จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 236-240

ตอนที่ 236-240

บทที่ 236 : ตี้เสี่ยวอวิ๋นคนซื่อ
  ฉู่อีอี้อ้าปากค้างอยู่เพียงครู่ก่อนจะทำตัวลื่นไหลตามโดยกล่าวว่า “ข้ารู้ว่ามีโรงน้ำชาดี ๆ อยู่ใกล้ ๆ ละแวกนี้ วันพรุ่งข้าจะพาเจ้าไปชิมนะ”
  “อืม…”ตี้เสี่ยวอวิ๋นกล่าว นางยิ้มราวกับดอกไม้บาน นัยน์ตาสวยงามของนางราวกับจะพูดได้ มันแลดูสดใสเหมือนพยายามเอาอกเอาใจ “พี่สะใภ้ ท่านอยากไปด้วยกันหรือไม่ ? เอ๊ะ ! ไหนพี่สะใภ้ล่ะ ?”
  รอบข้างพวกนางว่างเปล่าไป๋หยานอยู่ที่ใดกัน ?
  ฉู่อีอี้นิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปทางตี้เสี่ยวอวิ๋น “หลานเสี่ยวหยุนหลอกเรา !”
  ”อะไรนะ?” ตี้เสี่ยวอวิ๋นอุทาน นางหันไปทางหลานเสี่ยวหยุนเพื่อคิดบัญชี ทันใดนั้น พวกนางก็เห็นว่าหลานเสี่ยวหยุนซึ่งเคยยืนอยู่ตรงนั้นหายตัวไปแล้ว
  ฉู่อีอี้เม้มริมฝีปากแน่น”เรายังจะสู้กันอีกหรือไม่ ?”
  “จะสู้อะไรกันอีกล่ะ? หากพี่สะใภ้ขับไล่ข้า เจ้าจะพาข้ากลับมาที่นี่ได้งั้นเหรอ ?” ตี้เสี่ยวอวิ๋นมองฉู่อีอี้ด้วยสายตาว่างเปล่า “แล้วเรื่องโรงน้ำชาที่เจ้าพูดถึง ว่าจะพาข้าไปวันพรุ่งนี้ล่ะ ?”
  ”เจ้าจ่ายงั้นเหรอ?”
  ”ข้าไม่มีเงิน”
  ตี้เสี่ยวอวิ๋นเป็นคนซื่อมากแม้ว่าจะมีสมบัติมากมายอยู่ในกระเป๋าเก็บของของนาง ทว่านางก็ไม่มีเงินจริง ๆ
  ”ถือเป็นโชคร้ายของข้าก็แล้วกัน!” ใบหน้าสวย ๆ ของฉู่อีอี้แดงขึ้น เห็นได้ชัดว่านางเริ่มโกรธ
  นางไม่เคยเจอการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนเลย
  เมื่อตี้เสี่ยวอวิ๋นได้ยินว่าฉู่อี้อี้ยินดีที่จะเลี้ยงนางใบหน้าของตี้เสี่ยวอวิ๋นก็ดีขึ้นเล็กน้อย “เพื่อเห็นแก่ที่เจ้าเชิญข้าไปดื่มน้ำชา และกินของว่าง ข้าจะให้อภัยที่เจ้าพยายามแย่งพี่สะใภ้ของข้า”
  ฉู่อีอี้สูดลมหายใจเข้าลึกในที่สุดนางก็เชื่อแล้วว่า หญิงผู้นี้เป็นน้องสาวของอ๋องคัง
  ในวันนั้นต่อหน้าไป๋หยานอ๋องคังเองก็ไร้ยางอายเช่นนี้ !
  ภายในห้องตำรา
  ฮัวหลัวเดินผ่านประตูเข้ามานางมองสตรีในอาภรณ์สีแดงเจิดจ้าราวดวงตะวัน ก่อนจะก้มศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวว่า “นายหญิง ไม่ทราบท่านมีสิ่งใดจะสั่งการข้า ?”
  ”ฮัวหลัวไปที่ตำหนักอ๋องคัง บอกองครักษ์ของอ๋องคัง ว่าคนที่อ๋องคังตามหามาถึงที่นี่แล้ว”
  ไป๋หยานยิ้มอย่างขันๆ พลางกล่าวเบา ๆ
  ”น้อมรับ…”
  ฮัวหลัวรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไป
  ในขณะที่ฮัวหลัวกำลังจะจากไปนั้นเสียงของไป๋หยานก็ดังขึ้นอีกครา “ช้าก่อน”
  ”มีอะไรอีกหรือนายหญิง ?”
  ”ยังไงเจ้าก็ช่วยบอกอ๋องคังด้วยว่า แม้ตี้เสี่ยวอวิ๋นจะหนีออกจากบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต ทว่านั่นก็เป็นเพราะเขาทิ้งนางไว้คนเดียวนานหลายปี หากเขากล้าสร้างปัญหาขึ้นที่นี่ ข้าจะไม่ให้เขาเข้ามาในอาณาเขตของข้าอีกตลอดชีวิต”
  ทันทีที่ไป๋เสี่ยวเฉินผู้ซึ่งกำลังเล่นอยู่กับเสี่ยวมี่อย่างเงียบๆ ได้ยินถ้อยคำของไป๋หยาน เขาก็ชะงักครู่หนึ่งพร้อมกับขมวดคิ้ว
  นี่เขาควรจะบอกหม่ามี้ของเขาหรือไม่ว่าอาหญิงไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบป๊ะป๋าวายร้าย ส่วนการที่จะพบป๊ะป๋าหรือไม่นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับนาง ?
  ”เจ้าค่ะ…”
  ฮัวหลัวยิ้ม
  อย่าเห็นแต่ที่นายหญิงของข้าเอาแต่ดุแม่นางตี้แท้จริงแล้วนางใส่ใจเด็กสาวเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้นนางคงจะไม่ฝากถ้อยคำเหล่านั้นให้ข้าไปบอกอ๋องคังหรอก
  ภายหลังฮัวหลัวจากไปก็เหลือเด็กน้อยกับมารดาอยู่เพียงลำพัง ไป๋เสี่ยวเฉินรีบเดินเข้าไปหาไป๋หยานอย่างรวดเร็ว “หม่ามี้ กำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องของอาหญิงใช่หรือไม่ ?”
  ”ไม่ใช่เรื่องง่ายที่หญิงสาวตัวคนเดียวจะออกมาตามหาพี่ชายหากอ๋องคังยังดุนางด้วยเรื่องนี้ นางคงจะเศร้ามากเลยว่าหรือไม่ ?”
  ”อาหญิงไม่ได้ออกมาเพราะป๊ะป๋าวายร้าย”
  ครั้นมองใบหน้าที่ไร้เดียงสาของไป๋เสี่ยวเฉินไป๋หยานก็ยิ้มพลางลูบศีรษะเล็ก ๆ ของบุตรชาย “หากมิใช่เป็นเพราะเขาแล้ว อาหญิงของเจ้าจะมาถึงที่นี่ได้อย่างไร ? เมื่อแม่เห็นตี้เสี่ยวอวิ๋น แม่ก็หวนคิดถึงเซียวเอ๋อ … ”
  เหตุใดนางถึงทิ้งไป๋เซียวได้ตั้งนานหลายปี? เหตุใดจึงปล่อยให้เซียวเอ๋อต้องรอคอยนางนานหลายปีเช่นนั้น ? การรอคอยเยี่ยงนั้นมันเกินทนจริง ๆ หากตี้เสี่ยวอวิ๋นถูกดุว่าอีก นางย่อมต้องเสียใจมากกว่าไป๋เซียวเป็นแน่

บทที่ 237 : ปัญหามาจ่อถึงหน้าประตู
  “เฉินเอ๋อเจ้ากับเสี่ยวมี่ไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ แม่ต้องตระเตรียมบางอย่างสำหรับการค้าในวันพรุ่งนี้ … ” ไป๋หยานกระพริบตาอย่างเย็นชา ริมฝีปากของนางยกโค้งขึ้นเล็กน้อย
  ”ราตรีสวัสดิ์หม่ามี้”
  ไป๋เสี่ยวเฉินเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบแก้มของไป๋หยานฟอดใหญ่จากนั้นเขาก็อุ้มเสี่ยวมี่ขึ้นมา ก่อนจะก็เดินออกจากห้องตำรา
  “เสี่ยวมี่อย่ารบกวนหม่ามี้เลย เราไปเล่นตีลูกขนนกกัน”
  ”เอาขนนกมาจากที่ใด?”
  ”มันชื่อเสี่ยวหยูเหมา*มันคือหงส์ขาวของรับขวัญจากอาหญิงของข้า เสี่ยวหยูเหมามีขนจำนวนมากมาย เช่นนั้นข้าจะขอขนของมันมาสักหน่อย … ”
  “หงส์ขาว? เสี่ยวหยูเหมางั้นเหรอ ?” เสี่ยวมี่คิด
  ทันใดนั้นฉับพลันมันก็รู้สึกเห็นใจหงส์ขาวขึ้นมา แต่เมื่อหวนคิดถึงชื่อของหงส์ขาว มันก็เลิกเห็นใจทันที ไม่ว่าเสี่ยวหยูเหมาจะเป็นยังไง ชื่อของมันก็ยังดีกว่าชื่อเสี่ยวมี่เยอะแหละ
  *เสี่ยวหยูเหมาแปลว่าขนนกน้อยในขณะที่เสี่ยวมี่แปลว่าก้อนข้าวน้อย
  วันรุ่งขึ้น
  แสงแดดยามเช้าเบิกฟ้า
  ไป๋หยานตื่นขึ้นเพราะเสียงดังลั่นมาจากนอกประตูนางขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นช้า ๆ
  ”ฮัวหลัวเกิดเรื่องใดขึ้น ?”
  ครั้นได้ยินเช่นนั้นฮัวหลัวซึ่งรออยู่ข้างนอกเป็นเวลานานแล้วก็ผลักบานประตูเข้ามาพร้อมกับยิ้มให้
  ”นายหญิงก็แค่กลุ่มคนที่ไม่มีความหมายใด ลูกน้องของข้าได้ขับไล่พวกเขาออกไปหมดแล้ว ไม่ให้เข้ามารบกวนการพักผ่อนของท่าน”
  ไป๋หยานเชิดริมฝีปากขึ้นพลางกล่าวว่า “พวกเหล่าขุนนางใช่หรือไม่ ? ข้าคิดแล้วว่าพวกเขาต้องมาหาข้า แต่ไม่คาดว่าพวกเขาจะมาถึงเร็วเช่นนี้ ฮัวหลัว ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ”
  ฮัวหลัวไม่ได้แสดงความประหลาดใจแต่อย่างใดนางพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าค่ะ นายหญิง”
  กล่าวจบร่างทรงเสน่ห์ของนางก็หันหลังกลับ หายลับไปจากมุมมองของไป๋หยานอย่างรวดเร็ว
  ณห้องโถง
  มีกลุ่มคนกระซิบกระซาบสนทนากันใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความโกรธเคืองอย่างชัดเจน
  ครั้นเห็นเรือนร่างงดงามก้าวเข้ามาอย่างแช่มช้าพร้อมกับแสงตะวันยามเช้า ความโกรธบนใบหน้าของพวกเขาก็ทวีมากยิ่งขึ้น
  ”แม่นางไป๋ไม่ทราบว่าหลานสาวของข้าทำสิ่งใดผิด ? คนของท่านถึงได้ไปทำร้ายนาง”
  ”แล้วบุตรสาวที่น่าสงสารของข้าอีกเล่าตอนนี้นางไม่สามารถลุกออกจากเตียงได้เลย ! ท่านต้องให้ความกระจ่างในเรื่องนี้แก่เรา !”
  ”ใช่แล้วแม้ว่าท่านจะเป็นเจ้าหอบุปผา ที่มีสถานะแข็งแกร่ง หากแต่ท่านก็ไม่ควรทำร้ายผู้คนโดยไร้ซึ่งเหตุผล ! หากท่านไม่สะสางบัญชีนี้ให้ข้า ข้าไม่ยอมเป็นแน่ !”
  ไป๋หยานก้าวเข้ามาอย่างแช่มช้าอาภรณ์สีแดงของนางวิบวับแวววาวเปล่งประกายเบื้องหน้าทุกสายตา เพียงไม่ช้านางก็นั่งลงบนเก้าอี้ประธานในห้องโถง
  ไป๋หยานปัดอาภรณ์สีแดงของนางพร้อมกับยิ้มใบหน้าของนางงดงามอย่างน่าทึ่ง นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ไม่แยแสสิ่งใด “เช้านี้ช่างเป็นเช้าที่วุ่นวายมากจริง ๆ มีคนมาหาข้าพร้อมกับปัญหามากมายเลยว่าหรือไม่ ?”
  ยามนี้ทีท่าของหญิงสาวที่นั่งนิ่งแลดูกดขี่คุกคามอย่างรุนแรง นอกจากนี้พลังของนางยังคงกดดันเพิ่มมากขึ้น กระทั่งทำให้คนบางคนรู้สึกอยากจะล้มเลิกความคิดที่ตั้งใจไว้แต่แรก
  นางคือเจ้าหอบุปผาอีกทั้งยังเป็นสตรีของอ๋องคังด้วย พวกเขามาสร้างความเดือดร้อนให้นางเช่นนี้ พวกเขาจะจากไปได้ง่าย ๆ กระนั้นหรือ ?
  ”แม่นางไป๋”
  ชายวัยกลางคนเดินออกมาจากฝูงชนมือของเขาไพล่หลัง นัยน์ตาของเขาเย็นชา “คนอื่นอาจกลัวเกรงความแข็งแกร่งของท่าน ทว่าข้าจางเฟยหยางไม่กลัว ! ท่านคือเจ้าหอบุปผา ท่านอาจสามารถคุกคามผู้คนรอบตัวท่านให้อ่อนน้อมต่อท่านได้ก็จริง แต่สำหรับข้า หากไม่ได้คิดบัญชีนี้ ข้าก็จะไม่ยอมเลิกรา ! ”
  ไป๋หยานยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางในอาภรณ์สีแดงสดใส ยิ่งขับให้นางงดงามจับตา
  ”เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรให้เจ้ารึ?”
  “ในเมื่อคนของท่านทุบตีบุตรสาวของข้า เช่นนั้นท่านก็ควรชดใช้” ชายวัยกลางคนกล่าว นัยน์ตาของเขาเปล่งประกาย “ข้าไม่ขออะไรมาก ขอเพียงยาอายุวัฒนะนิดหน่อยก็พอ”
  กล่าวกันว่ายาอายุวัฒนะของไป๋เซียวนั้นได้รับมาจากไป๋หยานเมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมแสดงว่าในกำมือของนางนางย่อมต้องมียาอยู่อีกเป็นจำนวนมาก หากพวกเขาไม่ใช้โอกาสนี้กรรโชกนาง จะหาโอกาสไหนได้อีกเล่า ?

บทที่ 238 : วิธีการแก้ปัญหา
  ในที่สุดไป๋หยานก็เข้าใจถึงเจตนาของคนเหล่านี้ นางจึงแค่หัวเราะ “ท่านจางพยายามจะขู่กรรโชกข้ากระนั้นหรือ ?”
  ”แม่นางไป๋ข้าเพียงขอสิ่งที่ข้าต้องการ จะว่าข้าขู่กรรโชกท่านได้อย่างไร ? นอกจากนี้ ท่านเองต่างหากที่ปล่อยให้คนของท่านไปกระทำผิดก่อน”
  ครั้นเห็นท่าทางภาคภูมิใจของจางเฟยหยางรอยยิ้มบนริมฝีปากของไป๋หยานก็พลันดุไม่เหมือนรอยยิ้ม “ข้าไม่ให้ยาเม็ดแก่เจ้า แต่ข้ามีของขวัญที่ดีกว่าสำหรับเจ้า”
  หลังจากกล่าวเช่นนั้นนางก็พลิกฝ่ามือ สมุดเล่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของนาง
  ไป๋หยานพยักหน้าให้ฮัวหลัวฮัวหลัวก็เข้าใจทันที นางเดินไปรับสมุดจากนั้นก็เดินไปหาจางเฟยหยางอย่างช้า ๆ
  ”ข้าหวังว่าเจ้าคงจะชอบของขวัญจากข้านะ”
  ไป๋หยานยิ้มแม้แต่นัยน์ตาของนางก็ยังยิ้ม หากทว่าน้ำเสียงของนางกลับเย็นชา จนทำให้อุณหภูมิของห้องโถงทั้งหมดลดลงเล็กน้อย
  จางเฟยหยางขมวดคิ้วก่อนจะรับสมุดเล่มเล็ก ๆ ที่ฮัวหลัวส่งมาให้ หลังจากได้อ่านเนื้อหาในสมุดเล่มนั้น ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว
  ภายในสมุดบันทึกหลักฐานทางอาชญากรรมทั้งหมดที่เขาเคยก่อขึ้นในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาไม่เว้นแม้แต่บ้านเล็กบ้านน้อยที่เขาแอบเลี้ยงก็ยังมีบันทึกไว้อย่างชัดเจน
  หลายปีที่ผ่านมานี้เขาไม่เคยมีอนุในบ้าน เพราะภรรยาที่เขาแต่งงานด้วยนั้นดุราวแม่เสือ ที่เขามีสถานะได้เช่นทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะตระกูลของภรรยา เช่นนั้นหากภรรยาของเขาบอกว่าหนึ่ง เขาก็ไม่กล้าที่จะบอกว่าสอง
  หากภรรยารู้ข่าวเกี่ยวกับบ้านเล็กบ้านน้อยของเขาย่อมจะเป็นหายนะร้ายแรงเลยทีเดียว
  ”ท่าน… ” เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดกลัว ขณะมองใบหน้าของไป๋หยาน น้ำเสียงของเขาสั่นพร่า “ท่านรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร ?”
  ไป๋หยานยิ้ม”ในโลกนี้ไม่มีเรื่องใดที่ข้าไม่รู้ แน่นอนว่าข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเจ้าทุกคนในที่นี้ หากพวกเจ้ายังคิดจะทำให้ข้าเดือดร้อนอยู่อีก ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะเผยแพร่เรื่องเหล่านี้”
  มือของเขาสั่นใบหน้าของเขาแลดูน่าเกลียดแทบมองไม่ได้ เขากัดฟัน และไม่กล่าวคำใดอีก
  ”กลับ…”
  เขากล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันจากนั้นก็หันหลังกลับ หมายจะเดินจากไป
  ”ช้าก่อน!”
  ทันใดนั้นน้ำเสียงเย็นๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง จางเฟยหยางกลัวจนตัวแข็ง เขาหันศีรษะกลับไปพลางกล่าวว่า “แม่นางไป๋ ข้าก็จะไปแล้ว ท่านยังต้องการสิ่งใดอีก ?”
  ”ข้าเพียงอยากรู้ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า ในการเข้ามาสร้างปัญหาให้ข้าในวันนี้” ไป๋หยานเอ่ยถามด้วยทีท่าเยาะเย้ย
  ด้วยอิทธิพลในยามนี้ของนางนางไม่เชื่อว่า คนเหล่านี้จะมาหานางหากไม่มีผู้ใดให้การหนุนหลังพวกเขา
  “ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องใด”จางเฟยหยางกล่าว
  ”งั้นรึ?” ไป๋หยานหัวเราะเบา ๆ “ดูเหมือนว่า เจ้าไม่ต้องการจะบอกความจริงกับข้า เช่นนั้น ฮัวหลัวลองเผยแพร่เนื้อหาในสมุดนั่นให้สาธารณชนรับรู้หน่อยก็แล้วกัน ข้าจะให้พวกเขาเสียชื่อเสียงเล่น ! ”
  นับแต่ฉู่อี้อี้และพวกไปสร้างปัญหาไป๋หยานก็รู้อยู่แล้วว่าคนเหล่านี้จะต้องมาหานางเพื่อคิดบัญชี แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาวางแผนที่จะมา พวกเขาก็ต้องใช้เวลาในการใคร่ครวญอยู่บ้าง
  ทว่าที่ไป๋หยานไม่คาดคิดก็คือคนเหล่านี้กลับมาหานางตั้งแต่เช้า การตัดสินใจอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้ไป๋หยานรู้สึกผิดปกติ
  ”ไม่ต้องกังวลนายหญิงข้าจะจัดการให้เป็นอย่างดี”
  ฮัวหลัวยิ้มรอยยิ้มของนางเปี่ยมเสน่ห์ ทว่าแฝงด้วยอาการดูถูก ขณะกวาดตามองจางเฟยหยางและคนอื่น ๆ ริมฝีปากของนางเชิดแหลม เต็มไปด้วยท่าทางยั่วยุ อีกทั้งเสียดสี
  แน่นอนว่าคนเหล่านี้ไม่เห็นโลงศพย่อมไม่หลั่งน้ำตาพวกเขากล้ามาสร้างปัญหาให้นายหญิง เท่ากับรนหาที่ตายเลยนะนี่ ?
  ”ช้าก่อน!” ครั้นเห็นว่าฮัวหลัวกำลังจะจากไป จางเฟยหยางก็เดินกลับมาอย่างเร่งรีบ เขาไม่สนใจสิ่งใดแล้ว รีบพูดออกมาว่า “คนผู้นั้นก็คือ องค์รัชทายาท … ”

บทที่ 239 : กรรโชกทรัพย์ของจริงต้องแบบนี้
  องค์รัชทายาท? หนานกงอี้ ?
  มุมปากของไป๋หยานเชิดโค้งขึ้นใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติแสดงอาการเย้ยหยัน “องค์รัชทายาทมีจุดประสงค์ใดกันแน่ ?”
  ”แม่นางไป๋หยาน”จางเฟยหยางยังคงมีสีหน้าแข็งกระด้าง “องค์ชายต้องการให้พวกเรามาสร้างปัญหาให้กับท่าน จากนั้นเขาก็จะออกมาช่วยท่าน เพื่อที่ท่านจะได้ชื่นชมเขา แล้วลืมเลือนความขุ่นเคืองแต่อดีต ส่วนเรื่องการขอยาเม็ดนั่น เป็นความคิดของข้าเอง”
  ความคิดของหนานกงอี้นับว่าไม่เลวเลยทีเดียวหากแต่ลืมเขาไปว่า คนที่เขาส่งมาสร้างปัญหานั้นจะสามารถหลอกสายตาของไป๋หยานได้อย่างไร ?
  ครั้นรู้สึกถึงบรรยากาศกดดันในห้องโถงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พวกขุนนางที่มาพร้อมกับจางเฟยหยางต่างก็รีบออกตัว
  ”แม่นางไป๋พวกเราไม่รู้เรื่องคำสัญญาของจางเฟยหยางกับองค์รัชทายาทเลยนะ เพียงแต่เมื่อคืนนี้จางเฟยหยางมาหาพวกเรา และขอให้พวกเรามากับเขาด้วยก็เท่านั้น”
  “ใช่ข้าเองก็ไม่เต็มใจมา แต่จางเฟยหยางบอกข้าว่า ท่านไม่อาจทำอะไรพวกเราได้ หากพวกเรามาพร้อมกันหลาย ๆ คน นอกจากนี้พวกเราก็ไม่ต้องกลัว เพราะที่พวกเรามาที่นี่ พวกเราต่างก็มีเหตุผล”
  เดิมทีทุกคนต่างกลัวเกรงอิทธิพลของไป๋หยาน พวกเขาต่างก็ไม่กล้าที่จะมาคิดบัญชี อย่างไรก็ตาม เหตุเพราะจางเฟยหยางยืนยันซ้ำ ๆ พวกเขาจึงกล้าก้าวลุกล้ำเข้ามาในที่ของนาง
  ทว่าตอนนี้สายเกินไปที่จะเสียใจ
  ใบหน้าของจางเฟยหยางยิ่งแลดูไม่ได้มากขึ้นไปอีกคนพวกนี้กำลังพูดความจริงที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้
  ”ก็สมเหตุสมผลดีมิใช่หรือ?” ไป๋หยานยกยิ้ม “เท่าที่ข้ารู้ คนของข้าจะไม่สร้างปัญหาโดยไม่มีเหตุ หากคนของพวกเจ้าไม่ให้ร้ายข้าลับหลัง ฉู่อีอี้จะไปหาพวกนางได้อย่างไร ?”
  ทันทีที่ไป๋หยานกล่าวจบใบหน้าของทุกคนก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง พวกเขาไม่กล้ากล่าวคำใดอีก
  จางเฟยหยางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “สิ่งที่ข้าควรจะพูด ก็พูดไปแล้ว แม่นางไป๋หยาน ข้าจะไปได้หรือยัง ?”
  ไป๋หยานมองหน้าของจางเฟยหยางที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อผุดพรายนางยิ้ม “บ้านของข้าคือที่ที่เจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปตามแต่ใจเจ้าต้องการกระนั้นรึ ?”
  ”แล้วท่านต้องการสิ่งใด?
  ”ในเมื่อเจ้ามาถึงที่นี่ย่อมไม่อาจจากไปโดยง่าย เจ้าควรต้องทิ้งอะไรไว้บ้าง” ไป๋หยานเอียงขา พร้อมกับเอนตัวพิงเก้าอี้ นัยน์ตาที่งดงามของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “มอบสมบัติทั้งหมดที่เจ้ามีตอนนี้ออกมา หากยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของข้าก็ให้ครอบครัวของเจ้านำมาเพิ่มเพื่อเป็นการไถ่ตัวเจ้า ”
  จางเฟยหยางหน้าแดงด้วยความอับอายน้ำเสียงของเขาสั่นเทา “แม่นางไป๋ ท่านไม่ทำเกินไปหน่อยหรือ ?”
  ”เกินไปงั้นรึ?” ไป๋หยานเยาะ “หากข้ามิใช่เจ้าหอบุปผา ข้าคงต้องยอมให้พวกเจ้ากลั่นแกล้งรังแกข้าใช่หรือไม่ ? ฮัวหลัวค้นตัวเขา ! ส่วนคนอื่นเมื่อทิ้งสมบัติไว้แล้วก็กลับไปได้ ทว่าหากยังรีรอก็ให้คนมาไถ่ตัวพวกเขาเช่นกัน”
  ครั้นมองฮัวหลัวผู้ซึ่งกำลังเดินเข้ามาหาจางเฟยหยางก็รีบก้าวถอยหลังสองสามก้าว เขากัดฟันด้วยความโกรธแค้น
  ไป๋หยานเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวว่าจะเป็นการทำให้องค์รัชทายาทขุ่นเคืองกระนั้นรึ ?
  ไป๋หยานหัวเราะ”เจ้าควรถามเขามากกว่า ว่ากลัวจะทำให้ข้าขุ่นเคืองรึไม่ ?”
  ”เจ้า… ” นิ้วของจางเฟยหยางสั่นเทาขณะชี้ไปที่ไป๋หยาน “อย่าลืมว่า ราชบุตรขององค์รัชทายาทเป็นผู้มาจากราชวงศ์แห่งสัตว์อสูร ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องปกครองสิ่งมีชีวิตทุกผู้ทุกนาม เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้เจ้าคุกเข่าร้องขอความเมตตาก็สายไปเสียแล้ว”
  ไป๋หยานยิ้มมุมปาก”หากข้าดูไม่ผิด การฝึกฝนของพระนัดดานั้นดูเหมือนว่าจะยังอยู่เพียงระดับต้น ๆ เองมิใช่หรือ ?”
  ที่จริงพรสวรรค์ของหนานกงหลินก็ไม่ได้เลวร้ายนักหากแต่เป็นเพราะเขาไม่รักการฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเยาว์ นอกจากนี้หนานกงอี้กับไป๋รั่วยังรักเขามาก ทั้งคู่จะบังคับหนานกงหลินได้อย่างไร เช่นนั้นหนานกงหลินผู้ซึ่งฝึกฝนมาตั้งแต่อายุสามขวบจึงยังคงอยู่ในระดับต่ำสุดเท่านั้น

บทที่ 240 : พวกเจ้าสร้างปัญหามากกว่า
  ”เอ่อ…นั่นเป็นเพราะพระปรีชาสามารถของพระนัดดายังไม่ปรากฏพระองค์เป็นเจ้าแห่งสัตว์อสูร อีกทั้งยังถูกกำหนดให้มีชะตากรรมที่พิเศษกว่าผู้ใด เจ้าและลูกชายของเจ้าตลอดชีวิตนี้ทำได้ก็เพียงเงยหน้ามองดูเขาเท่านั้น ! ”
  ปัง!
  ทันทีที่จางเฟยหยางกล่าวจบฮัวหลัวก็เตะเข้าที่ใบหน้าของเขา ฟันของเขาหลุดร่วง เลือดกลบปาก เขาล้มลงกับพื้นขณะที่ใช้สองมือปิดปากไว้
  ไป๋หยานยิ้มนางประกาศด้วยท่าทางเยาะ ๆ “คนที่เหลือหลังจากมอบสินทรัพย์เป็นค่าไถ่ตัวก็สามารถกลับออกไปได้ แต่สำหรับเจ้า จ่ายค่าไถ่ให้ข้าตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ ! ฮัวหลัว เจ้าเผยแพร่เนื้อหาในบันทึกเล่มนั้นได้เลย”
  ไป๋หยานยื่นคำขาดตัดสินชะตากรรมของจางเฟยหยางจากนั้นก็หัวเราะ
  ใจของจางเฟยหยางสั่นสะท้านเหตุที่เขากล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมา เพียงเพราะเขาไม่เต็มใจที่จะมอบถุงเก็บสมบัติของตน
  เนื่องด้วยชายผู้นี้ไม่ไว้ใจคนในครอบครัวเลยเขาห่วงทรัพย์สมบัติของเขามาก เขาจะโล่งใจได้ก็ต่อเมื่อเก็บสมบัติทั้งหมดไว้กับตัว
  หากแต่เขาไม่คาดคิดว่าเขาทำผิดอย่างมหันต์ เพียงเพราะเขาต้องการรักษาเงินทองไว้เท่านั้น
  ”เจ้าค่ะนายหญิง”
  ริมฝีปากของฮัวหลัวยกโค้งขึ้นแลดูมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม แววตาของนางเต็มไปด้วยการเหยียดหยัน นางกราดตามองทุกคนในที่นั้น สายตาของนางแสดงออกถึงการเสียดสีโดยไม่ต้องเอ่ยออกมาเป็นถ้อยคำ
  ”สงสัยว่าข้าน้อยคงต้องสอนบทเรียนให้กับองค์รัชทายาทหน่อยแล้ว”
  ไป๋หยานหรี่ตาพลางกล่าวเยาะเย้ย “ยังมิใช่ตอนนี้”
  ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้หนานกงอี้ใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของราชวงศ์สัตว์อสูรมาช้านาน อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลานี้นางก็ไม่รังเกียจที่จะทำให้ชายผู้นี้เสื่อมเสียชื่อเสียง !
  ไป๋หยานทิ้งคำสุดท้ายนี้ไว้เบื้องหลังก่อนจะเดินออกจากห้องโถง ทว่าเพียงเดินไปได้ไม่กี่ก้าวนางก็หยุด
  สายลมพัดแผ่วเบาเส้นผมดำขลับล้อสายลม แสงตะวันยามเช้าทอจับด้านหลังของนาง ราวกับภาพในจินตนาการอันน่าตื่นตะลึง
  ”ออกมา”
  ไม่นานสองสาวก็เดินออกมาอย่างเขินอาย
  หนึ่งในนั้นสวยงามส่วนอีกหนึ่งก็มีเสน่ห์
  สาวงามสองแบบที่แตกต่างกันทว่าก็น่าตื่นตาพอกัน
  ”พี่ไป๋หยาน… ”
  ”พี่สะใภ้… ”
  ฉู่อีอี้และตี้เสี่ยวอวิ๋นร้องเรียกออกมาพร้อมกันพวกนางมองแผ่นหลังที่งดงามแพรวพราวเบื้องหน้า
  “พี่สะใภ้”ตี้เสี่ยวอวิ๋นกล่าว มุมปากของนางบิดเบี้ยว แลดูน่าเวทนา
  ท่าทางนางแลดูเศร้าโศกทว่าหัวใจของนางกลับเต็มไปด้วยความไม่พึงพอใจ
  คนเลวพวกนั้นกล้ามาสร้างปัญหาให้พี่สะใภ้! ไม่รู้หรือไรว่านางเป็นองค์หญิงแห่งดินแดนอสูร ?
  แต่หากพี่ชายของนางรู้ว่านางมาสร้างปัญหาที่นี่ล่ะก็เขาต้องถลกหนังนางออกมาหมดตัวเป็นแน่
  ไป๋หยานยิ้มมุมปาก”เทียบกับคนพวกนั้นแล้ว ข้าคิดว่าพวกเจ้าสร้างปัญหามากกว่ามาก”
  จังหวะหายใจของตี้เสี่ยวอวิ๋นเแทบขาดห้วงนางอยากปฏิเสธ หากแต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง !
  “พี่สะใภ้ข้าเพิ่งได้ยินที่พวกเขาพูดกันเกี่ยวกับราชวงศ์สัตว์อสูร” ตี้เสี่ยวอวิ๋นกลอกตา “พี่บอกข้าได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ?”
  ครานี้ไป๋หยานไม่ได้กล่าวคำใด ทว่าฉู่อีอี้ที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งก็พูดออกมาด้วยความโกรธ
  ”ห้าปีก่อนตอนที่บุตรชายของหนานกงอี้เกิด สรรพสัตว์นับหมื่นต่างก็น้อมสักการะกราบกรานเขา ทั้งสัตว์อสูรในอาณาจักรนี้ก้อยังแสดงความเคารพเขา ข้าเองก็ไม่รู้ว่าข่าวลือนี้มาจากที่ใด ว่ากันว่าหนานกงหลินพระนัดดาองค์โตของฮ่องเต้ได้รับการสักการะจากสรรพสัตว์นับหมื่นนับแสนนั่น”
  หาไม่แล้วด้วยความสามารถของหนานกงอี้ เขาจะขึ้นเป็นองค์รัชทายาทได้อย่างไร
  หากเขาไม่ใช้ประโยชน์จากพรของบุตรชายตน?
  ตี้เสี่ยวอวิ๋นอ้าปากค้างนัยน์ตาของนางเบิ่งโตด้วยความตกใจ “ราชวงศ์สัตว์อสูร ? สรรพสัตว์นับหมื่นงั้นหรือ ? นั่นมันควรจะเป็นเสี่ยวเฉินมิใช่หรือ ? เหตุใดจึงกลายเป็นบุตรชายของหนานกงอี้ได้ล่ะ ?”
  ในวันนั้นนางยังเห็นราชาแห่งสัตว์อสูรกระทำเช่นเดียวกัน รวมถึงสัตว์อสูรทั้งหมดในแดนอสูรของนางก็ร่วมนมัสการยินดีกับการกำเนิดขององค์ชายอสูร
  หนานกงหลินมิใช่บุตรชายของพี่ชายนาง ก็แล้วสรรพสัตว์พวกนั้นจะเคารพบูชาเขาได้อย่างไร ?

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

นางกลับชาติมาเกิดเป็นทายาทในตระกูลขุนนางจีนที่ทรงเกียรติ ทว่าในเวลานั้นนางไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องคว้าตัวชายสักคนมาปลดปล่อยความทรมานที่กำลังพุ่งถึงจุดที่ไม่สามารถอดทนได้

ไม่คาดคิดไม่เพียงแต่นางต้องถูกพร่าพรหมจรรย์อย่างไม่ตั้งใจคาเตียง นางยังต้องอุ้มท้องทั้งที่ไม่ได้แต่งงานอีกด้วย

มิหนำซ้ำ…ลูกที่นางอุ้มท้องมาถึงสิบเดือนกลับกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ ที่ร้องเรียกนางว่า “หม่ามี้” ตั้งแต่เกิด โชคดีที่ลูกของนางเลี้ยงง่าย และหวงแม่มาก

ในโลกนี้ย่อมมีทั้งคนดี และคนชั่วมากมายให้ผจญ หม่ามี้กับบุตรชายคู่นี้จึงต้องร่วมมือกันทำลายล้างศัตรู ไหนจะพวกญาติ ๆ ที่ชอบสบประมาทดูหมิ่นพวกเขาอีกล่ะ คนพวกนี้จะต้องได้รับผลกรรมให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันกระทำกับพวกเขาสองแม่ลูก

แต่ทว่า จุ๊ ๆ วันหนึ่งป๊ะป๋าจิ้งจอกก็ปรากฏตัวขึ้น ไม่เพียงแต่คิดจะลักพาตัวจิ้งจอกน้อยเท่านั้น ทว่าเขายังคิดจะชิงหม่ามี้ของเจ้าจิ้งจอกน้อยอีกด้วย ชะช้า ป๊ะป๋าผู้โง่เขลากล้าดียังไง ? จะทำอะไรไม่ถามไม่ไถ่ความเห็นของจิ้งจอกน้อยสักคำ…

จิ้งจอกน้อยเท้าสะเอวพลางกล่าวว่า “ท่านอยากเป็นป๊ะป๋าของข้ากระนั้นรึ ? เช่นนั้นก็ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนมา แล้วก็เดินไปต่อแถวหลัง ๆ โน่น เอ่อ หม่ามี้… ท่านลุงหวังที่อยู่บ้านถัดไปนั่นมีฐานะมั่งคั่งมาก ข้าว่าท่านควรไปเป็นลูกสะใภ้เขาจะดีกว่านะ”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท