมันรู้สึกอิจฉามากกว่า อิจฉากิเลนไฟที่ได้เป็นสัตว์ขี่ของคุณชาย พวกมันสู้มิได้เลย ต่างกันมากนัก พวกมันเป็นเพียงสัตว์ลากรถเท่านั้น
‘ไม่เห็นต้องคิดเช่นนี้ นึกถึงพวกเราในอดีตสิ เราในตอนนี้ดีกว่าสมัยนั้นมากแล้ว’
พวกมันเลิกคิดฟุ้งซ่าน ลากรถแล้วอย่างไร เป็นเกียรติยศสูงสุดเช่นเดียวกัน สัตว์อสูรตั้งมากตั้งมายไม่มีสิทธิ์ได้ลากรถด้วยซ้ำ
ด้านเขาเฟิ่งหวาคึกคักไม่แพ้กัน พวกเขาใกล้จะถึงที่นั่นแล้ว จำนวนผู้ฝึกตนที่ได้พบก็มากขึ้นเรื่อย ๆ
ถึงแม้ม้ามังกรที่จำแลงกายจากกิเลนไฟจะดูมาดเท่เกรียงไกร กระนั้นก็แค่ดูเหมือน กิเลนไฟสำรวมพลังปราณ มิได้ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งเท่าใด
และสัตว์อสูรที่ดูมาดเท่เกรียงไกรนั้นมีอยู่คณานับ สิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนทั้งหลายจึงมิได้ใส่ใจ แค่ปรายตามองแวบเดียวก็เบนสายตากลับ ไม่นึกสนใจอีก
“ดี…”
หลี่จิ่วเต้าพึงพอใจในสถานการณ์เช่นนี้มาก
โดดเด่นเกินไป ง่ายต่อการทำให้ผู้อื่นตาร้อน เช่นนั้นคงมิใช่เรื่องดี
ผ่านไประยะหนึ่ง พวกเขาก็มาถึงเขาเฟิ่งหวา เขาเฟิ่งหวาในตอนนี้มีผู้คนอยู่เนืองแน่น ทั้งบนฟ้า บนดิน ล้วนเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตฝึกตน
นางเซียนงามพิลาสที่จู่ ๆ มาปรากฏตัวบนเขาเฟิ่งหวาผู้นี้ระบือนามอย่างยิ่งยวด
เล่ากันว่า นางเคยเทศนาหลักเต๋าครั้งหนึ่ง เป็นผลให้มีแสงเซียนเจิดจรัสสาดส่องลงมา ซ้ำยังมีนิมิตเซียนเผยออกมาอีกคณานับ บรรดาสิ่งมีชีวิตที่เคยได้ยินการเทศนาหลักเต๋าของนางเซียนงามพิลาสผู้นี้ในครานั้น ต่างรู้แจ้งเห็นจริง ขอบเขตพลังยกระดับขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง!
ลือกันว่า ท่านผู้นั้นคือนางเซียนอย่างแท้จริง!
“มีของอยู่บ้างจริง ๆ แฮะ…”
ลั่วสุ่ยทอดมองเขาเฟิ่งหวา คิ้วขมวดเล็กน้อย เขาเฟิ่งหวานี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ กระทั่งตัวนางยังมองไม่ออก เนื่องด้วยมีพลังบางอย่างไหลเวียน นางจึงส่องไม่เห็นสถานการณ์ภายใน
เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของนางจริง ๆ นางเป็นถึงราชันแห่งเซียน ดึงพลังทั้งหมดที่มีออกมาเพื่อมองยังมิได้ ภายในเขาเฟิ่งหวามีสิ่งใดอยู่กันแน่?
เขาเฟิ่งหวาทอดตัวสลับสูงต่ำ ตัวภูเขาดูเหมือนวิหคเพลิงสยายปีก แสงเซียนทะลักออกมาเป็นครั้งคราว ดูสูงส่งไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
โฮกกก!
เสียงพยัคฆ์คำรามดังสะท้อนในปฐพี ห้วงมิติผืนนี้สะเทือนเลือนลั่น ฟ้าดินหม่นหมองลงในบัดดล ผู้คนแหงนหน้ามอง ก็เห็นพยัคฆ์ดำตัวหนึ่งเหินฝ่าเข้ามา บดบังดวงอาทิตย์บนนภา!
พยัคฆ์ดำตัวนี้ดุดันน่าเกรงขามเป็นที่สุด ยามมาถึงที่นี่ ยิ่งชวนให้อกสั่นขวัญผวา ขนลุกไปทั้งร่าง ตัวสั่นสะท้าน!
“นี่คือจักรพรรดิพยัคฆ์ตนนั้นนี่!”
“ยอดฝีมือแห่งเผ่าพยัคฆ์เงาดำ!”
สิ่งมีชีวิตทั้งหลายทราบภูมิหลังของพยัคฆ์ดำตัวนี้
เผ่าพยัคฆ์เงาดำ เป็นเผ่าพันธุ์ที่น่าพรั่นพรึงเทียบเท่ายอดนิกาย หลังจากยอดนิกายทยอยปรากฏตัวออกมา เผ่าอสูรร้ายอย่างพยัคฆ์เงาดำก็พากันก้าวออกมาเป็นที่รู้จักของผู้คนในใต้หล้าเช่นกัน
โดยเฉพาะจักรพรรดิพยัคฆ์ผู้นี้ ปรากฏตัวให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง จักรพรรดิพยัคฆ์ชิงชังความชั่วช้าเป็นที่สุด ทำความดีในอาณาจักรแห่งนี้เอาไว้มาก สังหารคนเลวไปนับคณา!
“แสร้งทำผีหลอกเจ้าอยู่ได้ นางเซียนจากแห่งหนใดกัน เซียนนั้นมิเคยมีผู้ใดพบเห็น ดำรงอยู่จริงหรือไม่ยังไม่รู้! ขอข้าดูโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าหน่อยเถิด ดูว่าเจ้ากำลังวางแผนร้ายอันใด!”
พยัคฆ์ดำนัยน์ตาเย็นยะเยือก มองว่านางเซียนงามพิลาสอะไรนั่นในเขาเฟิ่งหวาคงมีแผนการบางอย่าง มันตั้งใจจะเปิดโปงกลอุบายของนางเซียนที่ว่านี้!
บารมีจักรพรรดิแผ่ขยาย ทั่วร่างของมันส่องแสงสว่าง ขณะกระโจนตัวบุกไปทางเขาเฟิ่งหวา
สิ่งมีชีวิตด้านเขาเฟิ่งหวาตื่นเต้นกันหมด พวกเขาก็อยากรู้เหลือเกินว่านางเซียนงามพิลาสในเขาเฟิ่งหวาผู้นี้จะใช่เซียนตัวจริงหรือไม่
พยัคฆ์ดำดุดันถึงขีดสุด คลื่นพลังมหาศาลโถมทับ มันอ้าปากคลายอสนีบาตออกมา หมายจะไล่ต้อนให้นางเซียนงามพิลาสแห่งเขาเฟิ่งหวายอมเผยตัว!
ฟึ่บ!
เวลานั้นเอง ร่าง ๆ หนึ่งเหินออกจากเขาเฟิ่งหวา เนื้อตัวเปล่งประกายระยิบระยับ เจ้าของร่างเป็นสตรีนางหนึ่ง ดูแล้วอายุยังไม่มากเท่าใด ราว ๆ ยี่สิบกว่าเท่านั้น
นางยกมือเล็กน้อย แสงนวลก้อนหนึ่งลอยออกไป ลบล้างอสนีบาตที่พยัคฆ์ดำคลายออกมาได้ในบัดดล
“เจ้าน่ะหรือ นางเซียนผู้นั้น”
ม่านตาพยัคฆ์ดำหรี่ลง ตะลึงในใจ สตรีนางนี้ลบล้างอสนีบาตที่มันคลายออกจากปากได้ง่าย ๆ ไม่ธรรมดาจริง ๆ!
มันแผ่ประสาทสัมผัสจักรพรรดิออกไป เพื่อจับขอบเขตพลังของสตรีนางนี้ สุดท้ายมันก็ต้องตะลึง!
เมื่อมันจับสัมผัสขอบเขตพลังของสตรีนางนี้ด้วยประสาทสัมผัสจักรพรรดิ มันก็รู้สึกได้เพียงความกว้างใหญ่ไพศาล ขอบเขตพลังของสตรีนางนี้เหนือกว่ามันมาก มันจึงไม่อาจรับรู้ขอบเขตพลังที่แท้จริงของสตรีนางนี้ได้!
“เปล่า!”
สตรีนางนั้นยิ้มเบาบาง “ข้ามิใช่นางเซียน ข้าเป็นเพียงสาวใช้นางหนึ่งข้างกายนางเซียนเท่านั้น”
“หืม!?”
พยัคฆ์ดำคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าสตรีที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้จะเป็นเพียงสาวใช้นางหนึ่ง?!
หรือว่าในเขาเฟิ่งหวาจะมีเซียนอยู่จริง ๆ!?
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!”
มันหัวเราะเสียงเย็น ยังทำใจเชื่อไม่ลง คิดว่าสาวใช้ตรงหน้ากำลังพูดจาเหลวไหล เป็นไปได้ว่าสาวใช้ผู้นี้ก็คือสตรีงามพิลาสนางนั้นในเขาเฟิ่งหวา หากแต่จงใจเอ่ยว่าตัวเองเป็นสาวใช้ เพื่อยกระดับฐานะ
เสียงดังตู้ม มันลงมืออีกครั้ง ระเบิดพลังทั้งหมดในกาย หวดกรงเล็บข้างหนึ่งไปหาสตรีนางนั้น!
แม้ว่าประสาทสัมผัสจักรพรรดิของมันรู้สึกว่าสตรีผู้นี้ลึกล้ำเกินหยั่ง กระนั้นสิ่งเหล่านี้ก็ตบตากันได้ อย่างเช่นอาศัยฤทธิ์เดชของศาสตราทรงพลังบางอย่างก็สามารถทำเช่นนี้ได้
มันไม่ยอมโดนหลอกเอาง่าย ๆ อยากเห็นว่าสตรีนางนี้แท้จริงแล้วแข็งแกร่งเพียงใด!
“เหตุใดถึงเป็นไปไม่ได้เล่า”
สตรีนางนั้นหัวเราะเบา ๆ สีหน้าราบเรียบ “ก่อนได้พบนางเซียน ข้าเองก็ไม่เชื่อ หลังได้พบนางเซียน ข้าถึงได้รู้ว่าข้าในอดีตสายตาคับแคบเพียงใด! ข้าไม่โทษท่าน เพราะท่านก็เป็นเหมือนข้าในตอนนั้น”
นางกล่าวต่อ “เซียนท่านหนึ่งหรือ? หาใช่เช่นนั้นไม่! เซียนยังมิอาจใช้นิยามนางเซียนได้เลย! นางเซียนอาจแกร่งกล้ายิ่งกว่าเซียนเสียอีก!”
จากนั้น นางก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะสะบัดเบา ๆ พลังบางอย่างซัดสาดจนพยัคฆ์ดำกระเด็นออกไปทันที!
เห็นได้ชัดว่า สตรีนางนั้นมิได้ต้องการลงมือปลิดชีพ นางเพียงกระแทกพยัคฆ์ดำให้ออกไปเท่านั้น มิได้ทำร้ายพยัคฆ์ดำแต่อย่างใด
สีหน้าพยัคฆ์ดำเปลี่ยนไป นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ
บัดนี้ ไม่เหลืออันใดให้สงสัยอีก พลังที่แท้จริงของสตรีผู้นี้ลึกล้ำเกินหยั่งอย่างที่ประสาทสัมผัสจักรพรรดิของมันรับรู้จริง ๆ!
มันยังสัมผัสถึงจังหวะแห่งเต๋าระดับเทียนตี้ระหว่างที่นางลงมือได้บาง ๆ!
สตรีนางนี้เป็นเทียนตี้ตนหนึ่งอย่างนั้นหรือ?!
มันไม่อาจเชื่อได้เลย!
ต้องรู้ว่า เทียนตี้เป็นจุดสูงสุดของการฝึกตนในปฐพีนี้ ไฉนเลยจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ แม้แต่เผ่าของมันจวบจนบัดนี้ก็ยังมิมีเลยสักผู้ รวมถึงยอดนิกาย ยอดเผ่าอื่น ๆ ด้วย สตรีผู้นี้เป็นใครกันแน่!?
ชั่วขณะนั้น มันว้าวุ่นใจอย่างยิ่งยวด สิ่งที่เกิดขึ้นเหนือกว่าความคาดหมายของมันไปมาก!
หนนี้ มันมาเพื่อเปิดโปงเรื่องจอมปลอม แต่เหมือนจะเจอของจริงเข้าแล้ว!