SGS บทที่ 320 – ตัวใหญ่? หมัดทำลายล้าง? เกะกะน่า!!
บรรยากาศตึงเครียดได้แพร่กระจายไปทั่วชั้นห้ายามที่วู่หยานเหยียบขึ้นไปบนลานประลอง ทุกคนหายใจแผ่วเบาโดยไม่พูดอะไรอีก ทำให้ที่นี่เงียบกริบ……
รอบๆลานประลองได้ถูกคนของทั้งเก้าขุมกำลังใหย่ยืนล้อมไว้หมดแล้ว มิโคโตะกับฮินางิคุไปยืนอยู่กับพวกเฟยเฟยโดยที่สายตาจับจ้องไปยังเวทีด้วยสีหน้านิ่งๆ
หลายคนที่เห็นสีหน้าของ มิโคโตะและฮินางิคุ บ้างก็เกิดสงสัยว่าทำไมทั้งสองถึงดูไม่เป็นห่วงเพื่อนเลย บ้างก็แสยะยิ้มเย้ยหยันในความคิดของคนเหล่านี้คือสองสาวเชื่อใจวู่หยานแบบหูตามืดบอด และบ้างก็ขมวดคิ้วสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งสาม
ไม่ว่าพวกเขาจะเดายังไงก็ไม่มีทางถูก สำหรับมิโคโตะกับฮินางิคุแล้ว มันไม่ใช่แค่เชื่อใจแบบหูตามืดบอด แต่เป็นเชื่อมั่นสุดหัวใจ!!!
บนลานประลองนอกจากวู่หยานก็มีกรรมการ ถึงจะบอกว่าเป็นกรรมการแต่อีกฝ่ายก็มีหน้าที่แค่ประกาศผลแพ้ชนะเท่านั้น…..
กรรมการกวาดสายตามองผู้คนด้านล่างแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ขอเริ่มเปิดการประลองอย่างเป็นทางการ! มีใครอยากขึ้นมาท้าทายมั้ย!”
ได้ยินทุกคนก็ตัวเกร็ง ส่วนวู่หยานนั่นกำลังจ้องไปยังบิงเมียนด้วยสายตาที่รู้ๆกันอยู่
บิงเมียนยิ้มเย้ยมองวู่หยาน จากนั้นพูดยั่วยุ “แกคงไม่คิดหรอกนะว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอให้ฉันที่เป็นถึงรองผู้นำของ ธารเหมันต์ ลดตัวลงไปสู้ด้วยน่ะ? เฮอะ! ชนะคนอื่นๆให้ได้ก่อนเถอะ!”
ได้ยินวู่หยานก็ยกมือลูบคางด้วยสีหน้าครุ่นคิด ไม่นานนักเขาก็อมยิ้ม “ก็ได้ นายมันไม่เหมาะมาเป็นตัวเปิดคนแรกของฉันจริงๆนั้นแหละ งั้นก็….ว่าง่ายๆทำตัวดีๆรอไปก่อนซะ เพราะนายมันก็เป็นแค่รองผู้นำนี่น่ะ……”
“แก!” บิงเมียนหน้าดำเมี่ยมด้วยความโกรธที่โดนดูถูก
ใกล้กัน บิวท์มองวู่หยานบนลานประลอง จริงๆเขาก็อยากขึ้นไปสู้ด้วยมาก แต่คิดไปคิดมาเขาก็ล้มเลิกแล้วติดสินใจหันมาดูสถานการณ์ไปก่อน ผู้นำของอีกหกขุมกำลังก็คิดแบบเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครก้าวขึ้นไปลานประลอง……
ขณะที่วู่หยานเริ่มหงุดหงิด กรรมการก็เป็นฝ่ายพูดก่อนเขาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเช่นกัน
“ไม่มีผู้ท้าชิงเลยหรือไง?”
แต่ที่ทำวู่หยานประหลาดใจก็คือ พอได้ยินกรรมการพูดไม่กี่คำไอ้พวกคนด้านล่างก็พากันเคลื่อนไหว รวมไปถึงบิงเมียน
ณ เวลานี้บิงเมียนกำลังมองนักเรียนพิเศษด้านหลังตน ก่อนที่จะนิ้วไปยังคนคนนึง “นายไป!อย่าออมมือเด็ดขาดล่ะ!!”
“รับทราบ!” รับปากเสร็จ เขาก็เงยหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นขึ้นจากนั้นแสยะยิ้ม
ภายใต้สายตาของทุกคน เขาก็กระโดดตัวลอยขึ้นไปบนเวทีตรงหน้าวู่หยาน ตอนนี้เองทุกคนก็เห็นหน้าเขาชัดแล้ว
กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างปูดแน่นราวกับจะระเบิดออกมา ผิวหนังมันเงาสะท้อนแสงเผยให้เห็นรอยแผลทั่วตัวยังกับทหารผ่านศึก
แม้ว่าเขาจะยื่นห่างจากวู่หยานกว่าห้าเมตร แต่ผู้คนก็ยังสามารถมองเทียบขนาดตัวของทั้งสองได้ เทียบกันแล้ววู่หยานดูเป็น ‘เด็ก’ไปเลย…….
หน้ายังคงรอยยิ้มแสยะไว้ เขาพูดใส่วู่หยาน “ผู้ครองบันลังค์อันดับที่58 ลัคซ์ แห่ง ธารเหมันต์! ไอ้เตี้ย!จงยอมรับคำท้าประลองของข้าซะ!”
ได้ยินวู่หยานก็พยักหน้าเบาๆ แล้วหยิบบัตรนักเรียนออกมา “ถ้านายชนะก็เอาหนึ่งหมื่นแต้มนี้ไป!”
ลัคซ์หัวเราะฮ่าๆ แล้วหยิบบัตรออกมาเหมือนกัน “งั้นข้าขอรับแต้มของเจ้าไปอย่างไม่เกรงใจล่ะนะ!”
เห็นทั้งสองหยิบบัตรออกมา กรรมการก็เริ่มพูด “ทั้งสองฝ่ายโปรดส่งบัตรประจำตัวมา!!”
สิ้นเสียง วู่หยานก็เห็นแต่เดิมลัคซ์ที่กำลังยิ้มอุบาทก็ได้รีบหุบยิ้มทันทีแล้วส่งบัตรให้ด้วยท่าทางนอบน้อมราวกับยื่นของให้ผู้หลักผู้ใหญ่
วู่หยานมองด้วยความสงสัย ก่อนจะเริ่มสังเกตเห็นว่าแทบจะทุกคนต่างมีท่าทางเคารพต่อกรรมการ!
เหลือบมองกรรมการไปอีกที พริบตานึงนัยน์ตาวู่หยานก็เรืองแสง เขาเปิดใช้ระบบตรวจดูเลเวลอีกฝ่าย เมื่อเห็นวู่หยานก็เกือบจะกัดลิ้นตัวเอง
แรงค์8เว้ยเฮ้ย! เป็นถึงแรงค์8แต่กับมารทำหน้าที่กรรมการเนี่ยนะ?…………
วู่หยานคิด ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเพราะคนระดับสูงของ Silvaria World Academy บางทีอีกฝ่ายอาจจะกลัวว่าจะเกิดอุบัตเหตุ ดังนั้นเลยส่งคนระดับนี้มาคุม ไม่แปลกที่ไอ้เจ้าคนชื่อลัคซ์จะนอบน้อมขนาดนั้น……
เมื่อเก็บบัตรของทั้งสองเสร็จ กรรมการก็เดินลงเวที ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงแค่เขาสองคน!
เมื่อกรรมการไป ลัคซ์ก็กลับมาซ่าอีกครั้ง วู่หยานไม่ได้หวาดกลัวอีกฝ่ายเลยแม้ว่าเขาจะสูงถึงแค่เอวหมอนั้นเท่านั้น “ถ้าแกเกิดกลัวล่ะก็ จะยอมแพ้แต่ตอนนี้ข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ!ไอ้เตี้ย!”
เผชิญกับคำยั่วยุ วู่หยานทำแค่ยิ้มอ่อน “โห ใจดีจังนะ งั้นตอนแกกลัวฉันก็จะให้โอกาสแกได้ยอมแพ้ด้วยล่ะกัน! ไอ้ยักษ์!”
ลัคซ์กู่ร้องจากนั้นก็มีปราณจำนวนแผ่พุ่งออกมาจากตัวเขา นี่ทำให้เกิดแรงลมพัดไปทั่ว แน่นอนว่าวู่หยานเราก็โดนลมตีหน้าเหมือนกัน
“ฮ่าๆๆ! ตายซะ!!!”
ลัคซ์หัวเราะเสียงดัง แล้วชูหมัดขึ้นจากนั้นปราณจากทั้งร่างเขาก็ได้ไปรวมตัวกันที่หมัดข้างนั้น เมื่อปราณไหลไปรวมตัวจนหมด หมัดของลัคษ์ก็ได้ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า!
“โผล่ออกมาแล้ว! หมัดทำลายล้างของลัคซ์!!”
“ฮ่าๆๆ เจอหมัดนี้เข้าไปเจ้าเด็กใหมนั่นไม่จบแค่กระดูกหักท่อนสองท่อนหรอกนะ!”
เห็นภาพนี้คนของ ธารเหมันต์ ก็ตะโกนเชียร์กันใหญ่ บิงเมียนเองก็ยิ้มกว้าง แต่ทางเฟยเฟยกำลังทำสีหน้ากังวลนิดๆ
“นี่มัน…ออกจะเป็นปัญหาอยู่บ้าง…..”
ใกล้เธอ ฮินางิคุ เมื่อได้ยินก็หันมาถามด้วยรอยยิ้ม “พี่สาวเฟยเฟย หมัดนั้นสุดยอดขนาดนั้นเลย?”
เฟยเฟยจับดาบภูติราตรีแน่น แล้วพูดด้วยท่าทางปวดหัว “จะบอกว่าสุดยอด มันก็สุดยอดจริงๆนั่นแหละ อย่างน้อยถ้าฉันรับหมัดนั้นเข้าไปคงได้เจ็บตัวไม่ใช่น้อยแน่นอน!”
พูดถึงตรงนี้ เฟยเฟยก็หัวเราะออกมา “แน่นอนว่าถึงหมัดนั่นจะรุนแรง แต่ก็ไม่ได้เร็วมาก ถ้าเป็นหยานล่ะก็ต้องหลบได้แน่”
ฮินางิคุพยักหน้าเห็นด้วย ทันใดนั่นเองมิโคโตะก็พูดออกมาด้วยมุมปากบิดเบี้ยว “เฮ้ เจ้าบ้านั่นคงไม่คิดที่จะประสานหมัดกับอีกฝ่ายใช่มั้ย!”
ได้ยิน เฟยเฟยกับฮินางิคุก็ตกใจรีบหันกลับไปมองลานประลอง ที่เห็นคือวู่หยานยืนยิ้มแฉ่งกับที่!
เฟยเฟยรีบก้าวไปด้านหน้าสองก้าวแล้วตะโกนใส่ “หยาน!! ต่อให้เป็นนายก็รับหมัดนั่นไม่ไหวหรอกนะ!!!”
อนิจจัง ถึงจะได้ยินแต่วู่หยานก็ทำเป็นหูหนวก ทางลัคซ์เมื่อเห็นก็ฉีกยิ้มด้วยความตื่นเต้น ที่เขากลัวมากที่สุดก็คืออีกฝ่ายจะหลบ แต่ในเมื่อมันบ้าคิดจะรับก็เข้าทางเขาเลย!
หมัดยักษ์ชกตู้มไปที่วู่หยาน!
ทางที่หมัดพุ่งผ่านได้มีอุณหภูมิสูงขึ้นราวกับดาวตกที่เสียดสีชั้นบรรยากาศ ณ เวลานี้ไม่มีใครคิดสงสัยเลย ว่าเมื่อโดนหมัดนี้เข้าไปวู่หยานต้องบาดเจ็บหนักแน่!
ในชั่วเวลาวิกฤต วู่หยานก็ได้ยกมือขึ้นแล้วชกใส่หมัดยักษ์ด้านหน้าตน
ตู้ม! หลังจากเสียงดัง ก็เกิดเป็นภาพหมัดยักษ์ของลัคซ์ถูกต้านไว้ด้วยหมัดเล็กๆของวู่หยาน!