ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองบุตรแห่งราชานรกอย่างไม่สนใจราวกับว่าเขากำลังเล่าเรื่องตลกอยู่ แล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมยว่า “ชาติก่อนพวกเราไม่เคยเจอกัน”
“เพราะอย่างนั้นข้าถึงได้บอกว่าท่านเอาแต่หลบหน้านางอย่างไรล่ะ” บุตรแห่งราชานรกตอบพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย “คนสองคนอาศัยอยู่บนภูเขาเดียวกัน อยู่ในที่ดินผืนเดียวกัน แต่กลับไม่เคยพบหน้ากัน ย่อมหมายความว่าท่านจงใจหลบหน้านาง”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันไปมองเขาพร้อมกับพูดว่า “ข้าไม่เคยหลบใคร” เขาตอบอย่างใจเย็น “ตอนนี้ไหนๆ เจ้าก็พูดขึ้นมาแล้ว จะว่าไปมันก็แปลกทีเดียวที่ข้าไม่เคยพบนางมาก่อนทั้งที่พวกเราอาศัยอยู่บนภูเขาเดียวกัน เจ้าแน่ใจหรือว่าคนที่พยายามหลบหน้าข้าไม่ใช่นาง”
บุตรแห่งราชานรกชะงักกับคำถามของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วจึงขมวดคิ้วมุ่น เขานึกไม่ออกว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่เพราะมันผ่านมานานมากแล้ว
ถ้าตอนนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้เปิดเผยว่าตัวเองมีพลังพุทธคุณละก็ เขาก็คงจำชาติก่อนของนางไม่ได้เหมือนกัน
แต่พอมาคิดดูอีกที… การปรากฏตัวของผู้หญิงที่มีพลังพุทธคุณคนนี้ก็แปลกประหลาดอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว นางไม่กลัวปีศาจหรือสัตว์อสูร อีกทั้งตอนที่นางได้พบกับยมทูต นางก็ยังรู้ถึงการมีอยู่ของราชาปีศาจอยู่แล้ว แต่กระนั้นนางกลับไม่เคยสร้างปัญหาอันใดให้กับเขา
นางกลัวราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่คนนี้หรือ
เหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น…
บุตรแห่งราชานรกหยุดฝีเท้าลงกลางคัน จากนั้นจึงทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก ดวงตาของเขาเป็นประกายตอนที่บอกว่า “เดี๋ยว พวกท่านสองคนเคยพบกันอย่างน้อยก็สองครั้ง แต่ท่านเพียงแค่ไม่รู้ตัวเท่านั้น ครั้งแรกนางมองดูท่านเอามือไพล่หลังเดินจากไป นางมองท่านอยู่จนลับตาทีเดียว ท่านมัวแต่สู้กับท่านพ่อของข้าอยู่ และกำลังง่วนอยู่กับการใช้เชือกตรึงอสูรล่ามเขาไว้กับต้นไม้ ตอนนั้นข้ายังเด็กและอยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้ใหญ่ ข้าก็เลยถามนางว่านางกำลังมองอะไรอยู่ นางบอกข้าว่านางกำลังมองสิ่งสวยงามอยู่ นางดูไม่เหมือนคนที่จะหลบหน้าท่านเลย ตรงกันข้าม นางกลับดูเหมือนคนที่เคยรู้จักท่านมาก่อนมากกว่า ไหนบอกข้ามาสิท่านราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ ท่านไม่เคยทอดทิ้งนางจริงๆ หรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองตรงไปที่เขาแล้วตอบว่า “ไม่เคย”
“ข้าพิสูจน์ได้ว่าคำพูดนั้นเป็นความจริง นายท่านกินแค่เพียงวิญญาณ เขาปราศจากซึ่งอารมณ์ใดๆ” กิเลนอัคคีเอ่ยขึ้นเพื่อเป็นพยานให้กับผู้เป็นนาย
บุตรแห่งราชานรกเผยสีหน้าบึ้งตึงออกมาอีกครั้ง แล้วมองมันอย่างชั่วร้ายพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าติดตามเขาหลังจากที่เขาตกลงมาจากสวรรค์ เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้น”
สีหน้าของกิเลนอัคคีแข็งค้าง ก็จริง มันไม่มีทางรู้เลยว่านายท่านเป็นอย่างไรก่อนที่เขาจะตกจากสวรรค์
ตอนที่เขา ชิงหลง และสัตว์อสูรกลืนเวหาพบกับนายท่าน เขาก็กลายเป็นคนที่สง่างามและชั่วร้ายที่สุดแล้ว ในเวลานั้น ทุกคนที่อยู่บนเขาไท่ไป๋ต่างก็พูดถึงชายหนุ่มที่ปรากฏตัวขึ้นมาจากความมืดผู้นี้กันทั้งนั้น
ไม่มีใครรู้ว่าเขากลายเป็นปีศาจได้อย่างไร แต่ทุกคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจกับบรรยากาศแห่งความชั่วร้ายและศักดิ์สิทธิ์อันแตกต่างกันที่แผ่ออกมาจากร่างเขา
นั่นจึงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เขาสามารถฝึกพวกมันให้เชื่องได้อย่างง่ายดาย
เขากำลังบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่ในอดีตนั้นนายท่านจะเคยทิ้งพระชายามาก่อนหรือ
ความคิดนี้ทำให้กิเลนอัคคีหันไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทันที
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้ว ก่อนจะกระตุกยิ้มขึ้นอย่างชั่วร้าย พร้อมกับเอ่ยว่า “เจ้าแต่งเรื่องเก่งทีเดียว”
“ข้าพูดแต่ความจริงเท่านั้น” บุตรแห่งราชานรกยักไหล่และตอบว่า “จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขาไม่วางตา ดวงตาสีดำสนิทดูเหม่อมลอยราวกับกำลังจมสู่ภวังค์
“ความทรงจำในชาติที่แล้วมักจะสูญหายไปหลังจากเกิดใหม่ แต่ก็อย่างที่ท่านรู้ มีเพียงโชคชะตาทางธรรมของคนเราเท่านั้นที่เหลืออยู่” บุตรแห่งราชานรกหัวเราะพร้อมกับพูดต่อ “แน่นอนว่าเรื่องนี้มีแค่เพียงคนที่ได้จับบัญชีนรกเป็นประจำเช่นพวกข้าเท่านั้นที่รู้ สมัยนั้นท่านไม่รู้จักนางจริงๆ หรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมนางถึงมองท่านเช่นนั้นล่ะ บางทีตอนแรกท่านทั้งสองอาจจะรู้จักกันมาก่อน แต่หลังจากท่านเสียความทรงจำเพราะตกจากสวรรค์ ท่านก็เลยลืมทุกอย่างเกี่ยวกับนางไป”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหลบตาตอนที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ เขารู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจโดยไม่มีเหตุผล
ความเจ็บปวดนั้นชัดเจนมากเสียจนเขาต้องยกมือขึ้นกุมอกเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดอันยากจะหลบหนีนี้ได้
เป็นอีกครั้งที่เขาได้ยินเสียงบทสวดภาษาสันสกฤตดังก้องขึ้นในหู
มันถามเขาว่าเขามีความเสียใจอันใดหรือไม่
จากนั้นเขาก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาและห่างเหินของตัวเองเอ่ยขึ้นว่า “ไปให้พ้น”
ใครบางคนกำลังพูดกับเขาว่า “นางจะลืมทุกสิ่งเกี่ยวกับเจ้า ลืมทุกอย่างจนนึกเรื่องเจ้าไม่ออกอีก ยิ่งกว่านั้น เจ้าก็รู้ดีกว่าใครว่านางไม่ได้ชอบเจ้า…”
คำพูดเหล่านั้นเป็นราวกับคำสาป ทันทีที่เขาลืมตาตื่นขึ้น เขาก็ได้สัมผัสกับรสชาติของการถูกทรยศ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปล่อยมือออกจากหน้าอก แล้วลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ความทรงจำของเขายังคงดูพร่าเลือนในขณะที่เขากำมือที่สวมถุงมือแน่น
ข้าไม่ใช่คนที่นางชอบแล้วจะทำไม
คนเดียวที่จะได้ครอบครองนางก็คือข้า!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนขึ้นด้วยท่าทางเย็นชา ก่อนที่เขาจะได้พบกับเฮ่อเหลียนเวยเวย เขามักมีท่าทางห่างเหินเกินเอื้อมมือคว้าเช่นนี้อยู่เสมอ เขาเหมือนกับเมฆที่อยู่สูงที่สุดบนท้องฟ้า
ไม่จำเป็นต้องบอก บุตรแห่งราชานรกก็รู้ว่าเขาควรหยุดพูดเรื่องนี้ เขามองไปที่ราชาปีศาจแล้วถามว่า “ท่านสั่งให้คนไปจับวิญญาณมาจากยมโลกเพราะมีปีศาจตัวใหม่กำลังจะมาเกิดที่โลกมนุษย์หรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ปฏิเสธ
บุตรแห่งราชานรกเป็นคนฉลาด ดูจากอาการนิ่งเงียบของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้ว เขาก็สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่เขาเดาคงไม่ได้คลาดเคลื่อนจากความจริงเท่าใดนัก สายตาของเขาหม่นแสงลง ก่อนจะกลายเป็นดำทะมึนขณะที่กล่าวเสริมว่า “ถ้ามันเป็นลูกของผู้หญิงคนนั้น ข้าแนะนำให้ท่านกำจัดมันไปเสีย ท่านเองก็คงรู้แล้วว่าตอนนี้เราอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทันทีที่ปีศาจตนใหม่นี้ดูดซับปราณแห่งความเคียดแค้นอันรุนแรงเข้าไปจนหมด มันจะเริ่มดูดสารอาหารจากผู้เป็นแม่ต่อ เฮ่อเหลียนเวยเวยมีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ได้ก็เพราะมีพลังวิญญาณจากพระบรมสารีริกธาตุคอยคุ้มครองอยู่ ถ้านางเป็นคนธรรมดา เกรงว่านางคงจะตายไปนานแล้ว ยิ่งกว่านั้น ระเบียบของโลกมนุษย์ก็ยังเริ่มมีปัญหา ทวยเทพรู้ว่าตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกำลังวางแผนอะไรอยู่ และรู้ว่าพวกเขากำลังพยายามมุ่งหน้าไปที่สุสาน พวกเขาต้องการนำพระสรีระของภิกษุที่บรรลุวิชาเต๋าออกมาเพื่อคืนชีพให้กับคนตาย ถ้าพวกเขาทำสำเร็จ ปราณแห่งความเคียดแค้นในโลกมนุษย์จะถูกส่งตรงไปยังยมโลก และทำลายผนึกขับไล่วิญญาณร้าย การปกป้องที่นางมีจะหายไป และปีศาจน้อยที่ท่านเลี้ยงดูอยู่ก็จะเสียสติไปเช่นกัน”
“สรุปว่าถ้าเราสามารถหยุดยั้งไม่ให้พวกมันนำพระสรีระไปได้ เราก็จะสามารถป้องกันไม่ให้เรื่องพวกนั้นเกิดขึ้นได้ใช่หรือไม่” ทันใดนั้นก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางหน้าประตู
บุตรแห่งราชานรกกระตุกยิ้มพร้อมกับหันไปมองทางต้นเสียงแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อคนที่เราพูดถึงมาอยู่ที่นี่แล้ว เรื่องย่อมง่ายขึ้นกว่าเดิมมากนัก เจ้าพูดถูก ถ้าวัฎจักรแห่งชีวิต ความตาย และการเกิดใหม่ถูกรบกวน อาคมปลุกวิญญาณคำรามฟ้าจะถูกร่ายขึ้น จากนั้นคนที่จะเกิดใหม่ย่อมไม่ได้เกิด แต่คนตายจะฟื้นคืนชีพแทน ถ้าพวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ปราณแห่งความเคียดแค้นก็จะทำลายผนึกของพวกเจ้า ทารกที่อยู่ในท้องเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก หากมันดูดซึมปราณแห่งความเคียดแค้นเข้าไปมากพอ มันจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเป็นพ่อแม่ของมัน มันจะฆ่าทุกคนที่เห็น และดูดพลังชีวิตของเจ้าจนแห้งเหือด เพราะอย่างไรการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับปีศาจก็ขัดต่อกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ยิ่งกว่านั้นในร่างของเจ้าก็ยังมีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ด้วย แม้มันจะเป็นแหล่งสารอาหารอันมิมีวันหมดให้กับปีศาจได้ แต่สายเลือดของพวกเจ้าก็ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ดังนั้นโชคชะตาจึงกำหนดเอาไว้แล้วว่าเจ้าสองคนมิอาจอยู่ร่วมกันได้ เฮ้อ ช่างน่าสงสารจริงๆ”