บทที่ 32 ช่วยเหลือไป๋มู่หยาง
ถังหลี่สะดุ้งตื่น ตอนนี้ไป๋มู่หย่างเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญเรื่องการเงินของนาง หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาจริง ๆ ธุรกิจถุงหอมของนางจะต้องยุติลงและการลงทุนของถังหลี่คงต้องสูญเปล่าไปอย่างน่าใจหาย หญิงสาวต้องกลับไปอยู่ในช่วงแร้นแค้นอดอยากอีกครั้งหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นถังหลี่ได้รู้จักกับไป๋มู่หยางมาระยะหนึ่งแล้ว ชายหนุ่มเป็นคนนิสัยดีมากถือได้ว่าเป็นสหายคนหนึ่งของนาง ถังหลี่ไม่ต้องการให้เพื่อนของตนเกิดอุบัติเหตุ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เมื่อท้องฟ้าแจ่มใส ถังหลี่รีบลุกขึ้นแล้วออกเดินทางไปในเมือง มุ่งหน้าตรงไปที่จวนสกุลไป๋ เมื่อถึงหน้าจวนถังหลี่เห็นรถม้าจอดอยู่ด้านหน้า มีบ่าวรับใช้กำลังขนของขึ้นรถ เมื่อบ่าวที่หน้าประตูเห็นถังหลี่ เขาประหลาดใจเล็กน้อย
“แม่นางถัง มาแต่เช้าเลยนะขอรับ มาหานายท่านไป๋หรือ?” ถังหลี่พยักหน้า แล้วถามว่า
“นายท่านไป๋อยู่หรือไม่?”
“แม่นางถังมาทันเวลาพอดี อีกเพียงชั่วครู่นายท่านก็จะออกเดินทางแล้ว”
“รถม้าคันนี้เตรียมไว้ให้นายท่านไป๋หรือ? เขาจะเดินทางไปที่ใด?”
“เหมือนว่าจะไปที่เมืองใกล้ ๆ นี้ขอรับ ข้าไม่รู้รายละเอียดมากนัก” บ่าวรับใช้คนเดิมเกาคางแล้วคลี่ยิ้ม หญิงสาวคุยกับบ่าวรับใช้อยู่พักหนึ่ง ไป๋มู่หยางก็เดินออกมา
ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกอย่างหนา เผยให้เห็นใบหน้าเพียงนิดเดียว ผิวของเขาขาวผ่องราวกับหยกมันแพะ[1]ชั้นดี ดวงตาของมู่หยางเปล่งประกายเหมือนดวงดาว ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นถังหลี่ยืนอยู่ข้างรถม้า
หญิงสาวมาเยี่ยมเขาเมื่อวานนี้และวันนี้กลับมาหาเขาที่จวนอีกครั้ง ดูผิดปกติจนไป๋มู่หยางอดสงสัยไม่ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับนางหรือเปล่า?
พอเขาคิดเช่นนั้นก็ถามนางออกไปตรงๆ
“แม่นางถัง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
ถังหลี่เกิดความลังเลหญิงสาวไม่แน่ใจนักว่าควรจะบอกไป๋มู่หยางอย่างไรดี? นางไม่สามารถพูดออกไปได้ว่าฝันถึงเขา และเขาก็ได้เสียชีวิตในความฝันของนาง หากเอ่ยไปแบบนั้นไป๋มู่หยางคงรู้สึกว่าถังหลี่กำลังสาปแช่งตนเอง
ถึงแม้ว่าไป๋มู่หยางจะเชื่อในคำพูดของนาง แต่เขาไม่มีทางจะละทิ้งการเดินทางเพียงเพราะความฝันของสตรีผู้หนึ่งได้ ยิ่งไปกว่านั้นถังหลี่ไม่สามารถบอกคนอื่นเกี่ยวกับความสามารถของการฝันบอกเหตุของตนได้ ถ้าพวกคนเลวรู้เรื่องนี้เข้าละก็ นางอาจถูกจับเพื่อไปใช้ประโยชน์ก็เป็นได้ หญิงสาวนิ่งคิดไปชั่วครู่ หลังจากนั้นไม่นานถังหลี่จึงเอ่ยปากพูดกับเขาว่า
“นายท่านไป๋ มีเรื่องผิดปกติบางอย่าง เมื่อวานนี้ข้ากลับไปที่หมู่บ้านได้ข่าวว่ามีโจรภูเขาจำนวนมากได้ลงมาจากภูเขาเร็วนี้ ๆ พวกมันไปซุ่มโจมตีพวกพ่อค้าอยู่นอกเมือง ทำให้ข้าอยากมาเตือนท่าน นายท่านไป๋ หากจะออกเดินทางไปนอกเมืองโปรดนำคนคุ้มกันไปเพิ่มด้วยเถิด”
“แม่นางถัง เจ้ามาหาข้าเพื่อบอกเรื่องนี้หรือ?” การแสดงออกของไป๋มู่หยางเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ใช่แล้ว รถม้าของท่านดูอย่างไรก็เป็นรถของคนมีฐานะ ดังนั้นควรป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่า ” ถังหลี่ยังคงพูดย้ำประโยคนี้ซ้ำ โดยตั้งใจว่าจะลองย้ำอีกสักสองสามรอบ เผื่อว่าไป๋มู่หยางอาจจะฉุกคิดขึ้นมาได้
ไป๋มู่หยางมองไปที่หญิงสาว สตรีตรงหน้าราวกับมีหางเล็ก ๆ โผล่ออกมาและการพูดซ้ำไปซ้ำมานี้ ชายหนุ่มถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ในตอนแรกไป๋มู่หยางไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับการเอาใจใส่จากถังหลี่มากถึงขนาดนี้
คนในครอบครัวต้องการให้ไป๋มู่หยางตายไปเสีย หากสตรีที่บังเอิญผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาได้ให้ความเป็นห่วงและความเมตตาต่อเขา ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป…
“เอาล่ะ ข้าจะพาคนคุ้มกันไปเพิ่มอีก แม่นางไม่ต้องห่วง” เสียงของไป๋มู่หยางอ่อนโยนกว่าเดิมมาก เดิมทีเขาตั้งใจจะพาคนติดตามไปเพียงสองคนเท่านั้น แต่ถังหลี่ย้ำจนเขาต้องนำคนคุ้มกันไปมากกว่าหนึ่งโหล
เมื่อมองดูรถม้าของไป๋มู่หยางห่างสายตาออกไป ถังหลี่ยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่หญิงสาวทำทุกอย่างที่ตนสามารถทำได้แล้ว ตอนนี้คงได้แต่เพียงภาวนาว่าสิ่งที่อยู่ในความฝันของนางจะไม่เกิดขึ้นจริง
……
รถม้าเคลื่อนที่โคลงไปมา ไป๋มู่หยางที่นั่งอยู่ในรถม้าอาเจียนหลายครั้ง ใบหน้าของชายหนุ่มซีดขาวราวกับกระดาษ
“บ่าวหวังว่าหมอท่านนี้จะรักษานายท่านได้จริง ๆ นะขอรับ ไม่อย่างนั้น…คงเป็นการเดินทางที่สูญเปล่า”
คนขับรถม้าคนนี้เป็นบ่าวรับใช้ที่อยู่กับไป๋มู่หยางมานานถึงสิบปี นอกจากความสัมพันธ์ระหว่างนายกับบ่าวแล้ว ทั้งสองยังมีความรักความห่วงใยดุจคนในครอบครัวอีกด้วย ไป๋มู่หยางทำท่าทีไม่แยแส
“ลุงฝู…ชะตากรรมของข้าถูกสวรรค์กำหนดเอาไว้ ข้าพยายามทำดีที่สุดแล้ว แต่หากสวรรค์ไม่อนุญาตให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไป ตัวข้าจะทำอย่างไรได้”
ได้ยินดังนั้นลุงฝูรู้สึกโศกเศร้า เขาเฝ้าดูนายน้อยผู้นี้เติบโตมาตั้งแต่เด็ก นายท่านไป๋มู่หยางสุขภาพอ่อนแอตั้งแต่ยังเล็ก เจ็บป่วยมาตลอด ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานแค่ไหน…
“แม่นางน้อยคนนั้นกล่าวว่ามีโจรป่า แต่นอกเมืองค่อนข้างสงบนะขอรับ…” ฝูปั๋วเปลี่ยนเรื่อง เมื่อพูดถึงหญิงสาวตัวเล็ก ๆ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไป๋มู่หยาง
“นางแค่เป็นห่วงน่ะ”
“ใช่ ขอรับนางห่วงนายท่าน หากจะระมัดระวังมากขึ้นหน่อยคงไม่เสียหายอะไร” ฝูปั๋วพูดด้วยรอยยิ้ม รถม้าเคลื่อนที่ออกไปนอกเมืองไกลขึ้นทุกที ๆ ทันใดนั้นเสียงลุงฝูก็ดังขึ้น อย่างตื่นตระหนกตกใจ
“นายท่าน! ท่านอยู่ในรถม้านะขอรับ ห้ามออกมาเด็ดขาด!”
ไม่นานนักไป๋มู่หยางก็ได้ยินเสียงผู้คนต่อสู้กันอยู่ด้านนอก เขาเปิดม่านและมองลอดออกไป เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังปะทะกับคนคุ้มกันของเขาอยู่ พวกมันมีจำนวนมากกว่าสิบคน แต่ละคนมีมีดเล่มใหญ่อยู่ในมือ ท่าทางดุร้าย อำมหิต
พวกโจรหรือ?!
ไป๋มู่หยางรถอยู่ในรถม้าโดยที่ขยับตัวชิดผนังรถไว้ เสียงของการต่อสู้และเสียงอาวุธที่ปะทะกัน ดังคละปะปนไปกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด…
พวกโจรโหดร้ายและอำมหิตเกินไป คนของไป๋มู่หยางค่อย ๆ ล้มลงทีละคน สองคน
หัวใจของชายหนุ่มเย็นวาบ สีหน้าของเขาสงบนิ่ง ไป๋มู่หยางกำชับมีดสั้นไว้ในมือและเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าด้านนอก มีคนกำลังเดินมาที่รถม้า จากนั้นม่านของรถม้าถูกเปิดออก ด้านหน้าคือโจรป่ารูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาของเขาจ้องมองมาที่ไป๋มู่หยางอย่างมาดร้าย ชายหนุ่มแทงโจรป่าด้วยมีดสั้นแต่ความแตกต่างทางพละกำลังทำให้ไป๋มู่หยางตกเป็นรอง ก่อนที่ไป๋มู่หยางจะทำอะไรโจรผู้นั้นได้ ดาบก็พาดลงมาที่หน้าผากของไป๋มู่หยางแล้ว!
เลือดอุ่น ๆ พุ่งออกมาเปรอะใบหน้าของไป๋มู่หยาง!
แต่เลือดนั้นไม่ใช่ของไป๋มู่หยาง มันกลับมาจากโจรป่าผู้นั้น!
ชายหนุ่มเห็นกับตาว่า หน้าอกของโจรตรงหน้าเขาถูกหอกแทงทะลุ และในชั่วอึดใจต่อมาโจรโฉดก็ถูกโยนออกไปราวกับเศษผ้า คนที่แทงหอกปลิดชีพโจรป่าเป็นบุรุษในอาภรณ์สีแดง เขาถือหอกไว้ ช่วงคิ้วและรูปหน้าที่สว่างสดใสแต่มีกลิ่นอายของความโหดเหี้ยม ชายคนนั้นคือ ฮั่วจีว์!
มือปราบหนุ่มจากเมืองซ่างจิงผู้นี้เป็นคนดุร้าย เขามากับพวกอีกสี่ห้าคน และสามารถเอาชนะพวกโจรป่าได้
“อย่าฆ่าพวกมัน จับพวกมันไว้”
ไป๋มู่หยางตะโกนบอก ฮั่วจีว์ระงับความโกรธและจับพวกโจรป่ามัดไว้ด้วยกัน
“ช่วยพวกเขาที” ไป๋มู่หยางกล่าวพร้อมกับชี้ไปที่บ่าวรับใช้ของเขา ฮั่วจีว์ผละออกจากมู่หยางไปดูคนเจ็บ ก่อนจะเดินมาหาชายหนุ่มอีกครั้ง
“เจ้าแอบออกมาโดยไม่มีข้า! หากข้ามาช้าอีกเพียงก้าวเดียว เจ้าได้ไปดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง[2]แล้ว!” ฮั่วจีว์พูดพร้อมกอดอก
“ขอบคุณฮั่วจีว์เหล่าจู่” ไป๋มู่หยางยกยิ้มเล็กน้อย ฮั่วจีว์ถอนหายใจสองครั้ง ก่อนจะช่วยพยุงไป๋มู่หยางขึ้นไปนั่งในรถม้า
“ลุงฝู ท่านเข้าไปในรถม้าด้วย ข้าขับรถม้าเอง” ฮั่วจีว์พูด พร้อมโยนลุงฝูที่จมูกฟกช้ำและใบหน้าบวมปูดเข้าไปในรถม้า
ฮั่วจีว์พาไป๋มู่หยางไปยังเขตตัวเมือง และพาชายหนุ่มไปที่โรงหมอ ไป๋มู่หยางรีบไปจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่เสียชีวิต ส่วนคนของเขาที่รอดชีวิตและได้รับบาดเจ็บก็พาไปดูแลรักษาพยาบาลต่อไป
ชายหนุ่มนอนพักที่โรงหมอด้วยอารมณ์ที่สับสน ฮั่วจีว์พูดถูก ถ้าเขามาช้ากว่านี้เพียงก้าวเดียว มู่หยางต้องตายแน่นอน
อันที่จริงแล้ว ถ้าเขาไม่ได้เหล่าคนคุ้มกันที่พามาหลายสิบคนช่วยยื้อเวลาไว้ เขาคงไม่สามารถอยู่รอจนฮั่วจีว์มาช่วยไว้ได้
ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของถังหลี่
อันที่จริงแล้วนอกจากฮั่วจีว์ คนที่ช่วยชีวิตไป๋มู่หยางไว้อีกคนคือสตรีผู้นั้น
————————
[1] ในทัศนะของคนจีน หยกที่สวยจริง ๆ ไม่ใช่ขาวแบบไข่ปอก ต้องขาวแบบสีไขมันแพะ ภาษาจีนเรียกว่า หยางจือป่ายหยู่ ( 羊脂白玉 :yang zhi bai yu) คือ โปร่งใส สีขาว ปนเหลืองอ่อน ๆ ภาษานิยายจีนแปลไทยเรียกว่า หยกมันแพะ
[2] คุณยายเมิ่ง เป็นเทพอาวุโสท่านหนึ่ง ประจำการในนรกภูมิช่วงจุดผ่านแดนจะไปเกิด ที่ทำงานท่านตั้งอยู่ริมสะพาน ไหน่ห่อเกี๊ย 奈何桥 วิญญาณที่ถูกตัดสินและได้รับการลงโทษเรียบร้อยแล้วจะไปเกิดใหม่ต้องผ่านด่านคุณยายก่อน คุณยายมีหน้าที่ให้ทุกวิญญาณดื่มน้ำเบญจรส 孟婆汤 น้ำแกงห้ารสนี้ มีอานุภาพทำให้ลืมความจำในอดีตได้อย่างสิ้นเชิง ทั้งความรัก ความโกธร ความชัง ดื่มเสร็จแล้วก็ข้ามสะพานไหน่ห่อเกี๊ยไปเกิดได้