บทที่ 19 หนทางทำเงิน
หมอซูยื่นถุงเงินให้ถังหลี่ด้วยความขัดเขินเล็กน้อย
“ถังหลี่ใบของหญ้าระฆังเงินนั้นล้ำค่ามาก และมันหายาก…นี่เป็นเงินหนึ่งพันตำลึง ข้าอยากให้เจ้ารับมันไว้”
“ไม่ ท่านหมอ ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าเราสองคนไปเก็บมันด้วยกัน และใบของหญ้าระฆังเงินเป็นส่วนของท่าน” ถังหลี่ปฏิเสธ
“ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย คนที่พบคือเจ้าต่างหากเล่า ”
“อาการป่วยของฮูหยินท่านจะหายดีก็ต่อเมื่อได้รับยาอย่างต่อเนื่อง ท่านเก็บเงินจำนวนนี้ไว้ซื้อยาให้นางเถิด “
หมอซูเริ่มรู้สึกสับสน ถังหลี่เป็นผู้เจอสมุนไพรตัวนี้ เขาแค่ช่วยขุดมันขึ้นมาไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น เขารู้ว่าถังหลี่ไม่ต้องการให้รู้สึกว่าเป็นการติดหนี้บุญคุณจึงเอ่ยออกมาเช่นนั้น…
อย่างไรก็ตามมันก็ถูกของนาง เงินจำนวนนี้ควรเก็บไว้ซื้อยาเพื่อรักษาภรรยาต่อไป นางไม่สามารถหยุดกินยาได้ ตอนนี้แม้จะได้สมุนไพรแสนวิเศษมา หากนับตัวยาอื่น ๆ แล้วก็ต้องกินต่อเนื่องเป็นเวลาถึงปีครึ่งเลยทีเดียว หมอซูกำถุงเงินแน่นและโค้งคำนับให้ถังหลี่อย่างซาบซึ้ง
“ถังหลี่… ข้า ซูไท่หยวน ขอสาบานว่าหากในอนาคตมีสิ่งใดตอบแทนช่วยเหลือเจ้าได้ แค่บอกมา ข้าซูไท่หยวนจะทำมันเต็มความสามารถ!”
ถังหลี่มองไปที่หมอวัยกลางคนและตกตะลึงในทันใด ….ซูไท่หยวน?
ในนวนิยายเรื่องนี้ มีแพทย์อัจฉริยะผู้หนึ่งชื่อ ซูไท่หยวน ผู้ซึ่งเกิดมาฐานะยากจน เขาใช้ชีวิตอย่งสันโดษบนภูเขา และกลับไปที่เมืองหลวงหลังจากภรรยาของเขาเสียชีวิตด้วยอาการป่วยเรื้อรัง หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยตบแต่งฮูหยินคนใหม่เลย
ถ้าใช่ล่ะก็..หมอซูคือหมออัจฉริยะคนนั้นจริง ๆ
หมออัจฉริยะผู้นี้คือตัวละครสำคัญในนวนิยายต้นฉบับ เขาเป็นผู้คิดค้นศาสตร์การรักษาด้วยวิธีฝังเข็มและได้ถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงหลายเล่มจนได้รับการสืบทอดต่อกันไปหลายยุคหลายสมัย และเขาคือผู้ก่อตั้งโรงหมอไท่หยวน เป็นแพทย์ประจำตัวที่ฮ่องเต้ได้พึ่งพาในยามชรา และสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออีกไม่กี่ปีต่อมา นางเอกของเรื่องนี้หรือกู้อิ๋นได้เข้าไปเป็นผู้ช่วยของหมอซูไท่หยวน และพระเอกที่เป็นองค์ชายก็จะได้พึ่งพาความสัมพันธ์นี้ของกู้อิ๋นเป็นอย่างมาก
แต่เดี๋ยวนะ….สวี่เจวี๋ย หลังจากนั้นก็ หมอซู มณฑลชิงเหอแห่งนี้ช่างเป็นแหล่งเสือหมอบมังกรซ่อน[1]จริง ๆ!
“ท่านพี่..” เสียงอ่อนโยนดังมาจากประตู ซูไท่หยวนยืดตัวขึ้น เขาส่งยิ้มให้ถังหลี่และเดินเข้าไปในบ้าน
“ฮูหยิน ข้ามาแล้ว” เมื่อซูไท่หยวนเดินกลับออกมาอีกครั้ง เขาถือถุงผ้าสองใบไว้ในมือ
“ถังหลี่ หากเจ้าไม่รับเงิน…ก็รับสิ่งนี้ไปเถิด มันเป็นถุงเงินที่ภรรยาข้าปักเองกับมือ” ถังหลี่รับมันไว้ด้วยความเต็มใจ ถุงผ้าทั้งสองใบเป็นถุงคู่ปักลวดลายของนกยวนยาง[2]แบบนูนให้ดูสมจริง
“ฮูหยินซูเก่งกาจเรื่องงานปักจริง ๆ” ถังหลี่ยกย่อง ก่อนจะมีเสียงของอีกฝ่ายดังมาจากอีกฟากประตู
“ขอบคุณมาก ถ้าเจ้าชอบมันข้าจะปักลายผ้าเช็ดหน้าให้ หากเจ้าไม่รังเกียจ..” นางอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไร เลยปักผ้าเพื่อคลายความเบื่อหนาย เพราะป่วยเป็นวัณโรค จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพราะอาจจะติดโรคไปด้วย เมื่อเห็นถังหลี่ชอบและไม่ได้รังเกียจ ทำให้นางมีความสุขมาก
“ขอบคุณน้ำใจท่านมาก ข้าต้องกลับแล้วล่ะ” ถังหลี่โบกมือให้และเดินกลับบ้านไปพร้อมห่อยาในมือ
…..
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปการรักษาขาของเว่ยฉิงก็ได้เริ่มต้นขึ้น ถังหลี่ไม่ยอมให้เขาสานตะกร้าไม้ไผ่ต่อ ชายหนุ่มจึงนอนลงอย่างเชื่อฟังเพื่อให้หญิงสาวใส่ยาให้
“ถ้าเจ้าให้ความร่วมมือกับหมอซูอย่างดี มันจะหายภายในสองเดือน ตอนนี้ยังมีเสบียงและอาหาร เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้นะ”
เว่ยฉิงต้องการที่จะหายป่วยให้เร็ววันเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่ถังหลี่ขอจึงได้รับความร่วมมืออย่างดี ชายหนุ่มนอนลงเพื่อพักฟื้น
ถังหลี่นับตะกร้าไม้ไผ่ที่ลานหน้าบ้านได้ทั้งหมดสามสิบห้าใบด้วยกัน หญิงสาวจะนำมันไปขายที่ตลาดเพื่อนำเงินมาซื้อเสื้อผ้าให้เด็ก ๆ เว่ยฉิงก็ยังสวมเสื้อคลุมบาง ๆ นางจะซื้อเสื้อคลุมหนา ๆ ให้แก่เขา
“พี่สาว ท่านจะเข้าไปในเมืองหรือ?” สวี่เจวี๋ยคว้าชายเสื้อของถังหลี่ เด็กคนนี้ฉลาดเป็นกรดจริง ๆ เขาช่างสังเกตมาก เมื่อเห็นหญิงสาวนับตะกร้า เขาก็รู้ทันทีว่านางกำลังจะเข้าไปในเมือง
“ข้าจะไปพรุ่งนี้เช้า” ถังหลี่กล่าว
“พี่สาว ให้ข้าไปกับท่านนะ ข้าจะแบกตะกร้าไม้ไผ่พวกนี้ให้” ช่างฉลาดและคล่องแคล่วเสียจริง ถังหลี่ตกลงรับปากเขา
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าทั้งสองออกเดินทางทันที เมื่อมาถึงในเมืองทั้งคู่พบว่าตลาดคึกคักกว่าเมื่อก่อน พวกเขาหาสถานที่และเริ่มนำของมาตั้งแผงลอยขาย
ตะกร้าของถังหลี่มีความโดดเด่นมาก พวกมันมีขนาดเล็กกระทัดรัด บางใบมีหูกระต่ายและบางชนิดมีดอกไม้ตกแต่ง สวี่เจวี๋ยเป็นเด็กฉลาดมาก เด็กชายเดินไปรอบ ๆ บริเวณพร้อมตะกร้าบนหลังเหมือนนายแบบที่โชว์สินค้า ดึงดูดความสนใจของสตรีและเด็ก ๆ จำนวนมากอย่างรวดเร็ว ตะกร้าไม้ไผ่ทั่วไปราคาใบละยี่สิบอีแปะ ส่วนของถังหลี่ขายใบละสี่สิบอีแปะ แต่มันก็หมดลงอย่างรวดเร็ว หญิงสาวนำถุงเงินมาสองถุง ถังหลี่ชั่งน้ำหนักเงินในถุงคร่าว ๆ และพาสวี่เจวี๋ยไปที่ร้านขายเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมือง
“พี่สาว…มีคนสะกดรอยตามพวกเรามา” สวี่เจวี๋ยคว้าชายเสื้อของถังหลี่ไว้
“สองคนนั้นหรือ?” ถังหลี่ถาม สวี่เจวี๋ยมองนางด้วยความประหลาดใจ นางรู้ด้วยหรือ? หญิงสาวดูสงบมาก จนทำให้สวี่เจวี๋ยที่กำลังกังวลอยู่ เริ่มใจเย็นตามไปด้วย ถังหลี่ไม่ได้ให้ความสนใจกับคนทั้งคู่ที่สะกดรอยตามนางมา หญิงสาวพาสวี่เจวี๋ยเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้า นางเลือกเสื้อคลุมตัวหนาสำหรับเว่ยฉิงในราคาเกือบหนึ่งตำลึง เสื้อคลุมตัวนั้นทำจากวัสดุชั้นดี มีความหนาอบอุ่นทว่าไม่ได้เทอะทะมากจนเกินไปนัก เขาคือจอมวายร้ายคนสำคัญเชียวนะ ดังนั้นต้องมีเสื้อผ้าดี ๆ ให้เขาสำหรับฤดูหนาวหน่อยสิ!
หลังจากที่ถังหลี่ซื้อเสื้อคลุมราคาสูง ท่าทีของเถ้าแก่ร้านที่มีต่อนางก็เปลี่ยนไป
“เถ้าแก่ ข้าขอถามอะไรหน่อยเถิด ท่านพอจะรับสินค้าพวกงานปักหรือไม่ ?” การเย็บปักถักร้อยก็เป็นแฟชั่นที่นิยมชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับพวกรองเท้าแบรนด์เนมในยุคปัจจุบัน มันต้องอาศัยการใช้ฝีมือพอสมควร ดังนั้นจึงไม่มีงานปักที่ประณีตในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ หากจะมีก็คงเป็นที่เมืองชิงเหอ แต่ดูจากร้านที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้อาจจะมีแหล่งขายงานปักที่มีคุณภาพสูงก็เป็นได้ แต่ถึงแม้จะไม่มี เจ้าของร้านอาจจะมีลู่ทางที่จะนำไปขายได้ ถังหลี่จึงเจาะจงเลือกเข้ามาในร้านเสื้อแห่งนี้
“เจ้ามีงานปักหรือ?” เขาถาม “งานปักที่เราจะรับซื้อต้องเป็นงานปักคุณภาพสูง หากเป็นงานปักธรรมดาทั่วไปข้าไม่รับหรอกนะ”
สตรีชาวบ้านหลายคนปักผ้า แต่ฝีมือก็ธรรมดาดาษดื่นฝีเข็มไม่ประณีตนัก ใช้ไหมปักคุณภาพต่ำ ลวดลายทั่วไป พวกเขาจะรับซื้อกับช่างปักมืออาชีพเท่านั้น หากถังหลี่ไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าที่ร้าน…ประจวบกับที่เขามีอารมณ์ดีตอนนี้ เขาคงไม่คิดบอกเรื่องนี้กับนางหรอก
“ลองดูงานปักของข้าหน่อยได้หรือไม่?” ถังหลี่พูดแล้วยื่นถุงเงินให้เถ้าแก่ดู
จากสายตาของถังหลี่แล้วฝีมือการปักผ้าของฮูหยินซูนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่นางไม่อาจรู้ได้ว่าในยุคสมัยนี้งานปักของฮูหยินซูจะอยู่ในระดับใด
เถ้าแก่รับถุงเงินพลิกไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งเขาจ้องพิศดูมันมากเท่าไหร่ ดวงตาของเขาก็ยิ่งสว่างสดใสมากขึ้นเท่านั้น
“นี่เป็นงานปักแบบนูน ตัวไหมและฝีเข็มก็ยอดเยี่ยมมาก แม่นาง…เจ้าเป็นคนปักหรือ?” เถ้าแก่ดูตื่นเต้นขึ้นมา
“ไม่ใช่หรอก เป็นพี่สาวข้าที่ปัก” เมื่อถังหลี่เห็นท่าทีของเขา จึงถามต่อ “ท่านตีราคางานปักนี้เท่าใดหรือ?”
เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะตีราคาสินค้าที่มีคุณภาพขนาดนี้ เขาชั่งใจอยู่พักหนึ่ง เพราะงานปักตรงหน้านี้อยู่เหนือความคาดหมายของเขา เขาจึงตีราคาด้วยตัวเองไม่ได้
“แม่นาง หากข้าให้เจ้าฝากถุงเงินใบนี้ไว้ที่ร้านได้หรือไม่? ข้าจะเอาให้เจ้านายดู อีกไม่กี่วันเจ้าค่อยมาเอาคำตอบได้หรือไม่?”
ถังหลี่รับคำ
“แม่นาง เจ้าอย่าขายให้ที่อื่นเชียวนะ ทางร้านเราจะให้ราคาที่เจ้าพอใจอย่างแน่นอน!” เถ้าแก่ถึงกลับย้ำอีกครั้ง
“ตกลง ถ้าเช่นนั้นอีกสองสามวันข้าจะมาใหม่”
[1] เสือหมอบมังกรซ่อน หมายถึง คนที่มีความสามารถแต่หลบซ่อนคมเอาไว้ สำนวนนี้มักจะปรากฏในนิยายจีนกำลังภายใน หรือนิยายจีนที่เล่าถึงเรื่องราวการแย่งชิงอำนาจ ที่ผู้มีอำนาจและความสามารถทั้งหลายจะเก็บงำซ่อนคมของตนเอาไว้ เพื่อหลบหนีความวุ่นวาย หรือรอเวลาที่จะสบโอกาสเหมาะในการแสดงอำนาจนั้น ๆ
[2] ยวนยาง คือนกเป็ดน้ำแมนดาริน เนื่องจากจะมีคู่เดียวไปจนตาย จึงเป็นสัญลักษณ์ของความรักเดียวใจเดียว