บทที่ 211 : เกือบเผยตัวตน (1)
”ท่านยายทวดกับท่านยายดูสาวขึ้นมากเลย”
ไป๋เสี่ยวเฉินกระพริบตาพลางกล่าว
”จริงหรือ?” นัยน์ตาของตงรั่วหลานผู้ซึ่งกำลังยืนอยู่ข้าง ๆ หญิงชราแลดูสดใสขึ้น นางยกมือขึ้นลูบแก้มตนเอง พลางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เมื่อไม่นานมานี้สาว ๆ หลายคนต่างก็ชมข้าว่าดูเด็กลง ซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะยาอายุวัฒนะเสริมความงามของหยานเอ๋อ”
ไม่ต้องพูดถึงตงรั่วหลานแม้แต่หลานฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังแลดูเด็กขึ้นมาก ริ้วรอยยับย่นบนใบหน้าของนางก็เบาบางกว่าเดิมมาก
”ท่านยายทวด,ท่านยาย หากพวกท่านใช้แล้วดี โปรดเผยแพร่ยาของหม่ามี้เฉินเอ๋อให้ชาวบ้านได้รับรู้โดยทั่วกันด้วย” ไป๋เสี่ยวเฉินนัยน์ตาโตสมองอันชาญฉลาดพลันสว่างวาบ เมื่อนึกถึงโอกาสทำเงินก้อนโต
”เอาล่ะไม่ต้องห่วง ยายจะช่วยหยานเอ๋อ ยายจะออกไปในที่ชุมนุมชน หากมีพวกสาว ๆ ถามยายว่ายายแลดูอ่อนกว่าวัยได้อย่างไร ? ยายก็จะช่วยโฆษณาสรรพคุณยาให้”
ตงรั่วหลานลูบแก้มอย่างมีความสุขยามนี้นางแลดูอ่อนกว่าวัยมาก กระทั่งเป็นที่อิจฉาของบรรดาสาว ๆ เหล่านั้น
”ท่านยายทวดท่านยาย วันนี้เฉินเอ๋อมาหาน้าเสี่ยวหยุน”
ทันทีที่ไป๋เสี่ยวเฉินพูดจบหลานเสี่ยวหยุนก็เดินถือถาดที่เต็มไปด้วยแตงโม ผลไม้ และขนมเข้ามาอย่างแช่มช้า
”เจ้าอยากพบข้างั้นหรือ?” นางกระพริบตา เด็กน้อยคนนี้มาที่นี่ เพื่อตามหานางกระนั้นรึ ?
นางมีเสน่ห์ถึงเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อใด?
หลานเสี่ยวหยุนคิดแล้วก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางฉีกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ “เสี่ยวเฉิน เจ้าคิดถึงน้างั้นหรือ ?”
”หากน้าเสี่ยวหยุนมีน้องสาวตัวน้อยให้เฉินเอ๋อได้เฉินเอ๋อจะคิดถึงน้าเสี่ยวหยุนทุกวันเลย” นัยน์ตาของไป๋เสี่ยวเฉินเป็นประกายเจ้าเล่ห์ราวสุนัขจิ้งจอก
ในเมื่อหม่ามี้ไม่ต้องการมีน้องสาวทว่าน้าเสี่ยวหยุนสามารถมีน้องสาวให้ข้าได้ อย่างไรเสียเราก็เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน เช่นนั้นก็เหมือน ๆ กันแหละ
หลานเสี่ยวหยุนตัวแข็งค้างไปชั่วขณะเจ้าเด็กน้อยคนนี้มาพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดอะไรตรงนี้ !
นางเพิ่งถูกบังคับให้แต่งงานเมื่อสองสามวันก่อนนางจึงจำต้องใช้เหตุผลของความเป็นน้องเล็กยกขึ้นต่อรอง
“พี่ชายสองคนของน้ายังไม่แต่งงานน้าเองก็ยังไม่อยากแต่งงาน จะให้เด็กที่ไหนมาเกิดล่ะ” ครั้นหลานเสี่ยวหยุนเห็นสายตาของมารดา หญิงสาวก็รีบหันหลังกลับพร้อมปฏิเสธทันที
”เฉินเอ๋อ”หลานฮูหยินผู้เฒ่ากระแอม นางมองไป๋เสี่ยวเฉินด้วยสายตาอ่อนโยน “เจ้ามีเรื่องใดถึงได้มาหาน้าสาวของเจ้าล่ะ ?”
“อ้อจริงสิ” ไป๋เสี่ยวเฉินกล่าว “หม่ามี้ ให้เฉินเอ๋อมาบอกน้าเสี่ยวหยุนว่า จิ้งจอกที่น้าต้องการมาถึงแล้ว น้าว่างเมื่อไหร่ก็ไปเลือกได้เลย ?”
จิ้งจอกกระนั้นรึ?
นัยน์ตาของหลานเสี่ยวหยุนเปล่งประกาย”พี่ไป๋หยานจะให้สัตว์อสูรข้าจริง ๆ กระนั้นหรือ ?
นางรู้สึกว่าหัวใจของนางกำลังจะโลดออกจากอก แก้มของนางแดงระเรื่อด้วยความตื่นเต้น นางไม่มีอาการลังเลใด ๆ ขณะกล่าวอย่างกระตือรือร้นออกมาทันทีว่า “ข้าว่างแล้ว เฉินเอ๋อ เราไปที่บ้านของเจ้ากันเถอะ”
”ดีเลย”
ไป๋เสี่ยวเฉินยิ้มอย่างน่ารักตามแบบฉบับเขาหันหลังกลับ หมายจะเดินจากไป ทว่ากลับถูกร่าง ๆ หนึ่งหยุดไว้
นางเป็นสตรีในชุดกระโปรงสีฟ้าน้ำทะเลสวยหรู เพียงสายลมพัดแผ่วเบา เส้นผมดำสลวยของนางก็พลิ้วไหวไปตามสายลม ช่างงดงามราวภาพวาดราวกับน้ำหมึกที่เคลื่อนไหวได้ งามไม่มีผู้ใดเทียบ
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานตกตะลึงเขามองสตรีที่เดินเข้ามาในบ้านสกุลหลานพร้อมกับขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นใคร ?”
ครั้นเห็นชายชรามองตาเขียวท่าทีของมู่ชิงเกอก็พลันเฉยชา นัยน์ตาของนางชุ่มฉ่ำราวกับน้ำ ทว่ากลับแลดูดุดันไม่ต่างจากคมดาบ
”ข้าต้องการพบไป๋หยาน”
ริมฝีปากสีแดงของนางบางเฉียบน้ำเสียงของนางเฉยชา ใบหน้าของนางแลดูไร้ความรู้สึก ทว่าหลังจากเห็นเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า แววตาของนางก็แสดงความรังเกียจออกมา
แม้นางจะไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดนี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเด็กคนนี้ และเด็กชายตัวน้อยนี้ก็น่ารัก อีกทั้งยังฉลาดมาก ทว่านางกลับเกลียดเขาโดยไร้ซึ่งเหตุผล
บทที่ 212 : เกือบเผยตัวตน (2)
”เจ้าคือใคร?”
ในขณะที่บ้านสกุลหลานกำลังสงสัยว่าเหตุใดสตรีผู้นี้ถึงได้ต้องการพบไป๋หยาน พวกเขาก็เห็นว่าสายตาของนางกำลังเล็งไปที่ไป๋เสี่ยวเฉิน อีกทั้งสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป
“ไป๋เสี่ยวเฉิน”
หลานเสี่ยวหยุนตกใจจนหน้าถอดสีนางดึงไป๋เสี่ยวเฉินมาหลบด้านหลัง ก่อนจะจ้องเขม็งไปที่หญิงสาวผู้มาเยือนบ้านนางด้วยเจตนาไม่ดี
“น้าเสี่ยวหยุนไม่ต้องห่วงเฉินเอ๋อหรอก” ไป๋เสี่ยวเฉินตบหลังหลานเสี่ยวหยุน ทีท่าของเขาราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย ๆ จากนั้นเขาก็หันไปมองมู่ชิงเกอ “เจ้ามีอะไรกับหม่ามี้ของข้า ?”
”เจ้าเป็นบุตรชายของไป๋หยานกระนั้นหรือ?”
มู่ชิงเกอหัวเราะเยาะไม่น่าแปลกใจที่นางจะเกลียดเด็กคนนี้เอามาก ๆ
ปรากฎว่าเด็กคนนี้เป็นลูกนอกคอกของไป๋หยานเด็กที่ไป๋หยานให้กำเนิดทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน !
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานส่งสัญญาณทางสายตาให้กับตงรั่วหลานเนื่องจากหลานหยูบุตรชายของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ เช่นนั้นยามนี้เขาจึงต้องสั่งตงรั่วหลานแทน
ตงรั่วหลานเข้าใจได้ทันทีนางพยักหน้าให้ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลาน ก่อนจะถอยกลับไป
”แม่นาง”ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานกล่าว พร้อมกับหันไปมองมู่ชิงเกอ ด้วยสีหน้าเฉยเมย “หากเจ้ามาที่นี่ในฐานะแขก บ้านสกุลหลานของข้าก็ยินดีต้อนรับ แต่หากเจ้ามาด้วยเจตนาประสงค์ร้าย ข้าเกรงว่าบ้านสกุลหลานของข้าคงไม่สามารถต้อนรับเจ้าได้ ”
ก่อนที่มู่ชิงเกอจะทันกล่าวคำหญิงสาวในอาภรณ์สีเขียวที่อยู่ข้างหลังนางก็ตะโกนออกมาว่า “เจ้าเป็นผู้ใด กล้าดีอย่างไร เจ้าไม่คู่ควรที่จะสนทนากับเจ้าหุบเขาของข้า ? เรียกไป๋หยานออกมาเดี๋ยวนี้ !”
เดิมทีพวกเขายังพยายามคาดเดาฐานะของมู่ชิงเกอ ทว่าตอนนี้พวกเขาได้ยินถ้อยคำของสตรีในชุดเขียว พวกเขาก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวเบื้องหน้ามิใช่ธรรมดา
”ท่านยาย”ครั้นไป๋เสี่ยวเฉินเห็นหญิงในชุดเขียวตะโกนใส่หน้าตาทวดของเขา ใบหน้าที่น่ารักของเด็กน้อยพลันปรากฏแววโกรธเกรี้ยวขึ้นมาเล็กน้อย
”ท่านพ่อท่านแม่ของยายไม่ได้สอนให้ท่านให้ความเคารพผู้อาวุโสและรักเด็กบ้างเลยหรือ หม่ามี้ของเฉินเอ๋อสอนเฉินเอ๋อมาตั้งแต่ยังเล็กว่า เราต้องมีเมตตากับผู้อาวุโส ยายไม่ละอายใจบ้างหรือที่ตวาดข่มขู่ท่านผู้เฒ่าน่ะ ?
ประกายตาของหญิงชุดเขียววาวโรจน์ด้วยความโกรธนางพุ่งร่างเข้าไปยืนเบื้องหน้าไป๋เสี่ยวเฉิน ด้วยหมายจะตบหน้าไป๋เสี่ยวเฉิน
”เฉินเอ๋อระวัง !” หลานเสี่ยวหยุนดึงตัวไป๋เสี่ยวเฉินเข้าสู่อ้อมแขนทันที ขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นป้องฝ่ามือของหญิงสาวชุดเขียว
แววตาของไป๋เสี่ยวเฉินเย็นชาลงเขาจ้องมองมือที่กำลังลดลงเรื่อย ๆ นัยน์ตาใสสะอาดของเขาแวววาวด้วยประกายแสงสีแดง
”เมี้ยว!”
ขณะนี้ไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็นว่าชายเสื้อของไป๋เสี่ยวเฉินเผยอขึ้นทั้งที่ไม่มีลม นัยน์ตาคู่นั้นของเด็กน้อยไม่ได้แลดูไร้เดียงสาเฉกเช่นเคย ทว่ากลับกลายเป็นดวงตากระหายเลือดราวกับสัตว์ร้าย
ทว่าทุกอย่างกลับถูกแมวน้อยเข้ามาขัดจังหวะ!
เสี่ยวมี่กระโจนเข้าใส่หญิงชุดเขียวทันทีส่งผลให้นางเกือบจะล้มลงกับพื้น จากนั้นกรงเล็บอันแหลมคมของเสี่ยวมี่ก็ตรงเข้าข่วนแก้มของนางจนเลือดไหลรินอย่างรวดเร็ว
”เมี้ยว!”
ครั้นเห็นเสี่ยวมี่ปรากฏตัวไป๋เสี่ยวเฉินก็ผละออกจากอ้อมแขนของหลานเสี่ยวหยุน จากนั้นก็วิ่งไปที่เสี่ยวมี่
ทันทีที่เขาวิ่งไปถึงเสี่ยวมี่เขาก็เอ่ยถามด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ได้ล่ะ ?”
”นายหญิงเกรงว่าท่านจะสร้างปัญหา เลยให้ข้าติดตามท่านมา” เสี่ยวมี่ลดเสียงลง “นอกจากนี้ นายหญิงไม่ได้บอกรึว่า ท่านไม่ควรทำเช่นนี้นอกบ้าน มิเช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วตัวตนของท่านในฐานะสัตว์อสูรย่อมจะถูกเปิดเผย”
ไป๋เสี่ยวเฉินยังมิใช่สัตว์อสูรโดยสมบูรณ์หากแต่เขาเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์อสูร อย่างไรก็ตาม ความสามารถของเขาก็แข็งแกร่งกว่าสัตว์อสูรอื่น ๆ อีกทั้งเขายังสามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้นับแต่มีวัยเพียงแค่หนึ่งเดือน
และหากมีข่าวแพร่กระจายออกไปว่ามีสัตว์อสูรที่สามารถแปลงร่างได้แน่นอนว่าผู้คนจำนวนมากมายในแผ่นดินนี้จะแห่มาช่วงชิงตัวเขา !
ไป๋เสี่ยวเฉินลดศีรษะลงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อน ๆ ว่า “พอข้าเห็นน้าเสี่ยวหยุนพยายามยกมือขึ้นปกป้องข้า ข้าก็แทบจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ … ”
โชคดีที่เสี่ยวมี่เข้ามาทันเวลาหาไม่แล้วในวันนี้ ตัวตนที่แท้จริงของเขาจะต้องถูกเปิดเผยเป็นแน่ !
บทที่ 213 : ไป๋หยานมาแล้ว (1)
”ข้าแจ้งนายหญิงแล้วนางจะมาถึงที่นี่ในเร็ว ๆ นี้ อย่าทำเช่นนั้นอีกล่ะ” เสี่ยวมี่ถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ
ดูเหมือนว่าต่อไปในภายหน้าข้าคงไม่อาจละทิ้งนายน้อยได้เลย หาไม่แล้วอาจเกิดเรื่องผิดพลาดได้โดยง่าย
”สัตว์อสูรกระนั้นรึ?”
ยามนี้มู่ชิงเกอกำลังมองเสี่ยวมี่ด้วยความประหลาดใจ นางขมวดคิ้ว “ไม่คาดคิดว่าจะมีสัตว์อสูรอยู่ในมือของเจ้า แต่ไม่ว่าสัตว์อสูรนั่นจะแข็งแกร่งเพียงใด มันก็ไม่สามารถต่อสู้กับหุบเขาเพลงพิณของเราได้หรอก”
หุบเขาเพลงพิณกระนั้นหรือ?
ใบหน้าของท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมหญิงผู้นี้มาจากหุบเขาเพลงพิณกระนั้นรึ ? หยานเอ๋อไปมีเรื่องกับหุบเขาเพลงพิณตั้งแต่เมื่อใด ?
”แม่นางเจ้าบอกว่า เจ้าต้องการจะพบหลานสาวของข้า ทว่าเจ้ายังไม่แจ้งจุดประสงค์ เจ้าจะให้ข้าบอกหยานเอ๋อว่าเจ้าต้องการพบนางด้วยเรื่องใด ?”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอยังคงเฉยชาริมฝีปากของนางเหยียดหยัน “ข้าได้ยินมาว่าไป๋หยานเป็นผู้หญิงของอ๋องคัง ? เช่นนั้น ข้าจึงอยากพบนาง”
ครั้นนางจบประโยคทุกคนต่างก็เข้าใจได้ทันที
นี่แสดงว่านางตกหลุมรักอ๋องคัง
“เสี่ยวมี่…ป๊ะป๋าวายร้ายของข้า ไปหว่านเสน่ห์มาอีกแล้ว เห็นแต่แรกเลยว่า หญิงผู้นี้ก็เป็นอีกคนที่แค้นเคืองหม่ามี้ข้า เพราะป๊ะป๋าไม่สนใจนาง” ไป๋เสี่ยวเฉินทำแก้มพอง นัยน์ตากลมโตของเขาสดใสแวววาว “ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของหม่ามี้ ข้าจะต้องพิจารณาอีกทีแล้วว่าจะรับเขาเป็นป๊ะป๋าดีหรือไม่ ? … ”
อ๋องคังผู้น่าสงสารด้วยเหตุนี้ ทำให้เขาต้องตามตื๊อภรรยาต่อไป โดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามู่ชิงเกอคือใคร
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเย็นชาหนักกว่าเดิมนางจ้องไป๋เสี่ยวเฉินนิ่ง “นี่มารดาของเจ้าไม่ได้สั่งสอนเจ้าเลยใช่หรือไม่ ? เช่นนั้นข้าก็ไม่รังเกียจที่จะสอนมารยาท และศีลธรรมให้เจ้าเอง !”
นางแค้นเคืองที่อ๋องคังไม่สนใจนางงั้นหรือ? ตลกน่า… นางเพียงทนไม่ได้ที่หญิงผู้นั้นตามตื้อเขาต่างหาก !
”เมี้ยว”เสี่ยวมี่เลียอุ้งเท้าของตนเอง พลันดวงตาเกียจคร้านของมันก็มองมู่ชิงเกออย่างดูถูกเหยียดหยามชัดเจน
ครั้นเห็นใบหน้าของมู่ชิงเกอเย็นเยือกลงเรื่อยๆ อีกทั้งตงรั่วหลานก็ยังไม่กลับมา นัยน์ตาของท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานก็ตระหนักได้ถึงอันตราย เช่นนั้นเขาจึงหันไปมองหญิงชราคู่ทุกข์คู่ยากอย่างรวดเร็ว
หลานฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนฉลาดเฉลียวนางรีบไปยืนข้างไป๋เสี่ยวเฉิน พร้อมกับดึงเด็กน้อยเข้าสู่อ้อมแขน เพื่อปกป้อง เพราะเกรงว่า เด็กน้อยอาจถูกมู่ชิงเกอทำร้าย
นางอุ้มไป๋เสี่ยวเฉินไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับจ้องมองมู่ชิงเกอ
”ก่อนที่จะพบกับหลานสาวของข้าเจ้ารู้ฐานะที่แท้จริงของนางหรือไม่ ? หลานสาวของข้าคือเจ้าหอบุปผา และผู้ดูแลหอบุปผา ก็เป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง เจ้าหุบเขาเพลงพิณ และเจ้าหอบุปผา ต่างก็เป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ หากต่อสู้กันผู้ใดจะแพ้ ผู้ใดจะชนะก็ยังไม่อาจคาดเดา”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหรี่ลงอารมณ์ที่รุนแรงในตัวของนางสูญสลายลงไปมาก นัยน์ตาที่สวยงามของนางเปล่งประกายเย็นเยือก จากนั้นนางก็หัวเราะเยาะ “ฮัวหลัวงั้นหรือ ? ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ข้าไม่สนหรอก”
แต่… หากไป๋รั่วปิดบังเรื่องราวเหล่านี้ นางก็จะไม่ยกโทษให้ไป๋รั่วเช่นกัน !
”ฮ่าฮ่า”สตรีในชุดเขียวหัวเราะเยาะ นางเช็ดใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยข่วนจากเสี่ยวมี่เมื่อครู่ นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยแววเยาะหยัน “เจ้าคิดจะเปรียบเทียบหอบุปผากับหุบเขาเพลงพิณของเรา ! สตรีทุกคนในหุบเขาเพลงพิณนั้นงดงาม เรียบร้อย อีกทั้งยึดมั่นในความบริสุทธิ์ ขณะที่หอบุปผาเป็นเพียงแหล่งบันเทิงทางเพศ จะมาเทียบกับหุบเขาเพลงพิณได้อย่างไร
ความหมายก็คือสตรีทุกคนในหอบุปผาล้วนเป็นสตรีที่มีมลทินในขณะที่สตรีทุกคนในหุบเขาเพลงพิณนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับนางฟ้า ! หากให้คนทั้งโลกเลือก ย่อมต้องเลือกสาว ๆ จากหุบเขาเพลงพิณอย่างแน่นอน !
”เสี่ยวมี่,ข่วนนางเลย !”
บทที่ 214 : ไป๋หยานมาแล้ว (2)
”เมี้ยว!”
หลังจากไป๋เสี่ยวเฉินพูดจบเสี่ยวมี่ก็กระโดดพุ่งตัวเข้าหาหญิงในชุดเขียว มันกางกรงเล็บอันแหลมคมตะปบลงบนใบหน้าอีกซีกของหญิงคนนั้น ผลก็คือใบหน้าซีกนั้นย่อยยับ
”อ๊า!” หญิงในชุดเขียวส่งเสียงร้องกรี๊ด นางป่ายมือตบเสี่ยวมี่ที่อยู่ตรงหน้านาง
หากแต่เสี่ยวมี่ก็หลบได้อย่างรวดเร็วก่อนจะร่อนลงสู่พื้น
เสี่ยวมี่เลียกรงเล็บเปื้อนเลือดขณะมองหญิงในชุดเขียวด้วยอาการเย้ยหยัน
”ข้าจะฆ่าเจ้า!” หญิงชุดเขียวนัยน์ตาแดงก่ำ นางอยากจะสอนบทเรียนให้กับแมวน้อย ทว่ามู่ชิงเกอกลับยื่นแขนที่เรียวงามราวหยกออกมาห้ามนาง
”ปี่ซีหยุดนะ !” ใบหน้าของมู่ชิงเกอเคร่งขรึม นางมองแมวขาวตัวน้อยที่อยู่บนพื้นด้วยแววตาเย็นชา ดวงตาของแมวน้อยนั้นแลดูเต็มไปด้วยการยั่วยุ “ข้าผิดเอง ที่ดูถูกสัตว์อสูรตัวนี้ ตอนนี้ดูเหมือนว่าพลังของสัตว์อสูรนี่จะถึงขั้นที่สามเทียนเจี่ยแล้ว ?”
ความแข็งแกร่งของปี่ซีนั้นอยู่ในระดับต่ำสุดของขั้นที่สามเทียนเจี่ยการที่แมวขาวตัวน้อยนี้สามารถทำร้ายนางได้หลายต่อหลายครั้ง แสดงว่าความแข็งแกร่งของมันต้องอยู่ในขั้นที่สามเทียนเจี่ยขึ้นไป
หรือบางทีสัตว์อสูรตัวนี้อาจจะอยู่ในระดับกลางของขั้นที่สามเทียนเจี่ยแล้วก็เป็นได้?
ในขณะที่มู่ชิงเกอดูเหมือนจะยังไม่ได้คำตอบนั้นแต่ทันทีที่นางหลุดปากออกมาว่า เสี่ยวมี่เป็นสัตว์อสูรที่จัดอยู่ในระดับกลางของขั้นที่สามเทียนเจี่ย ดวงตาของอีกฝ่ายก็เปล่งประกายเหยียดหยาม
”ขั้นที่สามเทียนเจี่ยอะไรกัน?”
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกใจ พวกเขาจ้องมองแมวขาวตัวเล็ก ๆ ที่แลดูไร้พิษสงบนพื้นด้วยความประหลาดใจ
เจ้าแมวตะกละเนี่ยนะเป็นสัตว์อสูรขั้นที่สามเทียนเจี่ย ?
”ข้าห้ามเจ้าพูดถึงป้าฮัวในทางที่ไม่ดี”ใบหน้าเล็ก ๆ ของ ไป๋เสี่ยวเฉิน เต็มไปด้วยความโกรธ “ป้าฮัวหลัวดีกว่าพวกผู้หญิงเลว ๆ ของเจ้ามาก !”
ครานี้มู่ชิงเกอไม่กล่าวคำใดนางขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะมองเด็กน้อยตรงหน้า นัยน์ตาของนางวาววับพร้อมกับส่องประกายเย็นชา
”หม่ามี้!”
ทันใดนั้นเองนัยน์ตาของไป๋เสี่ยวเฉินพลันสว่างไสวขึ้นทันที น้ำเสียงที่นุ่มนวลของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ครั้นมู่ชิงเกอได้ยินนางก็หันกลับไปมองสตรีที่ก้าวผ่านบานประตูเข้ามา
ทันใดนั้นเองลมหายใจของนางก็แทบหยุด
สตรีในอาภรณ์สีแดงงดงามมากความงามของนางทำให้ทุกผู้คนที่อยู่เบื้องหน้านางแลดูหมองไปเลย
ก่อนหน้านั้นมู่ชิงเกอ มีความมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของนางมาก หาไม่แล้ว นางคงไม่คิดว่า นางคู่ควรจะเป็นชายาของอ๋องคังหรอก
แต่ครั้นเห็นสตรีผู้นี้นางเพิ่งเข้าใจคำที่ว่า งามจนตะลึง !
หลังจากที่ตะลึงแล้วสิ่งที่ตามมาก็คือความอิจฉาเปี่ยมล้น ความหึงหวงของนาง ทำให้นางรู้สึกราวกับแมลงกำลังกัดแทะหัวใจ ยามนี้หัวใจของนางยิ่งเต็มไปด้วยไฟริษยา
แน่ใจได้เลยว่าไป๋หยานคงต้องใช้ใบหน้าสวย ๆ นี่ล่อลวงอ๋องคังเป็นแน่ บางทีทั้งคู่อาจจะมีความสัมพันธ์กันแล้วก็เป็นได้
ครั้นคิดถึงภาพที่อ๋องคังและหญิงผู้นี้อยู่ร่วมเตียงเดียวกัน ก็เป็นเรื่องยากที่นางจะยอมรับได้
”เจ้าคือไป๋หยานใช่หรือไม่?” มู่ชิงเกอหายใจเข้าช้า ๆ นางกล่าวโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ
ไม่ว่าในใจของนางจะมีความรู้สึกเช่นใดบนใบหน้าที่งดงามของนางกลับไม่ปรากฏร่องรอยใดเลยแม้แต่น้อย
”ท่านตาท่านยาย เกิดเรื่องใดขึ้น ?”
ไป๋หยานเดินผ่านหน้ามู่ชิงเกอราวกับไม่เห็นมู่ชิงเกออยู่ในสายตา นางก้าวย่างอย่างแช่มช้า เข้าไปหาท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลาน
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานถอนหายใจ”เหตุใดเจ้าถึงมาแต่เพียงผู้เดียวเล่า ข้าบอกรั่วหลานให้ไปขอความช่วยเหลือจากอ๋องคัง นี่เขาไม่ได้มากับเจ้ากระนั้นรึ ?”
ไป๋หยานขมวดคิ้ว”ข้าไม่เห็นท่านป้าเลย ทั้งอ๋องคังก็ไม่ได้อยู่บ้านด้วย แต่ไม่ว่าอ๋องคังจะมาหรือไม่ ก็ไม่แตกต่างกันหรอก”
”พี่ไป๋หยาน!”
ครั้นหลานเสี่ยวหยุนเห็นไป๋หยานปรากฏกายนางก็มีทีท่าราวกับจะร่ำไห้
บทที่ 215 : ไป๋หยานมาแล้ว (3)
”เมื่อครู่หญิงผู้นั้นคิดจะตีเสี่ยวเฉิน”
ใบหน้าของไป๋หยานดำคล้ำด้วยความโมโหกล้าดีอย่างไรถึงคิดตีบุตรชายของนาง ?
นางอยากเห็นเหลือเกินว่าผู้ใดกันที่กล้าดี กล้าแตะต้องบุตรชายของนาง !
”อ้อ! ยังมี” หลานเสี่ยวหยุนกล่าวต่อ “หญิงผู้นี้สนใจผู้ชายของพี่ คาดว่านางอาจถูกเขาปฏิเสธ เช่นนั้นนางจึงมาสร้างปัญหาที่นี่”
หนี้รักที่ตี้คังเป็นผู้สร้างอีกแล้วกระนั้นรึ?
มุมปากของไป๋หยานยกสูงขึ้นเล็กน้อยนางกวาดสายตาไปมองร่างของมู่ชิงเกอ “มือข้างใดของเจ้าที่เมื่อครู่คิดใช้ตีบุตรชายของข้า ?”
“ไม่ใช่นางทว่าเป็นสาวใช้ที่อยู่ถัดจากนาง สาวใช้ผู้นั้นคิดจะใช้มือขวาของนางตีเสี่ยวเฉิน” ครั้นหลานเสี่ยวหยุนเห็นไป๋หยานมาช่วย นางก็เลิกกลัว
สีหน้าของมู่ชิงเกอเย็นชานางอยากจะด่าหลานเสี่ยวหยุน หากแต่ก็เห็นสตรีที่ยืนอยู่ด้านหน้าหลานเสี่ยวหยุนหายตัวไปแล้ว …
ครั้นมู่ชิงเกอกลับมารู้สึกตัวนางก็พบว่าไป๋หยานไปยืนอยู่หน้าปี่ซีแล้ว ไป๋หยานดึงดาบที่ห้อยไว้ข้างเอวออกมาจากนั้นก็ฟันฉับลงไป
ลำแสงจากดาบสะท้อนวาบบนใบหน้าของนางราวกับใบหน้าของนางปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง
”อ๊า!”
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแขนของปี่ซีถูกตัดขาดทันที เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมานองพื้น
”โชคดีที่เจ้าไม่ได้ใช้มือทั้งสองข้างหาไม่แล้ว … แขนอีกข้างของเจ้าก็จะไม่เหลือ”
การลงมืออย่างฉับไวของไป๋หยานทำให้ทุกคนประหลาดใจ หลานเสี่ยวหยุนเอื้อมมือออกไปปิดตาของไป๋เสี่ยวเฉินอย่างทันท่วงที ทว่าไป๋เสี่ยวเฉินกลับคว้าไว้
“น้าเสี่ยวหยุนไม่ต้องห่วงข้าหรอก ครั้งที่ข้าเดินทางรอนแรมกับหม่ามี้นั้น ข้าเห็นผู้คนถูกสัตว์อสูรจับกินมานักต่อนักแล้ว ดังนั้นฉากเช่นนี้จึงทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
ก่อนที่สองแม่ลูกจะถูกนำตัวไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นสองแม่ลูกใช้เวลาพเนจรอยู่ภายนอกถึงหนึ่งปี เป็นเพราะไป๋เสี่ยวเฉินเติบโตอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถจำความได้ตั้งแต่อายุเพียงไม่กี่เดือน
ฉากเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่รับไม่ได้สำหรับเขา…
ครั้นหลานเสี่ยวหยุนได้ยินเช่นนั้นหัวใจของนางก็เจ็บจนแทบจะร้องไห้
ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ คนบ้านสกุลไป๋นั่นกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร ? พวกเขาบีบบังคับพี่ไป๋หยานให้ต้องตะลอน ๆ อยู่ภายนอกกับเฉินเอ๋ออย่างนั้นเป็นเวลานาน…
”ช่างกล้านัก!” สีหน้าของมู่ชิงเกอเปลี่ยนไปทันที นางกล่าวด้วยความโกรธว่า “ไป๋หยาน เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอะไร ? หากตี้คังรู้ว่าหญิงที่ชอบเป็นคนเช่นใด เจ้าคิดว่า … เขาจะอภัยให้เจ้าได้กระนั้นหรือ ?”
ไป๋หยานหัวเราะเยาะ”อภัยให้ข้า มีอะไรที่เขาจะต้องอภัยให้ข้ากัน ? มีแต่ข้าต่างหากที่จะเป็นผู้ตัดสินว่าจะอภัยให้เขาหรือไม่ ?”
นางเย่อหยิ่งอีกทั้งจองหอง นางไม่มีวันยอมก้มหัวให้ผู้ชาย !
”ทำพูดดีไปเถอะ”มู่ชิงเกอกล่าวพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าต้องใช้เวลามากมายเพียงใดในการล่อลวงอ๋องคัง ? เจ้าจะไม่สนใจจริง ๆ งั้นรึ ? ไยเจ้าไม่กล้ายอมรับว่ากลัวจะสูญเสียเขาไปล่ะ ?”
ไป๋หยานตกตะลึงนี่นางเสียเวลาล่อลวงอ๋องคังอยู่นานงั้นรึ ? ทั้งยังกลัวที่จะสูญเสียเขาไปอีกด้วย
เอ่อ…ไยนางถึงไม่รู้เลยล่ะ ?
ช่วงเวลาเดียวกัน
ภายในตำหนักอ๋องคังที่ถูกเผาทำลายจนสิ้นองครักษ์ในเครื่องแบบยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง เขาเฝ้ามองช่างที่กำลังค่อย ๆ ทำงานอย่างเชื่องช้า
”ช้าหน่อยๆ พวกเจ้าทำงานกันให้ช้าลงอีก นี่คือคำสั่งของอ๋องคัง อย่าหาว่าข้าไม่เตือนพวกเจ้าก่อนล่ะ แล้วพวกเจ้าก็ไม่ต้องสงสัยอะไรด้วย”
อย่างไรก็ตาม…
หลังจากองครักษ์กล่าวจบพวกเขาก็เห็นหญิงสาวแสนสวยในอาภรณ์หรูหราวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน