บทที่ 206 : หนุ่มน้อยเหวินหรู่ (2)
”ข้าได้ยินมาว่าภายใต้การนำของเจ้า มีหมอปรุงยาที่ข้านำมาให้เจ้าเพียงเก้าคนเท่านั้นที่สามารถผ่านมาถึงขั้นสี่ใช่หรือไม่ ?” ไป๋หยานยิ้มมุมปาก
เหวินหรู่ลุกขึ้นจากพื้นเขามองไป๋หยานอย่างเศร้า ๆ พลางบ่นกระปอดกระแปดว่า “เมื่อสามปีก่อน เจ้าทิ้งคนพวกนี้ให้ข้าจากนั้นก็หายตัวไป ข้าต้องรอเจ้านานถึงสามปี ในเมื่อเจ้าก็กลับมาแล้ว เจ้าควรพูดอะไรกับข้าก่อนมั้ย ?”
ไป๋หยานยิ้มกว้างขึ้น
แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดรอยยิ้มของนางกลับทำให้เหวินหรู่รู้สึกอึดอัด กระทั่งถึงกับถอยร่นไปสองก้าวอย่างไม่ตั้งใจ
”ต้าไป๋ฟังข้าอธิบายก่อน ข้าพยายามดูแลคนพวกนั้นเพื่อเจ้านะ หากแต่การเป็นหมอปรุงยาก็ใช่ว่าจะเรียนรู้ได้ง่าย ๆ ใช่รึไม่ อัจฉริยะเช่นเจ้ากับข้าน่ะหายากจะตายไป คนส่วนใหญ่พยายามทั้งชีวิตก็ยังไม่ถึงขั้นสี่เสียด้วยซ้ำ”
เหวินหรู่รู้สึกผิดอย่างมากที่ทำให้ไป๋หยานผิดหวัง ทว่าความต้องการของไป๋หยานนั้นสูงมาก ขณะที่เขาเองก็พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว !
ยิ่งไปกว่านั้นหากขั้นที่สี่สามารถผ่านกันได้ง่าย ๆ หมอปรุงยาจะไม่เต็มโลกแล้วกระนั้นหรือ ?
”พาข้าไปดูพวกหมอปรุงยาเหล่านั้นก่อน”ไป๋หยานยักไหล่ พร้อมกับมองอย่างหมดหวัง
“ได้”เหวินหรู่มองไป๋หยานด้วยความสงสัย “เอ่อ ใช่แล้ว ต้าไป๋ แล้วเสี่ยวไป๋อยู่ที่ใดล่ะ ? ข้าคิดว่าพวกเจ้าสองแม่ลูกจะแยกกันไม่ออกเสียอีก”
ไป๋หยานชะลอฝีเท้าสายตาเย็นเยือกของนางจ้องมองหนุ่มน้อย “หากเจ้าไม่พูดก็ไม่มีผู้ใดหาว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ !”
กล่าวจบไป๋หยานก็ก้าวเข้าไปในลานโดยไม่สนใจเด็กหนุ่มอีกต่อไป
กลุ่มหมอปรุงยาพวกนี้ฮัวหลัวเป็นผู้รวบรวมมาตามคำสั่งของไป๋หยาน เช่นนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่ไป๋หยานได้พบพวกเขา ซึ่งพวกเขาก็มองมาที่นางด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้
“หมอปรุงยาขั้นสี่เงียบกันสักครู่ข้าต้องการดูว่าหมอปรุงยาขั้นสามปรุงยากันอย่างไร ?”
ไป๋หยานออกคำสั่งเบาๆ
ชาติก่อนนั้นไป๋หยานเป็นผู้สืบทอดตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณอีกทั้งยังมีชื่อเสียงเชี่ยวชาญด้านการปรุงยาด้วย เหตุนี้จึงมีคนเรียกนางว่าอาจารย์ และมาตักตวงความรู้จากนางมากมาย
ในครานั้นศิษย์ของนางต่างก็ฉลาดเฉลียวเปี่ยมด้วยความสามารถเช่นนั้นเมื่อมาเจอท่านอาจารย์ทั้งสามในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไป๋หยานจึงแทบบ้าในความอ่อนด้อยของพวกเขา
เอาจริงๆ นางไม่เคยเจอคนโง่เช่นนี้มาก่อนเลย !
ทว่าหลังจากได้เห็นความสามารถของหมอปรุงยาที่อยู่ต่อหน้านางเหล่านี้ไป๋หยานก็ตระหนักได้ทันทีว่า คนพวกนี้อภิมหาโง่ ! เทียบกับอาจารย์ทั้งสามของนางแล้ว ชายชราทั้งสามยังดีกว่าเยอะเลย !
หากแต่ขณะเดียวกันก็ทำให้นางตระหนักถึงบางอย่าง
มิใช่ว่าอาจารย์ของนางโง่เง่าหรอกทว่าหมอปรุงยาในโลกใหม่นี้ล้าหลังกว่าชาติก่อนของนางมากต่างหาก
”ข้าพบปัญหาของหมอปรุงยาพวกนี้แล้ว”ไป๋หยานกล่าวขณะเม้มปากเล็กหน่อย “หลังจากนี้ ข้าจะเขียนวิธีการต่าง ๆ ที่จะใช้ในการฝึกฝน เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ พยายามให้พวกเขาทำตามคำแนะนำที่ข้าเขียน นอกจากนี้ เจ้าต้องหาหมอปรุงยา เพื่อปรุงยาให้ข้า ข้าต้องการยาระดับสามกับระดับสี่อย่างละร้อยเม็ดต่อเดือน”
เหวินหรู่ตกตะลึง”เหตุใดเจ้าจึงต้องการเม็ดยาจำนวนมากถึงเพียงนั้น ?”
ไป๋หยานอมยิ้ม“เพื่อหารายได้น่ะสิ”
“ต้าไป๋เจ้าขาดเงินกระนั้นหรือ ?” ใบหน้าขาวใสของเหวินหรู่เปลี่ยนเป็นสีแดง “หากเจ้าขาดเงิน ข้าสามารถช่วยเจ้าได้นะ”
ไป๋หยานหันกลับไปมองเหวินหรู่”เช่นนั้นเจ้าประสงค์สิ่งใดจากข้า ?”
“เอ่อ…”เหวินหรู่ก้มหัวหลบอย่างเขินอาย “ข้าเพียงจะถามว่า เจ้าขาดคนอุ่นเตียงหรือไม่ ? ข้าสามารถช่วยอุ่นเตียงของเจ้าได้นะ โดยที่เจ้าไม่ต้องจ่ายเงินให้ข้า อีกทั้งข้ายังจะให้เงินเจ้าอีกด้วย”
ไป๋หยานลูบคางพลางมองหน้าหล่อ ๆ ขาว ๆ ด้วยท่าทีสนใจ “นี่..ฮัวหลัว หอบุปผาของเราขาดคนบ้างหรือไม่ ?”
ฮัวหลัวมองหนุ่มน้อยอย่างพึงใจ“หอบุปผาขาดคนอยู่พอดี คนหล่อ ๆ เยี่ยงคุณชายเหวินหรู่นี่ ข้ามั่นใจว่าเขาต้องดึงดูดใจแขกได้จำนวนมากเป็นแน่”
บทที่ 207 : อันธพาลน้อยอยากทำให้สัตว์เชื่อง (1)
มุมปากของเหวินหรู่บิดเบี้ยวเขารีบถอยหนีอย่างรวดเร็ว “ข้าเพียงล้อเล่น ล้อเล่นเท่านั้น !”
ตลกน่า! หอบุปผาคือสถานที่ใด ? สตรีผู้นี้โหดร้ายจริง ๆ จะให้ข้าไปรับแขกที่นั่น !
ไป๋หยานยิ้มอย่างอ่อนโยน”วางใจได้ หากเจ้าปรารถนา หอบุปผาพร้อมเปิดรับเจ้าเสมอ แต่หากเจ้าเพียงประสงค์เป็นลูกค้าของเรา ข้าก็จะให้มาม่าฉู่คิดราคาพิเศษให้เจ้าได้นะ”
ใบหน้าของเหวินหรู่เปลี่ยนเป็นเคอะเขินยิ่งเห็นฮัวหลัวขยิบตาวิ้ง ๆ ล่อลวงเขา เด็กหนุ่มก็มองตอบกลับไปดุ ๆ “นี่ ต้าไป๋ ข้ายังบริสุทธิ์อยู่นะ อย่าแกล้งข้านักเลย”
ไป๋หยานคร้านจะกล่าวคำใดอีกนางนำตำราออกมา จากนั้นก็โยนให้เหวินหรู่
เหวินหรู่คว้าตำราของไป๋หยานอย่างงงๆ พลางถามว่า “นี่คืออะไรหรือ ?”
”เจ้าเพิ่งจะผ่านขั้นห้ามาได้เพียงไม่นานเจ้ายังคงควบคุมความสามารถในการปรุงยาขั้นห้าได้ไม่ดีนัก ทว่าหลังจากที่เจ้าทำความเข้าใจตำราเล่มนี้ได้อย่างถ่องแท้แล้ว เจ้าจะสามารถควบคุมการปรุงยาในระดับห้าได้ดีขึ้น และมันจะทำให้เจ้าปรับปรุงประสิทธิภาพในการปรุงยาเพิ่มขึ้นอีกด้วย”
เหวินหรู่ตื่นเต้นกระทั่งทำตำราหลุดมือดีที่เขาคว้ามันไว้ได้ทัน
“เจ้าดีกับข้าถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” เหวินหรู่กอดตำราแน่น ราวกับกอดลูกของตนเอง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ไป๋หยานยิ้มพลางกล่าวว่า”เจ้าจะได้แข็งแกร่งพอที่จะช่วยข้าชี้นำบรรดาหมอปรุงยาเหล่านี้ ฮัวหลัว เราไปกันเถอะ”
ไป๋หยานเดินไปได้เพียงสองสามก้าวนางก็หันกลับมาอีกครั้ง “เหวินหรู่…หากเจ้าอยากพบข้า ก็จงไปหาหลานเสี่ยวหยุน ที่บ้านสกุลหลาน นางรู้ว่าข้าพักอาศัยอยู่ที่ใด”
ครั้นกล่าวจบไป๋หยานก็เดินหายออกไปนอกประตู
ใบหน้าของฮัวหลัวเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมเสน่ห์นายหญิงของนางเป็นคนปากแข็งแต่ใจอ่อน
แม้ว่าไป๋หยานจะชอบแกล้งเหวินหรู่ทว่านางก็เตรียมเขียนตำราเล่มนี้ไว้นานแล้ว จุดประสงค์ก็เพื่อจะมอบให้เหวินหรู่
เมื่อมีตำรามีค่าอยู่ในมือเหวินหรู่ก็ไม่สนใจไป๋หยานอีก เขารีบกลับไปที่ห้องเพื่ออ่านตำรา
ในใจของเขารู้สึกประหลาดใจทุกครั้งที่เปิดตำราออกอ่านทีละหน้า ๆ เพราะตำรานี้สามารถตอบปัญหาที่คาใจเขามาเป็นเวลานานได้อย่างที่เขาคาดไม่ถึง
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองณ ตำหนักขององค์รัชทายาท เสียงกรีดร้องยาวดังสนั่นจนหูอื้อ สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งตำหนักเลยทีเดียว
”เกิดกระไรขึ้น! !”
อาการบาดเจ็บของไป๋รั่วยังไม่หายดีนางถูกนางกำนัลพยุงให้เดินออกมาอย่างทรมาน แวบแรก นางเห็นโอรสของนางกำลังถูกหมาป่าตัวหนึ่งไล่ล่า
ในโลกนี้นอกเหนือจากสัตว์อสูรแล้วยังมีสัตว์ป่ามากมายหลายชนิด ที่ทั้งดุร้ายและเลี้ยงไม่เชื่อง เช่นหมาป่าตัวนี้ก็เป็นสัตว์ป่าธรรมดา ๆ
หมาป่าถูกหนานกงอี้จับมาได้ตอนที่ออกไปล่าสัตว์เมื่อไม่นานมานี้และเพราะมันดุร้ายมาก หนานกงอี้จึงขังมันไว้ในกรง เขาวางแผนว่าจะฆ่ามันกินในสักวัน ผู้ใดจะคิดว่าอันธพาลน้อยจะปล่อยมันออกมาจากกรง
”เสด็จแม่ช่วยข้าด้วย !” เสียงของอันธพาลน้อยฟังดูน่าสังเวช ขณะที่หัวใจของไป๋รั่วแทบจะสลาย
”เร็วเข้าไปช่วยองค์ชายน้อยเร็ว ๆ !” ไป๋รั่วหน้าซีด นางรีบออกคำสั่งกับองครักษ์ด้านหลังเขา
องครักษ์ผู้หนึ่งนำธนูออกมาเขาเล็งไปที่หมาป่า ซึ่งกำลังจะขย้ำอันธพาลน้อย ชั่วอึดใจ เขาก็ยิง ลูกธนูพุ่งทะลุเบ้าตาหมาป่าอย่างแม่นยำ
หมาป่าหลับตาร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดขณะเดียวกัน หนานกงหลินก็ไม่ยอมพลาดโอกาส เขารีบวิ่งเข้าหามารดาของตน
”หลินเอ๋อเหตุใดเจ้าจึงปล่อยหมาป่าของท่านพ่อออกมาจากกรงล่ะ ?”
ครั้นหวนนึกถึงฉากเมื่อครู่หัวใจของไป๋รั่วก็แทบจะกระโจนออกมานอกอก ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นขาวซีด
บทที่ 208 : อันธพาลน้อยอยากทำให้สัตว์เชื่อง (2)
“ท่านแม่…พวกเขาบอกว่าข้ามิใช่ผู้ที่ได้รับการคารวะจากเหล่าสรรพสัตว์พวกนั้น หากเป็นคนของราชวงศ์อสูรจริง ๆ แล้วล่ะก็ จะต้องสามารถทำสัตว์ให้เชื่องได้ ข้าเลยอยากลองทำให้สัตว์เชื่อง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า ข้านี่แหละคือ ผู้ที่ทรงอำนาจสูงสุดในโลก”
ครั้นได้ยินถ้อยคำที่น่ารันทดของบุตรชายแววตาของไป๋รั่วก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก “ผู้ใดกล่าวว่าเจ้ามิใช่คนที่เหล่าสัตว์กราบกรานบูชา”
”คือ…ไป๋เสี่ยวเฉิน…”
หนานกงหลินอยากจะกล่าวต่อว่าบิดาของเพื่อนไป๋เสี่ยวเฉิน …
หากแต่มิทันได้กล่าวประโยคหลังไป๋รั่วก็เข้าใจผิดว่าไป๋เสี่ยวเฉินเป็นคนกล่าวประโยคนั้น นัยน์ตาของนางวาววาบด้วยความโกรธเกรี้ยว
เป็นเวลานานกว่าที่ไป๋รั่วจะสงบสติอารมณ์ลงได้นางก้มลงมองบุตรชายจอมอันธพาลน้อยในอ้อมแขนของตน มุมปากของนางยกยิ้มอ่อนโยน
”หลินเอ๋อเจ้าต้องจำไว้เสมอว่า เจ้าเป็นผู้ที่มีเกียรติสูงสุดในโลก ไป๋เสี่ยวเฉินก็แค่อิจฉาที่เจ้าได้รับการสักการะจากสรรพสัตว์ทั้งปวง เขาจึงเจตนากล่าวเช่นนั้น”
นัยน์ตาของหนานกงหลินเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาขณะเงยหน้าขึ้นมองไป๋รั่ว “เสด็จแม่ ก็แล้วเหตุใดหมาป่าตัวนั้นถึงไม่เชื่อฟังข้า ?”
“ก็มันเป็นเพียงหมาป่าธรรมดาๆ ที่ไร้ซึ่งสติปัญญา มันจะแยกแยะได้อย่างไรว่าผู้ใดเป็นราชวงศ์สัตว์อสูร นอกจากนี้ เจ้าหมาป่านี่ก็ไม่มีค่าคู่ควรที่จะแสดงความเคารพต่อเจ้าด้วยซ้ำ ! มีเจ้าแต่เพียงผู้เดียวที่สามารถควบคุมสัตว์อสูรในโลก ! มีเพียงสัตว์อสูรเท่านั้นที่เข้าใจในตัวตนแท้จริงของเจ้า”
”แต่… ”
แต่…สุนัขจิ้งจอกจำนวนมากเชื่อฟังคำสั่งของไป๋เสี่ยวเฉิน
“ไม่มีแต่!” ไป๋รั่วตัดบท ด้วยสีหน้าจริงจัง “หลินเอ๋อ ไม่ว่าจะเป็นหนานกงซุ่น หรือ ไป๋เสี่ยวเฉิน ในอนาคตพวกเขาทั้งหมดจะต้องอยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของเจ้า ! หากเจ้ามีโอกาส เจ้าจะต้องสับพวกมันเป็นชิ้น ๆ เข้าใจหรือไม่ ? ”
ไป๋เสี่ยวเฉินเป็นผู้ใด? เขากล้าเอาตนเองมาเปรียบเทียบกับโอรสของข้าได้อย่างไร ? เขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะกินน้ำล้างเท้าโอรสของข้าด้วยซ้ำ !
“เสด็จแม่ข้าเข้าใจแล้ว” อันธพาลน้อยที่เคยหดหู่ บัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นร่าเริง “ข้าจะไม่มีวันปล่อย ไป๋เสี่ยวเฉิน และหนานกงซุ่น ! อ้อ…วันนี้ ข้าได้พบกับเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง ข้าให้นางมาอยู่ที่นี่เพื่อคอยอุ่นเตียงให้ข้าจะได้หรือไม่ ? ”
เด็กอ้วนนั่นกล้าทุบตีข้าข้าจะเอาน้องสาวของเขามาอุ่นเตียงของข้า !
”ได้สิ”ไป๋รั่วหัวเราะ “อย่างไรเสียโลกใบนี้ก็ต้องเป็นของเจ้า เด็กหญิงผู้นั้นจะต้องดีใจที่ได้เป็นของเจ้าด้วยซ้ำ บอกแม่สิว่า เด็กคนนั้นเป็นลูกสาวบ้านไหน แม่จะให้คนไปที่นั่น และซื้อตัวนางมาให้เจ้า”
นัยน์ตาหยีๆ ของอันธพาลน้อยเปล่งประกายสดใส “เสด็จแม่ ไม่ใช่แค่เด็กหญิงน้อยคนนั้น ข้ายังต้องการให้พี่ชายของนางมาเป็นทาสของข้าอีกด้วย”
”ได้เลยทุกอย่างตามที่เจ้าต้องการเลย”
ในเมืองหลวงแห่งนี้มีเพียงตี้คังกับไป๋หยานเท่านั้นที่นางไม่กล้าแตะต้องนอกนั้นจะมีผู้ใดบ้างที่กล้าไม่เชื่อฟังราชสำนัก ?
กะแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จะยากเย็นอะไร นางเพียงให้ยาเม็ดขั้นสามสักสองเม็ด ผู้ใดจะกล้าปฏิเสธ ?
ขณะนั้นเองนางกำนัลผู้หนึ่งก็วิ่งเข้ามา นางย่อกายถวายความเคารพ “พระชายา มีคนขอเข้าเฝ้าเพคะ”
ไป๋รั่วย่นหน้าผากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “ผู้ใดกัน ?”
”คนผู้นั้นกล่าวว่ามาจากหุบเขาเพลงพิณ …. ”
หุบเขาเพลงพิณ…?
ริมฝีปากไป๋รั่วโค้งขึ้นในที่สุดคนของหุบเขาเพลงพิณก็มา…
”เชิญพวกเขาเข้าไปในห้องรับรองโดยเร็วเดี๋ยวข้าจะตามไป”
”เพคะพระชายา”
หญิงสาวย่อกายถวายความเคารพก่อนจะลับหายไปจากสายตาของไป๋รั่วอย่างรวดเร็ว
ไป๋รั่วบอกนางกำนัลให้พาหนานกงหลินไปพักผ่อนส่วนตัวนางก็ได้ความช่วยเหลือจากนางกำนัลอีกสองคน ช่วยพยุงเดินไปที่ห้องรับรองอย่างยากลำบากทีละก้าว ๆ
ครั้นเข้าไปในห้องรับรองไป๋รั่วก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งจิบชารออยู่
หญิงผู้นั้นสวมอาภรณ์สีน้ำเงินที่พลิ้วไหวราวสายน้ำใบหน้าของนางงดงามอย่างมีเอกลักษณ์ คิ้วของนางโค้งมนดั่งขุนเขา ริมฝีปากของนางบาง ใบหน้าเรียวเล็กขาวใสเปล่งประกาย
บทที่ 209 : มู่ชิงเกอ (1)
ช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามราวภาพวาดอย่างแท้จริง
ไป๋รั่วเชื่อมั่นว่าหากตี้คังได้รู้จักกับสตรีที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ เขาจะต้องหลงรักนางเป็นแน่ ในฐานะบุรุษ เขาคงไม่อาจเฉยเมยกับสาวสวยเช่นนี้ได้ …
ก็ขนาดองค์รัชทายาทที่พร่ำบอกว่ารักนางนักรักนางหนา ยังมีสนมอีกหลายคนคอยถวายการรับใช้ ต่อให้อ๋องคังจะไร้หัวใจเพียงไร ก็คงไม่ละเว้น !
”แม่นางเป็นเจ้าหุบเขาเพลงพิณใช่หรือไม่ ?”
ไป๋รั่วคิดได้เช่นนั้นนางก็กลับมารู้สึกตัว นางค่อย ๆ ก้าวย่างอย่างช้า ๆ ไปยังที่ที่มู่ชิงเกอนั่งอยู่ บางทีอาจเป็นเพราะอาการบาดเจ็บของนาง ทำให้รอยยิ้มของนางดูราวกับกำลังถูกบังคับ
มู่ชิงเกอวางถ้วยชาในมือลงพลันรอยยิ้มน้อย ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากแดง ๆ ของนาง
”ข้าได้ยินมาว่าเจ้ารู้ที่อยู่ของเขากระนั้นหรือ ?”
ไป๋รั่วพยักหน้าในแววตาของนางฉายประกายเลือดเย็น “เขามีนามว่าตี้คัง เป็นอ๋องพระราชทานของอาณาจักรเรา ไม่ทราบว่าเหตุใดนายหญิงแห่งหุบเขาเพลงพิณจึงถามหาเขา ?”
มู่ชิงเกอยิ้มน้อยๆ “ชายผู้นั้น ข้าเคยพบเขา นับแต่นั้นข้าก็ไม่อาจลืมเขาลง ทั้งที่นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว…”
ครานั้นนางไล่ล่าสัตว์อสูรร่วมกับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของหุบเขาเพลงพิณ ขณะที่นางกำลังจะจับสัตว์อสูรได้นั้น
ชายผู้ซึ่งสวมเสื้อคลุมสีม่วงพร้อมกับเส้นผมสีเงินยวงก็ร่อนลงมาราวกับราชาแห่งปีศาจและนับแต่นั้นมาภาพของเขาก็ไม่อาจลบเลือนจากหัวใจนางได้เลย
ทว่าเขากลับไม่เห็นนางเขาจับสัตว์อสูรตัวที่นางกำลังไล่ล่านั้นไป จากนั้นนางก็ไม่ได้ข่าวคราวของเขาอีกเลย
ครั้นมู่ชิงเกอคิดถึงเรือนร่างที่สง่างามหล่อเหลาอย่างร้ายกาจแล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากนาง “แม่นางไป๋รั่ว หากเจ้าบอกข่าวของเขา ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างงดงาม ! และเมื่อข้าได้สมรสกับเขา แน่นอนว่าข้าต้องเชิญเจ้ามาร่วมดื่มอวยพรให้แก่เราด้วย”
ไป๋รั่วนิ่งอึ้งนางมองหน้ามู่ชิงเกอ อยากจะพูดอะไรบางอย่าง หากแต่ก็มิได้กล่าวคำใด
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วอย่างงุนงง“มีปัญหาใดกระนั้นหรือ ?”
”เจ้าหุบเขา”ไป๋รั่วถอนหายใจยาว “ท่านมาสายเกินไป ไม่นานมานี้ พี่สาวของข้า ไป๋หยานที่หายตัวไปนานหลายปี นางเพิ่งกลับมา”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วอีกครั้ง”แล้วพี่สาวของเจ้ากลับมามันเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ ?”
“เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน”ไป๋รั่วกล่าว นัยน์ตาของนางราวเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง “พี่สาวของข้าเป็นคนใจแตกตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อครั้งที่อยู่บ้านสกุลไป๋ นางก็ชอบให้ท่าพวกยามในบ้าน อีกทั้งยังคอยตามตื๊อพระสวามีของข้านานหลายปี ! ครั้นเห็นพระสวามีของข้าไม่สนพระทัยนาง นางก็พยายามหว่านเสน่ห์ให้ชายอื่น สุดท้ายนางก็ท้องก่อนแต่งงาน ! ”
มู่ชิงเกออ้าปากกว้างด้วยความตกใจแววตาของนางมีร่องรอยของความขยะแขยง “ท้องก่อนแต่งกระนั้นรึ ? นี่เจ้ามีพี่สาวที่เกเรเช่นนั้นเลยหรือ ? แล้วเจ้าจะบอกว่าเด็กคนนั้นคือลูกของตี้คังใช่หรือไม่ ?”
”ไม่อย่างแน่นอน!” ไป๋รั่วกล่าวอย่างมั่นใจ “ข้าเคยเห็นนางนอนเตียงเดียวกับชายอีกคนด้วยตาตนเอง เช่นนั้นนางต้องตั้งท้องกับชายอื่นเป็นแน่ แต่เมื่อนางพบอ๋องคัง นางก็ตามตื๊อเขา เดิมทีอ๋องคังก็เฉยเมยกับนาง ทว่า … ”
ไป๋รั่วมองตามู่ชิงเกออย่างระมัดระวังขณะเอ่ยพึมพำ”ข้าไม่รู้ว่านางใช้วิธีการใด หลอกอ๋องคังให้คิดว่าเด็กไม่มีพ่อนั่นเป็นบุตรชายของเขา”
ใบหน้าของมู่ชิงเกอมืดมน”แม้ว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นความจริง หากแต่การจะอ้างว่าตี้คังเป็นพ่อได้นั้น แสดงว่าพวกเขาต้องเคยนอนด้วยกัน เช่นนั้นนางกับอ๋องคัง… ”
“เจ้าหุบเขา…ข้ารับประกันได้เลยว่า เด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของอ๋องคัง” ไป๋รั่วหลบตา ขณะที่ประกายแสงโหดร้ายสว่างวาบในแววตาของนาง “เมื่อหลายปีก่อน อ๋องคังถูกวางยา เขาพบหญิงสาวผู้หนึ่งระหว่างที่ตกอยู่ในฤทธิ์ยานั่น เขามีความสัมพันธ์กับนาง ทว่าสตรีที่เขาพบผู้นั้นมิใช่ไป๋หยานพี่สาวของข้า หากแต่เป็นไป๋จื่อน้องสาวของข้า”
บทที่ 210 : มู่ชิงเกอ (2)
”ครานั้นไป๋จื่อเองก็เล่าเรื่องนี้ให้พี่สาวของเราฟังด้วย แต่ผู้ใดจะคาดคิดล่ะว่านางจะแอบอ้างเป็นน้องสาวของตนเอง ? นั่นเป็นสาเหตุให้อ๋องคังเชื่อนาง และเพราะความร้ายกาจของนางเช่นนี้ ทำให้ท่านพ่อของเราตัดขาดนาง…”
ไป๋รั่วเงยหน้าขึ้นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ภาพลักษณ์ของนางแลดูเศร้ามาก
ตอนที่ได้ยินว่าตี้คังโดนวางยาจนต้องหาสตรีมาบำบัดอาการ มู่ชิงเกอก็ไม่พอใจนัก แต่ครั้นคิดได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมิใช่ความตั้งใจของตี้คัง ความไม่พึงใจนั้นก็มลายหายไป
หากในวันหน้าบุรุษผู้นั้นเป็นของข้าข้าก็พร้อมจะมองข้ามอดีตของเขา
”เป็นเช่นนี้นี่เองข้าเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามาสิว่า ผู้หญิงที่ชื่อไป๋หยานคนนั้นอยู่ที่ใด ? ข้าจะไปหานาง”
ยามนี้ใบหน้าของมู่ชิงเกอดูไม่ได้เลยนางค่อย ๆ ยืนขึ้น พร้อมกับเหยียดปากอย่างเย้ยหยัน นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร
”ได้ข้าจะให้คนของข้านำเจ้าหุบเขาไป”
ไป๋รั่วยิ้มนางมิได้บอกมู่ชิงเกอเรื่องหอบุปผา หาไม่แล้วเกรงว่ามู่ชิงเกอจะไปพบไป๋หยานอย่างไม่สบายใจนัก
”ไม่เป็นไรเจ้าเพียงบอกตำแหน่งที่อยู่ของนางให้ข้าก็พอ”
มู่ชิงเกอยังคงมีท่าทีดูถูกแค่หญิงไร้เกียรติที่ท้องก่อนแต่ง กล้ามาอ่อยชายที่นางชอบ เชอะ !
ไป๋รั่วเงียบไปชั่วขณะแววตาของนางฉายประกายแสงจาง ๆ “ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่า ไป๋หยานอาศัยอยู่ที่ใด ทว่าท่านลองไปที่บ้านสกุลหลานในเมืองสิ หากบ้านสกุลหลานเกิดปัญหาไม่ว่าเรื่องใด นางจะต้องปรากฏตัวอย่างแน่นอน ! ”
แท้ที่จริงนับแต่วันที่ไป๋เฉิงเซียงรู้เรื่องความสัมพันธ์ของไป๋หยานกับหอบุปผา นางก็รู้แล้วว่าไป๋หยานอาศัยอยู่ในคฤหาสน์โบราณ ทว่าไป๋รั่วยังไม่อยากให้มู่ชิงเกอพบหน้าไป๋หยานในตอนนี้
มู่ชิงเกอไม่กล่าวคำใดอีกนางหันหลังกลับอย่างแช่มช้า ก่อนจะเดินออกจากตำหนักรัชทายาทไป
ครั้นมู่ชิงเกอก้าวออกมาจากตำหนักหญิงในอาภรณ์สีเขียวผู้หนึ่งพลันปรากฏกายขึ้นด้านหลังมู่ชิงเกอ นางย่อกายแสดงความเคารพ
”เจ้าหุบเขาข้าน้อยคิดว่า คำพูดของไป๋รั่วฟังดูไม่น่าจะเป็นไปได้ ให้ข้าน้อยไปตรวจสอบก่อนจะดีหรือไม่ ?”
มู่ชิงเกอยกมุมปากโค้งขึ้น”ไม่ว่าไป๋รั่วจะพูดความจริงหรือไม่ อย่างไรเสียตี้คังก็เป็นชายที่ข้าชอบ การที่ไป๋หยานมาล่อหลอกเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็ไม่อาจอภัยให้ได้ ! ”
ก็เพียงหญิงไร้ค่าในหุบเขาเพลงพิณของนาง ก็มีหญิงไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้มากมาย นางไม่ให้ราคาคนเช่นนี้หรอก !
”ไปบ้านสกุลหลาน! ข้าอยากพบหญิงไม่มีราคาคนนั้นเต็มทีแล้ว !”
”เจ้าค่ะเจ้าหุบเขา”
ณบ้านสกุลหลาน
ครั้นได้ยินว่าไป๋เสี่ยวเฉินมาเยี่ยมหลานฮูหยินผู้เฒ่า และท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานก็รีบออกมารับเขาอย่างรวดเร็ว
หญิงชรากอดไป๋เสี่ยวเฉินไว้ในอ้อมแขน”เหลนรักของยายทวด ข้าคิดถึงเจ้าแทบตาย เจ้าไม่ได้มาเยี่ยมยายทวดหลายวันแล้วนะ !”
ไป๋เสี่ยวเฉินซึ่งยามนี้แทบจะหายใจไม่ออกทว่าก็ไม่อาจผลักไสร่างของยายทวดของเขาออกไปได้ เขาจึงปล่อยให้นางกอดเขาแน่นต่อไป
ท้ายที่สุดก็เป็นท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานที่ทนดูไม่ได้ เขากระแอมแค่ก ๆ ขณะมองภรรยาผู้ชราอย่างหมั่นไส้ “เจ้าจะทำให้เหลนเราหายใจไม่ออกตายรึไร ?”
แม่เฒ่าจึงพบว่ายามนี้ใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินแดงก่ำไปหมดนางรีบปล่อยร่างเหลน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสำนึกผิด “เหลนรัก เหตุใดเจ้าไม่พูดอะไรเลยทั้งที่เจ้าอึดอัด”
ใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินฉายแววฉลาดเฉลียวขณะกล่าวว่า”ท่านยายทวดคิดถึงเฉินเอ๋อมากมายขนาดนี้ เฉินเอ๋อจะอึดอัดได้อย่างไร มีแต่จะดีใจเสียล่ะมากกว่า”
การเข้าใจตอบของเขาทำให้หลานฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุขมากอย่างบอกไม่ถูกช่างเป็นเด็กดีเหลือเกิน มิรู้ว่าครั้งนั้นคนบ้านสกุลไป๋คิดอย่างไรถึงจะขายหลานที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้ !