บทที่ 196 : รักษาท่าน (3)
ไป๋หยานนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยถามออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า “แล้วอ๋องคังล่ะอยู่ที่ใด ?”
”อ๋องคัง…ภายหลังจากขนย้ายข้าวของเข้ามาเรียบร้อยแล้ว เขาก็ออกไปอีกขอรับ” ผู้คุ้มกันมองหน้าไป๋หยานพลางกล่าวรายงานด้วยความระมัดระวัง
ไป๋หยานตอบอย่างหงุดหงิดทว่ายังคงยิ้ม “อ๋องคังทำราวกับจะมาอยู่บ้านข้านาน อย่างไรเสีย ทันทีที่ตำหนักใหม่ของเขาสร้างเสร็จ ก็ให้เขาเก็บของกลับไปซะ !”
ไป๋หยานมองโลกในแง่ดีเกินไปคนอย่างตี้คัง เมื่อเข้ามาแล้ว ก็ยากที่จะขับไล่ไสส่ง…
พลังฉีในร่างของไป๋จั่นเผิงคงไม่อาจแก้ไขได้รวดเร็วนักเช่นนั้นไป๋หยานจึงเปิดหนังสือขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็อ่านเงียบ ๆ โดยไม่สนใจชายชราที่กำลังรออยู่….
ส่วนชายชราก็ยังคงอยู่ในอารมณ์โกรธหากแต่ก็ไม่กล้าแสดงออกอย่างไรเสีย ชีวิตของนายน้อยก็ตกอยู่ในกำมือของนาง เขาจึงทำได้เพียงยืนรอที่ลานบ้านอย่างเงียบ ๆ
*****
บนถนนในเมืองหลวง
บริเวณหน้าแผงลอยขายขนมหวังเสี่ยวผางกำลังกินของว่างอย่างมูมมาม กระทั่งเกือบจะกลืนชามทั้งชามที่อยู่ตรงหน้าแล้ว
“ข้าไม่คาดคิดเลยว่าในเมืองหลวงจะมีของอร่อย ๆ แบบนี้ มันอร่อยยิ่งกว่าอาหารในภัตตาคารใหญ่ ๆ นั่นซะอีก !” เขาเลียริมฝีปาก พร้อมกับมองไป๋เสี่ยวเฉินที่อยู่ต่อหน้าเขา “ไป๋เสี่ยวเฉิน ไยเจ้าไม่แนะนำเพื่อนใหม่ของเจ้าบ้างล่ะ ? ”
เดิมทีหนานกงซุ่นก็กำลังประหลาดใจกับความสามารถในการกินของหวังเสี่ยวผาง แต่ครั้นได้ยินถ้อยคำถามนั้น ร่างเล็ก ๆ ของหนานกงซุ่นพลันแข็งทื่ออย่างรวดเร็ว เขารีบก้มหัวลง
“เขามีชื่อว่าหนานกงซุ่น” ไป๋เสี่ยวเฉินชี้ไปที่หนานกงซุ่น “เขาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของข้า ผู้ใดก็รังแกเขาไม่ได้ทั้งนั้น ! ”
พร้อมกันนั้นไป๋เสี่ยวเฉินก็เชิดหน้าเล็กๆ ของเขาขึ้นอย่างภาคภูมิใจ น้ำเสียงของเขาฟังดูหยิ่งยโส
”ลูกพี่ของเจ้าก็เป็นลูกพี่ของข้าด้วย!” หวังเสี่ยวผางลุกขึ้นจากเก้าอี้ พร้อมกับยกมือที่อุดมไปด้วยไขมันของเขาขึ้นตบไหล่ของหนานกงซุ่น “ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่เจ้ามีข้า มีเสี่ยวเฉิน หากมีใครกล้ารังแกเจ้า พวกเราจะจัดการมันเอง !”
ทันใดนั้นเองไป๋เสี่ยวเฉินก็ชี้นิ้วไปด้านหลัง “หวังเสี่ยวผางโอกาสของเจ้ามาถึงแล้ว เจ้าเห็นเด็กอ้วน ๆ คนนั้นหรือไม่ ? หลายปีที่ผ่านมานี่ เขาคอยรังแกหนานกงซุ่น”
หวังเสี่ยวผางมองตามนิ้วมือของไป๋เสี่ยวเฉินเขาเห็นก้อนไขมันน้อยเดินมาบนถนน พร้อมด้วยกับกลุ่มองครักษ์เป็นจำนวนมาก
ในโลกนี้ยังมีคนที่อ้วนกว่าข้าอีก!” หวังเสี่ยวผางพับแขนเสื้อขึ้นทันที “แค่อ้วนกว่าข้าก็มากพอแล้ว นี่ยังกล้ากลั่นแกล้งรังแกเพื่อนของข้าอีก เจ้าสองคนคอยดู ข้าจะตีเขาให้ฟันร่วงเลย !”
พูดจบหวังเสี่ยผางก็พุ่งตัวเข้าหาหนานกงหลินรวดเร็วราวกับลูกบอลกลิ้ง
”ไปกันเถอะเราไปดูกัน” ไป๋เสี่ยวเฉินดึงตัวหนานกงซุ่นให้ลุกขึ้นยืน นัยน์ตาของเขาแวววาวอย่างพึงใจ
หนานกงซุ่นนิ่งอึ้งเขาขมวดคิ้ว “จะดีเหรอ ?”
เขาไม่ได้กลัวหนานกงหลินเพราะตอนนี้ไทเฮาคอยดูแลปกป้องเขา เช่นนั้นเขาจึงไม่ต้องกลัวอะไรอีก แม้เขาจะหวั่น ๆ ว่า หนานกงหลินจะหาโอกาสแก้แค้นเขาอยู่บ้างก็ตามที !
แต่ด้วยนิสัยของหนานกงหลินเขาเกรงว่าหวังเสี่ยวผางจะเดือดร้อน เพราะเขาล่ะมากกว่า…
ขณะที่หนานกงซุ่นกำลังสับสนอยู่นั้นหวังเสี่ยวผางก็พุ่งเข้าถึงเป้าหมาย เขาเหวี่ยงหนานกงหลินลงบนพื้น จากนั้นก็ประเคนกำปั้นใส่หนานกงหลินอย่างดุเดือด
”พระนัดดา!”
ทหารองครักษ์หน้าเสียพวกเขาพยายามที่จะเข้าไปหยุดหวังเสี่ยวผาง หากแต่ไป๋เสี่ยวเฉินกลับโผล่ออกมาขวางทางไว้
“เรื่องของเด็กทะเลาะกันผู้ใหญ่ไม่เกี่ยว การยุ่งเรื่องของเด็ก เป็นเรื่องน่าละอายมาก”
ไป๋เสี่ยวเฉินเงยหน้าขึ้นกล่าวราวกับเขาไม่ใช่เด็กอายุ 5 ขวบ
***จบบทรักษาท่าน (3)***
บทที่ 197 : ราชาน้อย (1)
”เจ้ามาจากที่ใดกันนี่? หลีกไปซะ !” องครักษ์ดึงดาบออกมาอย่างว่องไวพลางกวัดแกว่งใส่ไป๋เสี่ยวเฉิน
ไป๋เสี่ยวเฉินเพียงเอียงศีรษะหลบอย่างรวดเร็วเขาบุ้ยปากด้วยท่าทางไม่พอใจ “หม่ามี้ บอกว่า ข้าจะต้องไม่ต่อสู้กับคนธรรมดา ๆ เช่นนั้นข้าจะไม่ต่อสู้กับพวกเจ้า
แต่ถึงข้าไม่สู้กับพวกเจ้าทว่า… ” ไป๋เสี่ยวเฉินเอียงคอพร้อมกับยิ้มอย่างไร้เดียงสา “ข้ามีตัวช่วย…”
เขายื่นนิ้วน้อยๆ ใส่ปากจากนั้นก็เป่า ทันใดนั้นเอง ฝูงจิ้งจอกอัคคีก็พุ่งเข้ามาบนถนน พวกมันถลันเข้าหาบรรดาองครักษ์
“แฮ่กๆ” หวังเสี่ยวผางกำลังหอบ เขาต่อยหนานกงหลินผู้ซึ่งนอนอยู่ใต้ร่างตนอย่างดุดัน ครั้นได้ยินเสียงเป่าปากเขาพลันลุกขึ้น พร้อมกับมองไปที่ฝูงจิ้งจอกอัคคีที่อยู่ด้านหน้าไป๋เสี่ยวเฉิน “ไป๋เสี่ยวเฉิน เจ้ามีสุนัขจิ้งจอกมากมายจริง ๆ ”
”หม่ามี้บอกข้าว่าน้าเสี่ยวหยุนต้องการจะเลี้ยงจิ้งจอก ข้าเลยไปหาพวกมันมาให้น้าเสี่ยวหยุนเลือก จิ้งจอกพวกนี้ก็อาศัยอยู่แถว ๆ นี้แหละ ข้าเลยเรียกพวกมันมาได้อย่างรวดเร็ว”
ไม่ใช่แค่รวดเร็วล่ะมั้ง?
คือเรียกปุ๊บมาปั๊บราวกับเทพเซียนสั่งมากกว่า!
หวังเสี่ยวผางอ้าปากค้างจนหุบไม่ลงดวงตาที่หยี ๆ ของเขาแวววาวระยิบระยับด้วยความอยากได้ “ไป๋เสี่ยวเฉิน เราก็เป็นเพื่อนกันมานานแล้วใช่มั้ย ? เจ้าให้ข้าสักตัวได้รึไม่ ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินนิ่งคิดอยู่เพียงครู่ก่อนจะส่ายศีรษะพลางกล่าว”ไม่ได้ ต้องให้น้าเสี่ยวหยุนเลือกก่อน ถึงจะถึงตาเจ้า”
หวังเสี่ยวผางหัวเราะใบหน้ากลมอุดมไปด้วยไขมันบานแฉ่งราวกับดอกไม้ “ไม่เป็นไร ต่อไปเจ้าก็ต้องเป็นลูกพี่ของข้า ข้าก็เป็นลูกน้องของเจ้า ข้าแค่ขอเจ้าอย่างเดียว ช่วยหาจิ้งจอกตัวเมียให้ข้านะ ! ”
”ทำไมต้องเป็นจิ้งจอกตัวเมียด้วย”
”ก็ท่านพ่อของข้าบอกว่าข้าทั้งอ้วนทั้งงี่เง่า ในวันหน้าข้าไม่มีทางหาภรรยาได้แน่ เช่นนั้นข้าจึงคิดว่า ข้าจะเลี้ยงจิ้งจอกตัวเมียแล้วแต่งงานกับมันตอนข้าโตไง”
ครั้นบรรดาจิ้งจอกที่รายล้อมรอบไป๋เสี่ยวเฉินได้ยินคำพูดชวนขนหัวลุกของหวังเสี่ยวผางพวกมันต่างก็รีบถอยหลัง พวกมันพร้อมใจกันมองไป๋เสี่ยวเฉินด้วยแววตาน่าสงสาร
“หวังเสี่ยวผางเจ้าทำให้จิ้งจอกของข้ากลัวจนลนลานไปหมดแล้ว !” ไป๋เสี่ยวเฉินเท้าสะเอวพลางจ้องมองหวังเสี่ยวผางด้วยนัยน์ตาวาวอย่างดุ ๆ จากนั้นก็หันไปมองหนานกงซุ่น “เจ้าจะเลือกสักตัวด้วยมั้ยล่ะ ?”
หนานกงซุ่นเม้มปากก่อนจะตอบว่า”ข้าขอเป็นเสือแทนได้มั้ย ?
”ทำไมล่ะ?” ไป๋เสี่ยวเฉินถามอย่างแปลกใจ
นัยน์ตาของหนานกงซุ่นเปล่งประกายสดใส”เสือเปรียบดั่งราชาของสรรพสัตว์ ข้าเองก็อยากจะเป็นราชาเช่นกัน !”
ไป๋เสี่ยวเฉินหน้าง้ำ”ผู้ใดบอกเจ้าว่า เสือเป็นราชาของสรรพสัตว์ ?”
เช่นนั้นจะเอาจิ้งจอกไปไว้ไหนล่ะ?
ดูอย่างเสี่ยวมี่ลูกแมวหน้าโง่ของบ้านข้าสิไม่เห็นจะทำอะไรได้นอกจากกดขี่ข่มเหงข้าก็เท่านั้น
ไม่สิมันยอมจำนนก็แค่อาหารอร่อย ๆ ฝีมือหม่ามี้ของข้าเท่านั้น !
แน่นอนว่าจิ้งจอกย่อมแข็งแกร่งกว่าเสือ ! ผู้ใดที่บอกว่าไม่ใช่จิ้งจอก ให้รีบเปลี่ยนความคิดโดยไวเลยนะ
”ก็ในหนังสือมันเขียนไว้เช่นนั้นนี่?” หนานกงซุ่นเกาหัวอย่างสับสน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเพื่อนของเขาถึงได้หงุดหงิดมาก “ข้าผิดตรงไหน ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินเหลือบตามอง”ข้าเรียกเสือมาให้เจ้าก็ได้ แต่…จากนี้ไปเจ้าต้องบอกว่าเสือด้อยกว่าจิ้งจอก !”
หนานกงซุ่นพยักหน้ารับอย่างจริงจังเขามีความสุขมากกับข้อตกลง “ข้าสัญญาว่า นับจากนี้ไป ข้าจะพูดว่าจิ้งจอกแข็งแกร่งกว่าเสือ”
ไป๋เสี่ยวเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ”เจ้าพูดถูกแล้ว ไม่ว่าจะ เสือ สิงห์ มังกร หรือหงส์ เมื่ออยู่ต่อหน้าจิ้งจอก ก็ต้องยอมศิโรราบ !”
”ขอรับลูกพี่” หนานกงซุ่นยืดตัวตรง
เสี่ยวเฉินจริงจังถึงเพียงนี้เขาต้องพูดจริงอย่างแน่นอน
”ลูกพี่คืออะไร”ไป๋เสี่ยวเฉินกระพริบตาปริบ ๆ อย่างไร้เดียงสา ข้าเป็นลูกพี่ตั้งแต่เมื่อใด
***จบบทราชาน้อย (1)***
บทที่ 198 : ราชาน้อย (2)
“ก็หวังเสี่ยวผางไม่ได้บอกว่าเมื่อเจ้าให้สัตว์อสูรแก่เราเจ้าก็จะเป็นลูกพี่เราหรอกหรือ?” หนานกงซุ่นกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ระบายเต็มหน้า “และข้าคิดว่าการเป็นลูกน้องของเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร”
ไป๋เสี่ยวเฉินเชิดคางพลางตบไหล่หวังเสี่ยวผางกับหนานกงซุ่นอย่างภาคภูมิใจ เขากล่าวโอ้อวดว่า “ติดตามข้า ไม่ต้องห่วงว่าจะอดกินเนื้อ !”
ครั้นหวังเสี่ยวผางเห็นไป๋เสี่ยวเฉินพยายามหลอกล่อหนานกงซุ่นให้มั่นใจในตัวเขาเด็กอ้วนก็รู้สึกเซ็ง เขานั่งลงพร้อมกับหายใจเข้าหนัก ๆ “ข้าเหนื่อยแล้ว อยากพักบ้าง”
ฟุ่บ!
เนื่องจากตอนที่เขานั่งเขาทิ้งน้ำหนักลงบนหน้าอกของหนานกงหลิน ก้อนไขมันน้อยเลยกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ก่อนที่จะหมดสติ
“นี่ก็จะค่ำแล้วหม่ามี้กำลังรอข้ากลับไปกินอาหารเย็น ข้าต้องกลับก่อนล่ะ” ไป๋เสี่ยวเฉินกล่าว เขามองหนานกงซุ่นด้วยสายตาครุ่นคิด จากนั้นก็พยายามชักชวนหนานกงซุ่นไปกับเขา “หากเจ้ากลับวังตอนนี้ ข้าแน่ใจเลยว่า คนเลวพวกนั้นจะต้องรังแกเจ้าอีกโดยที่เสด็จยายทวดไทเฮาไม่รู้ไม่เห็น ทำไมเจ้าไม่ไปบ้านกับข้าก่อนล่ะ ?
หนานกงซุ่นพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม”ข้าเชื่อคำเจ้า”
หวังเสี่ยวผางเหลือบตามองบนหนานกงซุ่นนี่หลอกง่ายจริง ๆ แค่คำพูดของไป๋เสี่ยวเฉินก็สามารถหลอกเขาไปบ้านได้แล้ว
”เฮ้! เจ้าเด็กนี่ เจ้ากล้าดียังไงมาหลับต่อหน้าหวังเสี่ยวผาง !”
หวังเสี่ยวผางเหมือนได้พักเพียงพอแล้วเขาลุกขึ้นจากร่างของหนานกงหลิน จากนั้นก็ตบหน้าก้อนไขมันน้อย เพื่อปลุกก้อนไขมันน้อยจากอาการกึ่งเป็นกึ่งตาย
หนานกงหลินแทบจะร้องไห้โฮเขาไม่ได้หลับ เขาสลบ…
”ข้าเตือนเจ้าแล้วไงหนานกงซุ่นอยู่ภายใต้การคุ้มครองของข้า หากเจ้ากล้ารังแกเขาอีก ข้าจะส่งคนไปลากเจ้าไปทิ้งในที่ ๆ ไม่มีคน จากนั้นก็ให้ผู้ชายหลายคนไปรุมกดเจ้า !”
หวังเสี่ยวผางเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจเขาเคยได้ยินพวกกุ๊ยข่มขู่ผู้หญิงแบบนี้มาก่อน ไม่คาดคิดเลยว่าวันนี้เขาจะได้เอามาใช้บ้าง
“ข้า…เสด็จพ่อของข้าคือองค์รัชทายาทนะ!” หนานกงหลินร้องไห้ตัวสั่น
หวังเสี่ยวผางเงื้อมือขึ้นตั้งท่าจะตบอีก”รัชทายาทคือใคร ?”
”เสด็จพ่อของข้า… ”
เพี้ยะ!
ตบอีก!
”พูดอีกทีสิ!”
”พ่อจ๋า… ”
แล้วหวังเสี่ยวผางก็ทิ้งร่างของหนานกงหลิน”อา… ลูกรักของข้า”
หนานกงหลินน้ำตาไหลพรากเขาไม่เคยถูกดูหมิ่น หรือถูกรังแกมาก่อนเลยในชีวิต
”ไป๋เสี่ยวเฉินไปกันเถอะ”
หวังเสี่ยวผางปัดมือสองสามทีก่อนจะหันหลังกลับหมายจะเดินจากไป แต่ครั้นก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดชะงัก ใบหน้ากระตุก “เขาบอกว่าบิดาของเขาคือใครนะ”
”องค์รัชทายาท”ไป๋เสี่ยวเฉินเมตตาตอบให้
ทันใดนั้นเองหวังเสี่ยวผางก็ร้องไห้ออกมาทันที “ข้าตายแน่ !”
“ไม่ต้องกังวลตราบใดที่ข้ายังอยู่ บิดาของเขาไม่สามารถทำอะไรเจ้าทั้งสองคนได้แน่” ไป๋เสี่ยวเฉินตบอกพร้อมกล่าวยืนยัน
หวังเสี่ยวผางเช็ดน้ำตา“ไม่ใช่เรื่องนั้น แต่บิดาของข้าต้องฆ่าข้าแน่หากเขารู้ว่าข้าทำอะไรลงไป”
บิดาของเขาเตือนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าห้ามเขาไปก่อเรื่องข้างนอก แต่เขากลับทุบตีองค์ชายราชบุตรของรัชทายาท หากเรื่องนี้รู้ถึงหูบิดาของเขา บิดาเขาต้องฆ่าเขาแน่ ๆ
“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง…”ครั้นเห็นท่าทีน่าสมเพชของหวังเสี่ยวผาง หนานกงซุ่นก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความรับผิดชอบ
”ไม่มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า” หวังเสี่ยวผางส่ายหัว “อย่างมากข้าก็แค่โดนตี ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่เด็กเลวนั่นกล้ารังแกน้องของหวังเสี่ยวผาง เช่นนั้นเขาสมควรโดนทุบ !”
ต่อให้เขารู้ว่าเด็กอ้วนนั่นเป็นใครและบิดาของเด็กนั่นเป็นถึงองค์ชายรัชทายาทก็ตามที อย่างไรเสียเขาก็จะทุบตีเด็กนั่นอยู่ดี
”เอาน่าพวกเจ้ากลับบ้านกันก่อนเถอะ” หวังเสี่ยวผางโบกมือไล่เพื่อนทั้งสองคน ใบหน้าของเขาแลดูขมขื่นเล็กน้อย
ไป๋เสี่ยวเฉินก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย”ข้าอยู่ข้างบ้านเจ้า หากบิดาของเจ้าจะตีเจ้า เจ้าก็เรียกข้า ข้าจะรีบไปช่วยทันที”
***จบบทราชาน้อย (2)***
บทที่ 199 : นี่คือบิดาของข้าจริง ๆ หรือ ?
”อย่ากังวลเลยลูกพี่”
หวังเสี่ยวผางตบบ่าไป๋เสี่ยวเฉินจากนั้นก็เดินตรงไปตามทางที่นำไปสู่บ้านสกุลหวังอย่างทำใจ
แต่ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในบ้านมืออันทรงพลังของใครคนหนึ่งก็ยื่นออกมาคว้าหูเขาไว้ “เจ้าเด็กเหลือขอ บอกข้ามาสิว่า วันนี้เจ้าไปก่อเรื่องใดมา ?
”ท่านพ่อปล่อยหูข้า !” หวังเสี่ยวผางร้องขอความเมตตา “ข้าไม่ได้ก่อเรื่อง ข้าไม่ได้ทำอะไรจริง ๆ !”
”ไม่ได้ก่อเรื่องเช่นนั้นเจ้าไปทุบตีองค์ชายน้อยของรัชทายาทด้วยเหตุใด ?” หวังตี้จวินตะคอกใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
หวังเสี่ยวผางอยากร้องไห้ข่าวสารช่างแพร่สะพัดเร็วเหลือเกิน เหตุใดบิดาของเขาถึงได้รู้ข่าวรวดเร็วเช่นนี้หนอ ?
“ท่านพ่อก็เด็กเลวนั่นทำเกินไปจริง ๆ นี่นา เขาชอบรังแกคนอื่นก่อน ที่ข้าทุบตีเขาเพราะข้าทนดูไม่ไหว” หวังเสี่ยวผางกล่าวอย่างสำนึกผิด “นอกจากนี้ ไป๋เสี่ยวเฉินก็ร่วมมือกับข้าด้วย ถ้าท่านไม่เชื่อ ท่านถามเขาก็ได้”
หวังตี้จวินคลายมือของเขาพลางมองลูกชายอย่างสงสัย “เสี่ยวเฉิน ก็ร่วมมือด้วยกระนั้นรึ ?”
”แน่นอนสิก็เด็กเลวคนนั้นรังแกเพื่อนของเสี่ยวเฉิน นั่นเป็นสาเหตุที่ข้าทนไม่ไหว”
”อ้อ? ถ้าแม้กระทั่งเสี่ยวเฉินยังร่วมมือด้วย เด็กเลวคนนั้นต้องเป็นคนทำผิดก่อนแน่” หวังตี้จวินจ้องมองหวังเสี่ยวผางบุตรชายของตน
”เจ้าควรติดตามไป๋เสี่ยวเฉินให้มากขึ้นหากเขาบอกให้เจ้าทุบตีผู้ใด เจ้าก็ทุบตีคนผู้นั้น หากเขาให้เจ้ากระทำสิ่งใด เจ้าก็กระทำตามที่เขาบอก เข้าใจหรือไม่ ? ”
หวังเสี่ยวผางนิ่งอึ้ง”ท่านพ่อ เหตุใดไป๋เสี่ยวเฉินบอกอะไรแล้วข้าต้องทำด้วยเล่า ? แล้วหากข้าทำท่านสัญญาได้หรือไม่ว่า ท่านจะไม่ตีข้า ?”
หวังตี้จวินตบท้ายทอยบุตรชายของตน”เสี่ยวเฉินเป็นเด็กดี เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกลั่นแกล้งผู้ใดก่อนโดยไร้เหตุผล เขาต้องโดนผู้อื่นยั่วยุ เช่นนั้นย่อมจะต้องเป็นความผิดของอีกฝ่ายเป็นแน่ ส่วนเจ้า เจ้าคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนเจ้า ที่ชอบทุบตีผู้คนซีซั๊วกระนั้นรึ ?”
นี่…ท่านเป็นบิดาแท้ ๆ ของข้าจริงรึเปล่าเนี่ย ?”
หวังเสี่ยวผางอยากจะร้องไห้หากแต่ก็ไร้น้ำตา ไยเขาถึงรู้สึกราวถูกเก็บมาเลี้ยง ?
”ท่านพ่อข้าทุบตีโอรสของรัชทายาทนะ…” หวังเสี่ยวกล่าวอย่างระแวดระวัง
”โอรสรัชทายาทแล้วไง? ตีเขาเลย หากเจ้าไม่ใช่คนผิด” หวังตี้จวินกล่าวด้วยอาการไม่พอใจ “หากเจ้าเก่งได้ครึ่งของเสี่ยวเฉิน เราคงไม่ต้องละทิ้งบ้าน และถูกบังคับให้ย้ายมาที่นี่”
หวังเสี่ยวผางเกรงว่าบิดาของเขาจะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ เขาถือโอกาสที่บิดาเผลอ เผ่นหนีดังฟิ้ว แม้ร่างของเขาจะอ้วน ทว่าลีลากลับพลิ้วไหว กว่าหวังตี้จวินจะรู้ตัว เจ้าอ้วนก็วิ่งไปไกลแล้ว
”ไอ้เด็กเหลือขอนี่นิสัยแก้ไม่หายจริง ๆ ”
*****
ในลานบ้านของคฤหาสน์โบราณ
ไป๋หยานยังคงง่วนอยู่กับการอ่านหนังสือในมือนางมีรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก
ยิ่งเวลาผ่านไปสีหน้าของชายชราก็ยิ่งวิตกกังวล เขามองไป๋หยานด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรนัก
”หม่ามี้!” เสียงนุ่ม ๆ สดใสดังมาจากทางด้านหลัง ครั้นไป๋หยานเงยหน้าขึ้นมอง ร่างเล็ก ๆ ก็ถลาเข้ามาหา จากนั้นก็หอมแก้มนาง
”หม่ามี้ลูกกลับมาแล้ว หนานกงซุ่นก็มากับลูกด้วย !”
ไป๋หยานเลิกคิ้วนางเห็นหนานกงซุ่นกำลังเดินเข้ามาหานาง
หนานกงซุ่นดูเหมือนจะค่อนข้างอึดอัดใจเล็กน้อยเขาตัวแข็ง ขณะมองไป๋เสี่ยวเฉินที่อยู่ในอ้อมแขนของไป๋หยาน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา
บทที่ 200 : ข้าเต็มใจเป็นศิษย์ของท่าน
ไป๋หยานยิ้มอย่างไรเสียเด็กก็ยังเป็นเด็ก…
“เฉินเอ๋อไม่ค่อยมีเพื่อนหากเป็นไปได้ เจ้าก็พักที่นี่เป็นเพื่อนเขาดีหรือไม่ ?”
หนานกงซุ่นมองไป๋หยานอย่างไม่อยากเชื่อ “ข้า … สามารถอยู่ที่นี่ได้จริงหรือ ?”
“หากเจ้าอยากอยู่ที่นี่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถมัดตัวเจ้าออกไปได้” ไป๋หยานลุกขึ้นอย่างแช่มช้า จากนั้นก็เดินมายืนหน้าหนานกงซุ่นพร้อมรอยยิ้ม “นอกจากนี้ เจ้ายังมีความสามารถไม่เลวเลยทีเดียว เพียงความสามารถของเจ้าถูกฝังลึกไว้หลายปี ข้าอยากรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้า เจ้ายินดีหรือไม่ ?
สายตาหนานกงซุ่นเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข“แน่นอน ข้าอยากอยู่ที่นี่”
”เฉินเอ๋อ”ไป๋หยานลูบศีรษะไป๋เสี่ยวเฉิน “เจ้าพาเขาไปพักผ่อนก่อน แม่ยังมีเรื่องต้องทำ นอกจากนี้ … ”
ครั้นนางพลิกฝ่ามือในมือของนางพลันปรากฏขวดยาขวดหนึ่ง นางยื่นขวดยาให้กับหนานกงซุ่น
“ยานี่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บภายในของเจ้าได้หลังจากที่เจ้าหายดีแล้ว ข้าจะให้เจ้าเริ่มการฝึก”
หนานกงซุ่นมองยาอายุวัฒนะที่ไป๋หยานยื่นมาให้ตรงหน้านัยน์ตาของเขาแดงก่ำ เขากำขวดเคลือบที่บรรจุยาไว้แน่น ขณะเงยหน้าขึ้นด้วยแววตามุ่งมั่น
”ท่านอาจารย์ในวันหน้า ข้าจะต้องไปถึงจุดสูงสุด และข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง !”
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือในกาลข้างหน้าคำปฏิญาณของหนานกงซุ่นก็เป็นจริง ในที่สุดเขาก็บรรลุเป้าหมายสูงส่งของตน และเขาก็ไม่เคยลืมบุคคลที่ช่วยพลิกชะตาชีวิตของเขาเลย
”หนานกงซุ่นข้าจะพาเจ้าไปดูห้องพัก” ไป๋เสี่ยวเฉินดึงตัวหนานกงซุ่นอย่างตื่นเต้น ร่างเล็ก ๆ วิ่งเข้าไปในตัวบ้านอย่างรวดเร็ว
ไป๋หยานมองตามร่างของเด็กทั้งสองที่วิ่งจากไปนางอดมิได้ที่จะหัวเราะ
“สายตาของแม่นางไป๋หยานนั้นดีมากเลยทีเดียว”แววตาของชายชราแลดูซับซ้อน “อัจฉริยะอย่างที่ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน”
ไป๋หยานรับน้ำชาที่สาวใช้นำมาบริการพลางจิบเบา ๆ “ดูเหมือน เจ้าจะสังเกตเห็นเช่นกันว่า เด็กคนนั้นมีความภาคภูมิ อีกทั้งยังต้องเป็นคนพิเศษในวันหน้า อัจฉริยะเช่นนี้ ข้าจะไม่รับเขาเป็นศิษย์ได้อย่างไร ?”
ยิ่งไปกว่านั้นเด็กคนนั้นยังมีอายุพอ ๆ กับไป๋เสี่ยวเฉินบุตรชายของนาง นางมักจะใจอ่อนให้กับเด็ก ๆ ในวัยนี้
“ไม่ว่าในภายหน้าเขาจะเป็นคนพิเศษหรือไม่นั่นก็เป็นเรื่องยากที่จะตัดสิน เพราะมิใช่เพียงตัวเขา แต่หมายรวมถึงว่าเขาต้องได้รับการฝึกฝนจากอาจารย์ที่มีความสามารถด้วย” ชายชราเอ่ยเบา ๆ “ข้าเห็นว่าความแข็งแกร่งของเด็กคนนี้ต่ำมาก เช่นนั้นข้าจึงคิดว่าเขาละทิ้งพรสวรรค์ตนเองมานานหลายปีแล้ว”
ไป๋หยานยิ้ม
ก็น่าที่จะเป็นเช่นนั้น! นับแต่หนานกงซุ่นเกิด มารดาเขาก็ตายจาก เขาถูกรังแกกลั่นแกล้ง ทั้งไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอน ต่อให้เป็นคนมีพรสวรรค์มากเพียงใด ย่อมต้องถูกฝังจมลึกจนหมดสิ้น
”เจ้าคิดจะขโมยเขาไปจากข้าใช่หรือไม่ล่ะ?” ไป๋หยานเงยหน้าขึ้นมองชายชราผู้ซึ่งกำลังกุมมือตนเองอยู่
”ข้าไม่ปฏิเสธว่าเขามีพรสวรรค์ หากแต่ข้าไม่มีพลัง หรือแม้แต่เวลามากพอที่จะฝึกฝนเด็กคนนั้นแล้ว สำหรับข้าสิ่งเดียวที่ข้าสนใจก็คือนายน้อยของข้า แม่นางไป๋หยาน หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับนายน้อยระหว่างการรักษา ท่านไม่อาจหนีความรับผิดชอบครั้งนี้ได้ !”
เมื่อชายชรากล่าวเช่นนั้นเสี่ยวมี่ก็เดินนำไป๋จั่นเผิงผู้ซึ่งยามนี้เดินได้อย่างคล่องแคล่วเข้ามา
ฝีเท้าของไป๋จั่นเผิงว่องไวราวลมพัดเขาแลดูไม่อ่อนแอเฉกเช่นเคย
”นายน้อย!” ชายชรารู้สึกดีใจอย่างมาก เขาก้าวเข้าไปหานายน้อยอย่างรีบเร่ง ใบหน้าของเขาตื่นตะลึง “นายน้อย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ไป๋จั่นเผิงพยักหน้าเล็กน้อย“พลังฉีที่เหลืออยู่ภายในร่างของข้าถูกทำลายสิ้นแล้ว”
ข่าวดีนี้กระแทกใจของชายชรากระทั่งเขาสับสนไปหมด ก่อนหน้านี้เขามองไป๋หยานในแง่ร้าย ทว่าตอนนี้เขาเชื่อแล้วว่าไป๋หยานต้องการรักษานายน้อยของเขาอย่างจริงใจ
”แม่นางไป๋หยาน”ชายชราหันกลับมาคำนับให้นางด้วยความเคารพ “ข้าขออภัยที่หยาบคายกับท่าน ขอบคุณที่ช่วยชีวิตนายน้อยของข้า หากมิใช่เพราะท่านแล้ว นายน้อยคง… ”
***จบบทข้าเต็มใจเป็นศิษย์ของท่าน***