บทที่ 9 กักตุนธัญพืช
เว่ยฉิงหอบหิ้วสัตว์นับร้อยตัวที่ล่ามาได้ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกทั้งแบกถังหลี่ที่อยู่บนหลังไปด้วย ชายหนุ่มยังคงเดินอย่างรวดเร็วราวกับตัวเปล่า ถังหลี่ไม่รู้จริง ๆ ว่าเว่ยฉิงนั้นมีความแข็งแกร่งอยู่ที่ระดับใดกันแน่ แต่ตอนนี้แผ่นหลังของเว่ยฉิงนั้นทำให้นางปวดตัวมาก
ทั้งสองมาถึงตัวเมืองในยามอู่[1] เว่ยฉิงพาถังหลี่มาที่ตลาด ดวงตาของหญิงสาวเปล่งประกายอย่างพึงพอใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นบ้านเมืองในยุคโบราณ สิ่งต่าง ๆ ช่างดูมีชีวิตชีวา สองข้างทางขนาบเต็มไปด้วยร้านรวงและแผงลอย ช่างแตกต่างจากโลกที่นางจากมามากเหลือเกิน
“เจ้ารอที่นี่ ข้าจะเอาเนื้อไปขาย” เว่ยฉิงว่า หญิงสาวพยักหน้ารับ
ถังหลี่เป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงามและเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย จึงไม่แปลกเลยที่สายตาของชายหนุ่มทั้งหลายจะจับจ้องมองมาที่นาง เว่ยฉิงขมวดคิ้วก่อนปลีกตัวออกไป เขาก็เดินกลับมาอีกครั้งพร้อมถือหมวกฟางใบหนึ่งมาด้วย
“กลับมาทำไมหรือ?” ถังหลี่ประหลาดใจ จู่ ๆ เว่ยฉิงก็สวมหมวกฟางใบนั้นให้นาง
“อยู่ตรงนี้ อย่าเดินไปไหน”
“ข้าไม่ใช่เด็กนะ” ถังหลี่บ่นพึมพำ
หลังจากเว่ยฉิงเดินไปถังหลี่ก็ออกเดินชมไปรอบ ๆ ตลาด เว่ยฉิงทิ้งเงินไว้ให้ถึงสองตำลึง หญิงสาวเตรียมจะซื้อทุกอย่างที่นางเห็นและชอบใจ..
“ไอ้ขอทานน้อย ออกไปนะ!!” เสียงตะโกนดังขึ้น
ถังหลี่หันไปมองตามเสียง เด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งยืนอยู่หน้าร้านซาลาเปา มีเจ้าของร้านยืนถือไม้ขู่อยู่หน้าแผง
“ถ้าไม่มีเงินซื้อก็อย่ามายืนขวางทางร้านข้า! คนจะทำมาหากิน! ตัวก็เหม็นใครเขาจะกล้ามาซื้อซาลาเปาของข้า! ต่อให้ขายไม่ได้ข้าก็ไม่แบ่งให้เจ้ากิน!!”
คนที่โดนดุด่าอยู่นั้นเป็นแค่เด็กเล็ก ๆ ผู้หนึ่งเท่านั้น เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่ง ขอทานน้อยโดนเหวี่ยงออกจากหน้าร้านจนกระแทกเข้าไปในอ้อมแขนของถังหลี่ เขาตัวซูบผอมใบหน้ามอมแมม รูปร่างเล็กพอ ๆ กับต้าเป่า เมื่อเขาเห็นว่าตัวเองทำเสื้อของหญิงสาวเปื้อน จึงรีบหันหลังจะวิ่งหนีไป แต่ถังหลี่จับที่คอเสื้อรั้งเด็กน้อยไว้
“ปล่อยนะ! ข้าไม่มีเงินชดใช้ให้ท่านหรอก!!” เขาพูดกระโชกออกมา ถังหลี่ไม่ได้ขอให้เขาชดใช้ค่าเสื้อผ้าให้ แต่กลับลากเขาไปที่แผงขายซาลาเปาและซื้อซาลาเปาลูกใหญ่สองก้อนแล้วยื่นให้เขา ดวงตาของขอทานน้อยเบิกกว้างจับจ้องไปที่ถังหลี่ เขารีบคว้าซาลาเปาแล้วยัดเข้าปากด้วยความหิวโหย หญิงสาวทิ้งเขาไว้แล้วเดินจากไป
หลังจากนั้นไม่นาน ขอทานน้อยเดินตามหญิงสาวมาห่างไปไม่กี่ก้าวถังหลี่ขมวดคิ้ว นางซื้อซาลาเปาให้ขอทานตัวน้อยกินเพราะเขาน่าสงสาร แต่ถ้าขอทานน้อยยังคงตามตื้ออย่างไม่หยุดคงไม่ดีแน่ ถังหลี่แบ่งปันให้เขาด้วยความเห็นใจและสงสาร หากยังตามมาเพื่อบังคับขู่เข็ญนางเห็นทีจะไม่ยอม หญิงสาวเดินต่อสองก้าวแล้วหยุด ก่อนจะหันกลับไปมองขอทานน้อย
“เจ้าตามข้ามาทำไม?”
“ข้าจะคุ้มกันให้ท่าน!” ขอทานน้อยเงยหน้าขึ้น ถังหลี่มองไปที่ร่างเล็กแกร็นของเขา
“คุ้มครองข้า? ผอมแห้งแบบนี้จะคุ้มครองข้าได้หรือ?”
“ท่านพ่อข้าบอกว่าบุญคุณต้องทดแทน ท่านซื้อซาลาเปาให้ข้าแต่ข้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนท่านได้ ดังนั้นข้าจะคุ้มครองท่านไปสักพักแล้วกัน!”
“ท่านอย่าได้ดูถูกที่ข้ายังเด็กเชียว หากจะสู้กันล่ะก็ผู้ใหญ่ตัวโตก็เอาชนะข้าไม่ได้ง่าย ๆ หรอก!”
“แล้วเจ้าชอบหาเรื่องหรือ?”
“ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะไปหาเรื่องกับใครนะ”
ถังหลี่หัวเราะขบขัน นางไม่เชื่อคำคุยโวของอีกฝ่ายหรอก แต่เด็กน้อยยังคงเดินตามราวกับเป็นหางเล็ก ๆ ของถังหลี่ ในระหว่างนั้นเองกลับมีโจรผู้หนึ่งต้องการจะปล้นนาง ขอทานน้อยกระโดดเข้าไปกัดที่หัวของโจรผู้นั้นและไล่เขาไป
“ขอทานน้อยเจ้าซื่อสัตย์มาก”
“แน่นอน! ท่านพ่อข้าพูดเสมอว่าคุณธรรมเป็นรากฐานของชีวิต”
“แล้วท่านพ่อเจ้าอยู่ที่ใดเล่า?”
“ตายแล้ว” เด็กน้อยส่ายหัวหน้าตาซึมเซาลง
“ระหว่างที่พวกข้าเดินทางจากจากฉินโจวไปยังเมืองชิงเหอ ท่านพ่อก็ป่วยแล้วเสียชีวิตลง”
บิดาของเขาเสียชีวิตแล้ว ก่อนที่ท่านจะสิ้นลม บิดาได้จับมือของเด็กน้อยไว้และบอกให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป ดังนั้นเขาถึงมาที่เมืองชิงเหอ ถึงจะต้องเป็นขอทานและถูกทุบตีก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ !
“เจ้ามาจากฉินโจวหรือ?” ถังหลี่ถาม หญิงสาวมีความสนใจเมืองฉินโจวแห่งนี้ ในหนังสือบอกว่าตั้งอยู่ในบริเวณชายแดนไม่ค่อยมีความมั่นคงนัก ยิ่งไปกว่านั้นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่เป็นตัวแปรในนิยายเรื่องนี้ก็มาจากเมืองฉินโจว…หากแต่ว่าตอนนี้เขายังเป็นแค่เด็กผู้หนึ่งเท่านั้น
“ใช่ พ่อข้าบอกว่าจะมีสงคราม และเมืองฉินโจวจะวุ่นวายโกลาหลในไม่ช้า”
วุ่นวาย..โกลาหล..
ถังหลี่ไตร่ตรองถึงสิ่งที่ขอทานน้อยพูด เมื่อเว่ยฉิงเดินมาพบถังหลี่ เด็กชายจึงหยุดตาม พอหญิงสาวหันหลังกลับไปดูเขา เด็กคนนั้นก็หายตัวไปท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่าน
“เจ้ามองอะไรหรือ” เว่ยชิงก้มลงถาม
“ไม่ได้มองเจ้าก็แล้วกัน” ถังหลี่งึมงำ
“มีคนหล่อเหลาหน้าตาดีกว่าข้าอีกหรือ?” เว่ยฉิงเหลือบมองนาง เขาพูดถูกแล้วแม้จะดูหลงตัวมากไปหน่อย เว่ยฉิงเป็นคนหล่อเหลา หล่อจนบุรุษอื่นดูจืดไปเลย แต่อย่างไรก็ตามเขาน่าจะละอายแก่ใจบ้างนะ !!
“ใครจะหน้าตาดีเท่าเจ้าเล่า เจ้ามันคนหน้าไม่อาย!”
ทั้งสองเดินคุยเล่นกันมาจนถึงประตูร้าน ถังหลี่เงยหน้าขึ้นมองและพบว่านี่คือร้านขายเครื่องประดับ เมื่อนางเข้าไปในร้าน ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นหญิงสาวมีฐานะที่มากับกับสาวใช้ จึงดูเป็นเรื่องแปลกที่หญิงชาวบ้านอย่างนางจะมากับสามี
“มาดูสิว่าเจ้าชอบอะไร” เว่ยฉิงขายสัตว์เป็นร้อยตัวได้เงินมามากกว่าเจ็ดสิบตำลึง ดังนั้นเขาจึงต้องการซื้อเครื่องประดับให้ถังหลี่
“เลือกที่ข้าชอบหรือ?” ถังหลี่เหลือบตามองเขา
“เลือกที่เจ้าชอบได้เลย” เว่ยฉิงพูดอย่างใจกว้าง
ถังหลี่ไม่ได้ชื่นชอบอะไรมากเป็นพิเศษ แต่ในที่สุดหญิงสาวก็ตัดใจเลือกสร้อยข้อมือเงินเพียงเส้นเดียว พอสวมอยู่บนข้อมือที่ขาวผ่องของนางแล้วก็ยิ่งทำให้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือนางไม่อยากสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
ถังหลี่อยู่กับเว่ยฉิงมาสักพักใหญ่แล้ว หญิงสาวรับรู้สถานการณ์ด้านการเงินของบ้านเว่ยเป็นอย่างดี เว่ยฉิงมักจะขึ้นไปบนภูเขาเพื่อล่าสัตว์ ถ้าโชคดีก็จะจับหมูป่าได้ แต่โดยส่วนมากแล้วจะเป็นเพียงไก่ฟ้าหรือกระต่ายเท่านั้น บางเดือนจึงมีรายรับเพียงแค่สามถึงสี่ตำลึง หลังจากจับจ่ายค่าอาหารเสื้อผ้าของครอบครัวแล้ว ก็เหลือไม่มากนัก หญิงสาวจึงเลือกสร้อยข้อมือเงินนี้ไว้เผื่อว่าวันใดครอบครัวเกิดขัดสนขึ้นมา อย่างน้อยก็ยังจะขายสร้อยข้อมือนี้ได้
อย่างไรก็ตาม การที่หญิงชาวบ้านอย่างนางเลือกสร้อยข้อมือเส้นนี้ ทำให้เจ้าของร้านรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ครอบครัวชาวสวนชาวไร่นั้นหาเงินได้อย่างยากลำบาก แต่ชายผู้นี้กลับซื้อเครื่องประดับให้ภรรยาด้วยความเต็มใจ..
เห็นได้ชัดว่าเขารักภรรยาของเขามาก!
ทั้งสองคนออกจากร้านเครื่องประดับ เพื่อไปซื้อเสื้อกันหนาว จากนั้นก็ไปร้านขายข้าวสารและธัญพืช อาหารที่บ้านใกล้จะหมดแล้วพวกเขาต้องซื้อของเพิ่ม เมื่อยืนอยู่หน้าร้านขายธัญพืช จู่ ๆ ถังหลี่ก็นึกถึงเรื่องที่ขอทานตัวน้อยบอกว่าเมืองฉินโจวกำลังวุ่นวาย ที่นางจำได้จากในหนังสือนั้นอีกไม่นานหลังจากกู้อิ๋นได้พบญาติพี่น้องแล้ว พวกฮั่นก็บุกโจมตีเมืองฉินโจว ไม่เพียงแต่ฉินโจวเท่านั้น เมืองชิงเหอก็จะตกอยู่ในภาวะสงครามเช่นกัน มีทั้งผู้ลี้ภัยและผู้อพยพที่หิวโหยเต็มไปหมด บิดาของขอทานน้อยอาจจะเป็นคนที่ได้ยินข่าวนี้มา ถึงตอนนี้จะดูสงบสุขแต่อีกไม่นานก็จะวุ่นวาย เว่ยฉิงได้ข้าวสารมาหนึ่งถุงและแป้งหมี่อีกหนึ่งถุงเพียงพอที่จะกินในอีกสองสามเดือนข้างหน้า
“ซื้อเพิ่มเถิด” ถังหลี่กล่าว
สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการกักตุนอาหาร หากเกิดสงครามจริง แม้ว่าจะมีเงินก็ไม่สามารถหาซื้อมันได้ ครอบครัวของเขามีตั้งห้าปาก และหากไม่มีข้าวกิน พวกเขาคงจะต้องอดตายเป็นแน่!
———————————-
[1] ยามอู่ (午:wǔ) คือ 11.00 – 12.59 น.