บทที่ 71 เจอปัญหา
เว่ยฉิงคุยกับภรรยาอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่จะออกไปตลาดเพื่อสั่งเตียงแล้วจึงกลับบ้าน ตอนนั้นห้องนอนของทั้งสองก็ได้ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว
ในตอนเย็นขณะที่ถังหลี่กำลังยุ่งอยู่ในครัว ป้าจ้าวก็เดินเข้ามา
“นายหญิง.. ข้า …ให้ข้าช่วยนะเจ้าคะ”
ป้าจ้าวเคยทำงานเป็นบ่าวรับใช้มาก่อน หากวันไหนนางไม่ทำงาน นางจะถูกเจ้านายทุบตี เมื่อนางรู้ว่าถังหลี่กำลังเข้าครัวทำอาหารอยู่ตามลำพัง นางจึงรู้สึกตกใจมาก
ถังหลี่ไม่ได้ห้ามนาง แต่กลับมอบหมายป้าจ้าวให้ทำมื้อเย็นแทนเสียเลย หญิงสาวใช้โอกาสนี้ตรวจดูว่าป้าจ้าวทำงานเป็นอย่างไรบ้าง มีระเบียบเรียร้อยดีหรือไม่?
หญิงสาวยืนมองป้าจ้าวจากด้านข้าง บางครั้งก็ให้คำแนะนำบางอย่าง เช่น เด็กทั้งสองคนกินอาหารจานใดได้บ้าง หรือควรใส่เกลือให้น้อยกว่านี้สักหน่อย
ป้าจ้าวรู้สึกกังวลอยู่บ้าง นางทำงานตามสัญชาตญานด้วยความรีบร้อน จ้าวซิ่นเอ๋อร์กลัวว่าตัวเองจะทำงานผิดพลาดและถูกเจ้านายทุบตี
การทำอาหารมื้อนี้ผ่านไปอย่างตะกุกตะกักและถึงแม้นางจะไม่ได้ยินเสียงดุด่าจากเจ้านาย ป้าจ้าวก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
ป้าจ้าวปรุงอาหารจานสุดท้ายเสร็จ นางหันกลับมาหาถังหลี่ ทันใดนั้นจ้าวซิ่นเอ๋อร์ก็ทรุดตัวลงคุกเข่าที่ปลายเท้าของถังหลี่ การกระทำของป้าจ้าวทำให้ถังหลี่ตกใจมาก
“นายหญิง..ข้า…ทำผิด …เชิญท่านดุด่าข้าเถิดเจ้าค่ะ” ป้าจ้าวพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก
“ป้าจ้าวลุกขึ้นเถิด ป้าทำได้ดีแล้ว” ถังหลี่รีบกล่าวอย่างรวดเร็ว สิ่งที่นางพูดนั้นเป็นความจริง มือและเท้าของนางสะอาดสะอ้านเรียบร้อย นางทำงานคล่องแคล่วเห็นได้ชัดว่านางทำงานอย่างขยันขันแข็ง จ้าวซิ่นเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นและยิ้มให้กับนายหญิงของนาง
“ป้าทำได้ดีมากแล้ว ข้าหมายความเช่นนั้นจริง ๆ ข้าไม่ชอบที่ป้าคุกเข่ารอรับโทษทั้งที่ไม่มีความผิด”
ป้าจ้าวรีบลุกขึ้นมายืน
“นายหญิง! ข้า…ข้าไม่คุกเข่าแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากทำอาหารเสร็จ ป้าจ้าวเริ่มทำความสะอาดลานหน้าบ้านไม่หยุด ราวกับว่านางอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อชวนกินข้าวนางก็ปฏิเสธ บอกว่านางกินข้าวพร้อมฉางลู่ไปแล้ว พวกเขาหยิบซาลาเปานึ่งสองอันแล้วนั่งกินกันสองคน ไม่ได้ร่วมโต๊ะกับเจ้านายตามคำชวน
ป้าจ้าวทำงานทุกอย่างเท่าที่ทำได้ นางล้างตัวด้วยน้ำบาดาลก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอน เตียงนอนใหม่สะอาด ผ้าห่มผืนใหม่จนนางไม่กล้าที่จะหยิบมาห่ม ป้าจ้าวทำได้แต่เพียงซุกตัวอยู่ที่มุมห้องจับจ้องไปที่เตียงของตัวเอง
จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ป้าจ้าวตกใจมากนางเปิดประตูเห็นตุ๊กตาตัวน้อยน่ารักยืนอยู่หน้าประตู เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมอง ที่แท้คือลูกสาวของเจ้านายนั่นเอง
ป้าจ้าวโค้งตัวคำนับนางอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู…”
ซานเป่าถือชามใบหนึ่งในมือของนาง ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าใบหน้าของนางเสียอีก ภายในชามบรรจุซาลาเปานึ่ง นางยื่นส่งให้ป้าจ้าวก่อนพูดด้วยน้ำเสียงแบบเด็กน้อยว่า
“ท่านป้า ทานซาลาเปา”
ป้าจ้าวเองก็มีหลานที่โตมากแล้ว หากหลานสาวของนางกลับไม่ชอบและรังเกียจนาง ความใจดีมีเมตตาของคุณหนูที่มอบให้ ทำให้นางรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา
“ท่านป้ารีบรับไปเถอะ ข้าถือไม่ไหวแล้ว” ซานเป่ามุ่ยหน้าอย่างหยอกล้อ ป้าจ้าวรีบหยิบชามขึ้นมา
“ท่านป้าทานให้อิ่มนะ” ซานเป่ากระพริบตากลมโตของนางก่อนจะวิ่งหายไปด้วยขาสั้นป้อม
ป้าจ้าวกินซาลาเปา ความรู้สึกของการที่มีใครเห็นตัวตนของนางทำให้หัวใจของป้าจ้าวรู้สึกอบอุ่น จมูกก็เริ่มแสบเคืองขึ้นมา
…….
ป้าจ้าวอยู่บ้านดูแลเด็กน้อยทั้งสองคน ในตอนแรกนางรู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง จ้าวซิ่นเอ๋อร์คอยดูเด็กน้อยอย่างใกล้ชิด แต่ไม่กล้าพูดคุยกับพวกเขามากนัก เป็นเพราะนางกลัวว่าคุณหนูจะไม่ชอบนาง
แต่นายน้อยทั้งสองเป็นเด็กมีมารยาทดี ร่าเริงและมีชีวิตชีวา หัวใจของป้าจ้าวที่เคยปิดกั้นก็เริ่มแง้มออกทีละน้อย ไม่นานนักนางจึงกล้าที่จะพูดคุยกับเด็ก ๆ มากขึ้น
ป้าจ้าวช่วยพวกเขาถอดเสื้อผ้าในวันที่อากาศร้อน สวมเสื้อคลุมให้พวกเขาในวันที่อากาศหนาว นางทำอาหารที่เด็กน้อยทั้งสองชอบกิน เห็นได้ชัดว่านางทำหน้าที่ดูแลเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี
ถังหลี่พาฉางลู่ไปที่ร้านเป่าชิงเก๋อ
ฉางลู่เคยรับใช้คุณชายของตระกูลร่ำรวยทำให้เด็กหนุ่มมีความเฉลียวฉลาด เขารู้จักวิธีมองผู้คน ถังหลี่จึงค่อนข้างที่จะถูกใจเด็กหนุ่มผู้นี้
เดิมทีฉางลู่คิดว่านายหญิงเป็นหญิงสาวอ่อนโยนเป็นแม่บ้านแม่เรือน แต่เมื่อมาถึงร้านเขาก็ตกใจ เขาไม่คิดมาก่อนว่านายหญิงจะเป็นเจ้าของร้านใหญ่โตเช่นนี้
ในยุคสมัยนี้หาสตรีที่เป็นเจ้าของกิจการเองยากมาก ฉางลู่จึงเกิดความรู้สึกชื่นชมอยู่ภายในใจของเขา ถังหลี่วางแผนจะให้ฉางลู่เป็นคนคอยทำธุระให้ แต่ตอนนี้หญิงสาวกลับค้นพบพรสวรรค์ของเด็กหนุ่มผู้นี้เข้าอย่างบังเอิญ
ฉางลู่เป็นเด็กหนุ่มที่ปากหวาน เขามองผู้คนเก่ง เด็กหนุ่มสามารถเยินยอลูกค้าให้พึงพอใจและมีความสุขภายในคำพูดไม่กี่คำของเขา ไม่เพียงแต่เท่านั้น เขายังเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดี แม้ผิวจะคล้ำและผอมมากไปสักหน่อยก็ตาม
ดังนั้นตอนนี้ต้องดูแลเปลี่ยนรูปโฉมให้เขากลายเป็นหนุ่มรูปงาม ลูกค้าส่วนใหญ่ของร้านเป่าชิงเก๋อล้วนเป็นเด็กสาว การที่มีบุรุษรูปงามมาช่วยย่อมเป็นผลดี! นี่คือกลยุทธทางการตลาดในยุคสมัยที่นางจากมา
ถังหลี่ร้อนใจยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้! นางให้ฉางลู่เฝ้าร้านเพียงคนเดียว ก่อนจะออกไปข้างนอก ไม่นานนักหญิงสาวกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าที่ดูดีอยู่ในมือ
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถิด ” นางยื่นเสื้อผ้าไปให้ฉางลู่
ฉางลู่รู้สึกดีใจ หากเขากลับพูดซื่อ ๆ ว่า
“นายหญิง ไม่จำเป็นหรอกขอรับ ข้ายังมีเสื้อผ้าอยู่”
“ต่อไปเจ้าต้องใส่เสื้อผ้าชุดนี้ต้อนรับลูกค้า ยิ่งเจ้าดูดีมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งเป็นหน้าเป็นตาแก่ร้านมากขึ้นเท่านั้น”
ถังหลี่พูดกับเขาก่อนที่จะให้เด็กหนุ่มเข้าไปเปลี่ยนชุดภายในห้อง หญิงสาวไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าแบบธรรมดาสามัญ หากเสื้อผ้าที่นางซื้อมาเป็นผ้าเนื้อผ้าดี หลังจากที่ฉางลู่สวมชุดใหม่ เขาดูราวกับนายน้อยที่มาจากตระกูลใหญ่เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามฉางลู่ก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วเขาอดไม่ได้ที่จะหันซ้ายหันขวาอยู่หน้ากระจกทองเหลืองบานใหญ่ พลางคิดว่าตนเองก็ดูดีไม่เลวทีเดียว ต่อเมื่อเขาหันไปเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเจ้านาย เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะที่รู้สึกเขินอาย ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อขึ้นมา
“เจ้าดูดีทีเดียว” ถังหลี่กล่าวชม
ใบหน้าของฉางลู่เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มและเมื่อมีลูกค้าเข้ามาในร้าน เด็กหนุ่มก็ปรี่เข้าไปทักทาย เจรจาได้ไพเราะอ่อนหวานเสนาะหูไร้ความเขินอายเฉกเช่นเมื่อครู่
ถังหลี่ให้หลู่ชิงใช้เวลาว่างสอนฉางลู่ให้มีความรู้ในเกี่ยวกับชาดแดงมากยิ่งขึ้น เขาจะได้สามารถอธิบายให้ลูกค้าฟังได้
ฉางลู่รู้สึกตื่นเต้นกระตือรือร้นทุก ๆ วันราวกับได้ฉีดเลือดไก่[1] เขาชอบงานนี้และชอบเจ้านายของเขามากเหลือเกิน จากที่เคยเป็นแค่บ่าวรับใช้ในบ้านคหบดี ทำงานเพื่อแลกอาหารและที่อยู่อาศัย หากทำผิดก็ได้รับโทษ ทุก ๆ วันต้องอยู่ด้วยความหวาดระแวงว่าตนจะทำงานผิดพลาดไปหรือไม่ ..
แต่นายหญิงผู้นี้ใจดีมาก และเขาก็ชื่นชอบงานที่ตนเองได้รับมอบหมายให้ทำ ทุกครั้งที่เขาขายชาดได้ เขาจะรู้สึกฮึกเหิมเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ยามที่เขามอบเงินให้นายหญิง นางจะให้เงินพิเศษกับเขาทุกครั้ง
หากฉางลู่รีบปฏิเสธตอนนี้เขามีทั้งอาหารและที่พัก อีกทั้งมีนายจ้างที่ดีแบบนี้ เขาจะกล้ารับเงินอีกได้อย่างไร?
“ฉางลู่ เจ้าเก็บเงินไว้บ้างเถิด ต่อไปจะได้เอาไว้ใช้ตบแต่งภรรยา ”
แต่งงาน…ภรรยา!?
บิดาของเขามักจะพูดเสมอว่าอยากเห็นฉางลู่เป็นฝั่งเป็นฝา แต่ตัวเขาเองจะมีภรรยาได้อย่างไร? สตรีที่ไหนจะมาทนกัดก้อนเกลือกินกับเขา…
ดังนั้นฉางลู่จึงไม่มีความตั้งใจที่จะแต่งงาน หลังจากที่เขาตัดสินใจขายตัวเองเป็นทาส ทันทีที่เขาลงนามในสัญญาทาสเขาจึงทำตัวประดุจวัวประหนึ่งม้าเพื่อเป็นแรงงานให้เจ้านาย บางคนที่ฉางลู่รู้จักถูกเจ้านายทุบตีจนตาย และบางคนก็ไม่ได้รับอนุญาตให้สวมรองเท้าด้วยซ้ำ เขาจึงไม่คาดหวังอะไรอีกแล้ว
แต่นายหญิงยังคิดเผื่อวันข้างหน้าให้เขา เขาจะได้ตบแต่งภรรยา ผู้ที่คิดเผื่อให้เขาเช่นนี้ เห็นทีจะมีแต่บิดาของเขาและนายหญิงของเขาผู้นี้เท่านั้น
ชาติที่แล้วเขาไปทำอะไรไว้ ถึงได้พบเจ้านายท่านที่แสนดีเช่นนี้?
เขารู้สึกจมูกแสบคันขึ้นมา
“พรุ่งนี้ทำงานให้หนักล่ะ หากขายไม่ได้ข้าไม่ให้เงินหรอกนะ!”
ฉางรีบลู่คว้าเงินรางวัลอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเขาประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ขอบคุณนายหญิงขอรับ!!”
…………
เมื่อเห็นว่ากิจการของเป่าชิงเก๋อดีขึ้นเรื่อย ๆ เถ้าแก่โจวก็นั่งไม่ติดอีกต่อไป เขาไม่คาดคิดเลยว่าหญิงสาวตัวเล็ก ๆ คนนี้จะเก่งกาจกว่าสตรีจากสกุลหลู่
ตอนแรกเขาคิดว่าเป่าชิงเก๋ออยู่ในกำมือของเขาแน่นอน ทว่าหากแม่นางน้อยผู้นี้สามารถทำให้เป่าชิงเก๋อฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีกครั้งจริง ๆ นี่ก็เหมือนเห็นเป็ดไหว้เจ้าบินได้เลยทีเดียว เขาจะปล่อยให้เป็นไปแบบนั้นไม่ได้ เถ้าแก่โจวกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ
……………..
[1] สำนวนฉีดเลือดไก่ คือการนำเลือดของไก่มาฉีดเข้าสู่ร่างกายจริงๆ คือนำเลือดจากเส้นเลือดใต้ปีกของไก่ตัวผู้ประมาณหนึ่งร้อยมิลลิลิตร มาฉีดเข้าสู่ร่างกายสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง โรคร้ายที่รักษาได้มีทั้ง โรคหัวใจ โรคต้อกระจก โรคศีรษะล้าน และโรคต่าง ๆ ถึง 24 โรค