บทที่ 60 เทพเจ้าแห่งสงคราม
ซานเป่าเป็นเด็กฉลาดดังนั้นนางเข้าใจดีว่าสตรีตรงหน้าหมายความว่าอย่างไร หัวใจของนางเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
“ท่านป้า ข้าไม่ได้สอนให้เขาทำเรื่องไม่ดี ในเมื่อเขาต้องการจะเล่นขี่ม้าข้าก็แบ่งปันให้เขา” ซานเป่าอธิบาย
“นอกจากนี้ การขี่ม้าก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี ท่านสามารถฝึกเป็นแม่ทัพบนหลังม้าได้!”
เฉียนกุ้ยอิงฟังเพียงประโยคแรกที่เด็กหญิงพูดเท่านั้น นางมองไปที่บุตรชายในอ้อมแขน
“จื้อเสวีย เจ้าอยากเล่นหรือ? ” ภายใต้สายตาที่คมกริบของมารดาเด็กชายยิ่งรู้สึกตัวหดเล็กลงมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาส่ายหัวไปมา
“ข้าไม่อยากเล่น นางขอให้ข้าเล่น…”
“นังเด็กบ้านนอก แกมันขี้โกหก!” เฉียนกุ้ยอิงโกรธมาก นางเหยียบม้าไม้ไผ่ของซานเป่า
โฮ!!!!
เสียงร้องไห้ดังขึ้นหน้าบ้านจนถังหลี่รีบวิ่งออกมาดู นางเห็นซานเป่านั่งอยู่กับพื้น ใบหน้าของเด็กหญิงเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา ก้อนแป้งน้อยกำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร เบื้องหน้าของเด็กหญิงมีสตรีนางหนึ่งกำลังยืนด่าว่าซานเป่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย คำพูดของนางทั้งเสียดสีทั้งประชดประชัน
“หากเจ้าไม่รู้ดีรู้ชั่วก็อย่าได้พาลูกข้านิสัยเสียไปเหมือนเจ้า บิดามารดาเจ้าไม่ได้อบรมสั่งสอนบุตรหรือ? ”
ซานเป่าที่กำลังร้องไห้ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยพาดพิงบิดามารดานางถึงกับยกมือขึ้นชี้นิ้วใส่
“อย่าได้มาว่าท่านพ่อท่านแม่ข้านะ!”
“เหตุใดจะว่าไม่ได้? เจ้าจะสู้ข้าหรือ? ได้! เช่นนั้นข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนพ่อแม่เจ้าเอง!
เฉียนกุ้ยอิงง้างมือขึ้นเตรียมจะฟาดลงไปที่ตัวของซานเป่า แต่แล้วกลับโดนคนจับมือนางเอาไว้ เอ้อร์เป่ารีบวิ่งออกมาจากบ้านเด็กชายยืนขวางตัวน้องสาว เขาพูดเสียงดัง
“อย่ามารังแกน้องสาวข้า!”
ถังหลี่จับมือของเฉียนกุ้ยอิงไว้และพูดกับนางอย่างเย็นชา
“มารดาของนางอยู่ที่นี่แล้ว ไม่จำเป็นต้องได้รับการสั่งสอนจากเจ้า”
“ปล่อยข้านะ! มาก็ดีแล้ว เจ้าสอนลูกอย่างไร? ถึงได้เป็นเด็กเกเรเช่นนี้ อย่าได้มาพาลูกข้าเสียคนไปด้วย!”
“เสียคนหรือ? ..ทำไมลูกสาวข้าถึงจะพาลูกชายเจ้าเสียคน? ” ถังหลี่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นลูกสาวที่กำลังร้องไห้จนหน้าดำหน้าแดง หญิงสาวบีบข้อมือของเฉียนกุ้ยอิงหนักขึ้นจนนางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เฉียนกุ้ยอิงมองผู้หญิงตรงหน้า นางสัมผัสได้ถึงท่าทีที่แข็งกร้าวไม่เป็นมิตรของถังหลี่ ทำให้นางรู้สึกกลัวขึ้นมา เฉียนกุ้ยอิงดิ้นรนเพื่อให้มือของตนเองหลุดจากถังหลี่ หญิงสาวปล่อยมือออกอย่างกะทันหัน เฉียนกุ้ยอิงที่ไม่ทันระวังถึงกลับถอยหลังไปจนเกือบหกล้ม นางยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกพอรู้สึกตัวจึงได้ถอยหลังห่างออกไปอีกหลายก้าว
“จะไม่พาลูกข้าเสียคนได้อย่างไร นางให้ลูกข้าเล่นของไร้สาระพรรค์นี้! ”
เฉียนกุ้ยอิงหน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ แต่นางยังมีความหวาดกลัวต่อถังหลี่ นางจึงได้แต่ระบายความโกรธโดยการเหยียบม้าไม้ไผ่จนมันหัก เพื่อบรรเทาความโกรธของตนเอง
“จะเล่นหรือไม่เล่น! เป็นลูกชายเจ้าตัดสินใจเอง หากไม่รู้จักควบคุมใจตนจะมาตำหนิลูกสาวข้าได้อย่างไร? ”
“เจ้า! เป็นแค่เพียงคนบ้านนอกอย่าได้มาทำตัวหยิ่งผยองนะ!”
“ข้าไม่อาจเทียบคนเมืองอย่างเจ้าได้หรอก! แต่ดูสิ เจ้าโทษแต่ผู้อื่นตนเองไม่เคยผิดเลย ”
เฉียนกุ้ยอิงกำลังจะสำลักความโกรธตาย!
เหตุใดสตรีบ้านนอกเช่นนางถึงได้เจ้าคารมเยี่ยงนี้? เฉียนกุ้ยอิงถูกตอกกลับทุกคำพูดที่นางด่ากราดออกไป.. ในเมื่อนางสู้ไม่ได้ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรีบอุ้มลูกชายของตนหนีเข้าบ้านก่อนจะปิดประตูอย่างแรง
ถังหลี่ไม่ได้สนใจเฉียนกุ้ยอิงอีกต่อไป นางเดินไปทรุดตัวนั่งยอง ๆ ต่อหน้าซานเป่าจากนั้นจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบน้ำตาให้เด็กหญิงอย่างอ่อนโยน
“ซานเป่าอย่าร้องไห้อีกเลย..”
“ท่านแม่ ข้าไม่ร้องไห้แล้ว..” ซานเป่าสะอึกสะอื้นพยักหน้าหงึกหงัก
“ดี! ในเมื่อม้าไม้ไผ่ตัวนี้พังแล้ว แม่จะซื้ออันใหม่ให้เจ้า” ถังหลี่คลี่รอยยิ้มอ่อนโยน ซานเป่าเหยียดแขนเล็ก ๆ ทั้งสองข้างออกแล้วกอดคอของมารดาเอาไว้แน่น
“ท่านแม่ ฮึก..ท่านแม่ใจดี”
ถังหลี่อุ้มซานเป่าขึ้นมาแนบอกก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน หญิงสาวตบแผ่นหลังเล็กเบา ๆ เพื่อปลอบโยนเด็กหญิงอยู่ครู่หนึ่งจนในที่สุดเจ้าตัวก็ยิ้มออกมาได้
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้บังคับให้เขามาเล่นกับข้านะ เขาอยากเล่นม้าของข้า ข้าเลยแบ่งเขาเล่น ข้าทำผิดหรือ? ” ซานเป่าที่อยู่ในอ้อมกอดของถังหลี่เบิกตากว้างจ้องไปที่มารดาด้วยนัยน์ตาที่แดงก่ำ แววตาของนางฉายแววสับสน
นางแค่อยากมีเพื่อน ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
ซานเป่ายังเด็กเกินไป นางไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ในหัวเล็ก ๆ ของนางเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
“ซานเป่าลูกไม่ได้ทำผิดอะไร เด็กคนนั้นไม่คู่ควรต่อการคบเป็นเพื่อน ซานเป่าลูกอย่ากลัวการผูกมิตรกับผู้อื่นเพราะเรื่องในวันนี้ รู้ไหม? ”
ซานเป่าพยักหน้าด้วยความเข้าใจของนาง
“ท่านแม่ แล้วเพื่อนแบบไหนคือคู่ควรหรือ? ”
“คนที่ตรงไปตรงมา เชื่อถือได้ เหมือนบิดาหรือพี่ใหญ่ พี่รองของเจ้า”
เมื่อได้ยินมารดาพูดเช่นนั้น นางจึงได้เข้าใจมากขึ้น เด็กน้อยพยักหน้ารับ
“ท่านแม่ ข้าคิดว่าข้าพอจะเข้าใจแล้ว”
“แต่ท่านแม่…ข้ายังรู้สึกเศร้าใจอยู่เล็กน้อย ขอเวลาให้ข้าเสียใจสักครู่ได้ไหม? ” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้น นางทำฝ่ามือประกบเข้าหากันจนเกือบแนบชิด เป็นคำอธิบายว่ามันเล็กน้อยเพียงเท่านี้
“ได้เลย..ลูกรักของแม่” ถังหลี่จูบไปที่หน้าผากของซานเป่า เด็กหญิงฝังหัวเล็ก ๆ ไว้ในอ้อมแขนของถังหลี่ ซุกเข้าหาไออุ่นจากมารดา
บนหลังคาบ้านมีคนผู้หนึ่งกำลังนั่งหย่อนใจอยู่อย่างเพลิดเพลิน แต่สีหน้าของเขากลับแฝงไปด้วยความคิดที่ชั่วร้าย หูของตู้เย่นั้นดีมาก แม้แต่เสียงพูดของเด็กชายหรือซานเป่าเขาก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ตู้เย่ลุกขึ้นก่อนที่จะกระโดดข้ามที่หลังคาของเรือนที่อยู่ด้านข้าง ชายหนุ่มเล่นหินก้อนเล็ก ๆ ในมือ เขามองไปที่ลานบ้านของเฉียนกุ้ยอิง เห็นนางกำลังให้บุตรชายนั่งคุกเข่าสำนึกผิดอยู่
“จื้อเสวี่ย วันนี้แม่จะให้เจ้าคุกเข่าสำนึกผิด เจ้าจะได้จำให้ขึ้นใจว่า…ไม่ควรไปยุ่งกับหมาแมวพวกนั้นอีก! ”
ในขณะที่เฉียนกุ้ยอิงกำลังพูดอยู่ นางก็ได้ยินเสียงดัง ‘ปัง!’ หญิงสาวตกใจมาก นางมองไปรอบ ๆ เพื่อหาที่มาของเสียงก่อนจะเหลือบไปเห็นว่ามีรูโหว่เกิดขึ้นที่ถังเก็บน้ำของนาง ทำให้น้ำที่อยู่ในถังรั่วไหลออกมา
“ทำไมถังเก็บน้ำถึงมีรูได้? ตอนเช้าข้าเติมน้ำไว้ถังน้ำยังดี ๆ อยู่เลย!”
ที่บ้านของเฉียนกุ้ยอิงไม่มีบ่อน้ำในลานบ้าน ดังนั้นนางต้องเดินไปตักน้ำที่แม่น้ำที่ห่างไปถึงสองลี้ แล้วหาบมา นางต้องเดินถึงหลายเที่ยวกว่าจะได้น้ำเต็มถัง แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุดของวันนี้ หลังจากนั้นก็มีเสียงดังปังขึ้นอีก กระเบื้องบนหลังคาตกลงมาทีละชิ้น ๆ จนกระทบกับศีรษะของเฉียนกุ้ยอิง!
“โอ๊ย!!! เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?
********
ไม่นานนัก ซานเป่าก็ผละออกจากอ้อมกอดของมารดาและวิ่งไปที่ลานบ้าน เด็กหญิงนั่งลงที่ศาลาเล็ก ๆ อ่านหนังสือเล่มน้อยที่มารดาซื้อไว้ให้ ใบหน้ากลมอ้วนของนางฉายแววจริงจัง
ทันใดนั้นซานเป่ารู้สึกจั๊กจี้ที่ลำคอเมื่อหันหน้าไปมอง ก็เห็นว่าท่านลุงนิสัยไม่ดีคนนั้นนั่งยอง ๆ อยู่ด้านหลังของนาง ชายหนุ่มถือหญ้าหางสุนัข[1]ไว้ในมือ และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้นางจั๊กจี้ที่คอนั่นเอง ซานเป่าเก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจ ตอนนี้นางไม่อยากใส่ใจท่านลุงคนนี้แล้ว เด็กน้อยหันหน้ากลับไปมองที่หนังสือในมืออีกครั้ง
“เด็กน้อย ข้าจะสอนการต่อสู้ให้เจ้าเอาไหม? ”
ซานเป่าสะบัดหน้าหากชายหนุ่มกลับจับศีรษะของนางเอาไว้ จนนางขยับไม่ได้
ฮึ่ม.. ข้าโกรธท่านลุงแล้ว!
“ข้าจะสอนการต่อสู้ที่แข็งแกร่งให้เจ้า หากเจ้าได้เรียนในไม่ช้าจะปกป้องท่านแม่ของเจ้าได้!”
เด็กน้อยทนต่อไปไม่ไหว นางสะบัดหน้าแล้วหันกลับมาพูดกับตู้เย่เสียงดังว่า
“ท่านสอนข้านะ! ”
******
ต่อมาในระหว่างที่ตู้เย่พักฟื้นเขาก็เริ่มสอนวิชาหมัดมวยให้ซานเป่า แม้ว่านางจะเป็นเด็กเล็กแต่ก็ไม่ย่อท้อในการฝึกซ้อม หลังจากสอนไปได้แค่วันเดียว เด็กหญิงก็เรียนรู้ไปได้หลายท่า
“ซานเป่าของข้าช่างแรงเยอะจริง ตู้เย่!ทำไมเจ้าไม่รับนางเป็นศิษย์ล่ะ ” ถังหลี่พูดหยอกเย้าเขา
จะว่าไปแล้ว ในนิยายต้นฉบับนั้นตู่เย่และซานเป่าก็มีส่วนเกี่ยวข้องกันไม่น้อยทีเดียว
เสวียนเซิงตู้เย่ เทพเจ้าแห่งสงคราม ได้ทิ้งตำราพิชัยยุทธไว้ หลังจากนั้น…มันก็แพร่หลายไปทั่ว จนสุดท้ายได้ตกไปอยู่ในมือซานเป่า ทำให้แม่ทัพหญิงผู้นี้ได้รับชัยชนะจากสงคราม
แม้ว่าทั้งสองจะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่ก็นับได้ว่าซานเป่าเป็นลูกศิษย์ผู้หนึ่งของตู้เย่ หญิงสาวชื่นชมตู้เย่มากและต้องการที่จะได้พบเขาสักครั้ง แต่น่าเสียดายที่ในช่วงเวลานั้นตู้เย่ไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว
***********
…………….
[1] หญ้าหางสุนัข หรือหญ้าหางหมา เป็นหญ้าชนบทชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายข้าวฟ่างพื้นเมือง ต่างกันที่สีใบและรูปทรงของช่อดอกที่เป็นทรงเรียวตั้ง ชอบขึ้นตามไหล่ทางขึ้นภูเขา มีดอกและใบโทนสีม่วง