บทที่ 85 ช่วยเขา
หลังจากที่เหล่าฮูหยินดื่มชาเสร็จ พวกนางก็ไม่อยากรบกวนถังหลี่ต่อ มีฮูหยินหลายคนต้องการจะซื้อใบชาของถังหลี่ แต่นางก็ปฏิเสธพวกเขาทั้งหมด
“ฮูหยิน ข้าขออภัยท่านด้วย พี่ชายข้ามอบชานี้ให้ข้าเป็นของขวัญ ข้าจึงไม่สามารถขายให้พวกท่านได้ แต่หากพวกท่านชื่นชอบละก็แวะมาที่ร้านของข้าบ่อย ๆ สิ…ข้าจะชงให้ท่านดื่มเอง”
ทุกคนพาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ฮูหยินเหม่ยระงับความผิดหวังของตนเองไว้ หากเมื่อยามที่นางกำลังจะกลับนั่นเอง ถังหลี่ก็ได้มอบของเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แก่นาง หัวใจของนางเต้นยามเปิดมันออกดู และใช่ มันคือชาเข็มเงินจวินซานจริง ๆ!
“เถ้าแก่เนี้ยถัง ท่านไม่ได้ขายชานี้หรอกหรือ? …นี่…”
“ฮูหยินเหม่ย ข้าเห็นว่าท่านชื่นชอบชามาก ดังนั้นนี่ไม่ได้ขายให้ท่าน แต่เป็นเพียงของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้า” ถังหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฮูหยินเหม่ยดีใจมาก นางกล่าวขอบคุณถังหลี่ไม่หยุด ก่อนที่จะจับมือถังหลี่ขึ้นมาและกล่าวอย่างสนิทสนมว่า
“เสี่ยวถัง ข้าได้ข่าวมาว่าลูกสองคนของเจ้าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษา ข้ามีแท่งหมึกดี ๆ อยู่สองสามชิ้น ไว้วันหลังข้าจะนำมาให้เจ้านะ”
ถังหลี่ส่งบรรดาฮูหยินสองสามคนออกไปและเริ่มทำงาน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงเวลาปิดร้าน ถังหลี่รีบตรงกลับบ้านทันที เมื่อถึงบ้านหญิงสาวมองดูภาพวาดที่แขวนอยู่ในห้องโถงนั้น แล้วนึกถึงคำเตือนของชายสติไม่ดีผู้นั้นขึ้นมา
ภาพนี้มีอะไรพิเศษ… จะนำมาซึ่งหายนะได้จริงหรือ?
ถังหลี่จ้องไปที่ภาพวาดนั้นอยู่สักพักหนึ่ง เป็นไปได้หรือไม่? ว่าภาพวาดนี้อาจจะมีความหมายอะไรซ่อนอยู่ หญิงสาวมองอย่างสำรวจตรวจตรา แต่ไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด นางเลื่อนสายตาไปจับจ้องที่ตราประทับสีแดง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของจิตรกรหลังจากจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดถังหลี่ก็ยอมแพ้ปลดภาพออกจากผนังและม้วนเก็บเอาไว้
วันถัดมา
ระหว่างทางไปร้าน ถังหลี่ได้พบกับชายขี้เมาคนนั้นอีกครั้งที่ร้านขายข้าวสาร เขากำลังแบกกระสอบข้าวจากเกวียนวัวเข้าไปในร้าน หากแต่ร่างกายเขาอ่อนแอมากจนไม่สามารถเดินต่อไปได้ เจ้าของร้านจึงเอ่ยปากไล่เขา
“ถ้าแบกได้ก็แบก หากแบกไม่ได้ก็ไสหัวไป!”
เขาเลือกที่จะแบกมันต่อไปอย่างอดทน ในขณะนั้นเองมีหญิงสาวผิวขาวท่าทางอ่อนแอรีบเข้าเดินเข้ามาหาเขา
“ท่านพี่ท่านมาทำอะไรที่นี่! กลับบ้านกับข้าเถิดท่านจะทำงานแบบนี้ได้อย่างไร! หากท่านต้องการเงินข้าจะหามาให้ สุขภาพของข้าดีขึ้นมากแล้ว ร้านหมั่นโถวของข้าก็เปิดต่อได้! มาเถิด กลับบ้านกับข้า!” สตรีผู้นั้นดึงเขาออกไป
“ผู้ชายผู้นี้จะทำงานอะไรได้? เขาชินกับการอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร”
“เจ้าขี้เมาคนนี้ไม่อายที่จะอยู่เฉย ๆ เขาไม่สนใจอะไรเลย! รู้จักแต่ดื่มเหล้าเท่านั้น ภรรยาของเขาที่ขายหมั่นโถวก็สุขภาพไม่ค่อยดี วันก่อนก็เป็นลมที่หน้าร้าน น่าสงสารมาก!”
“คนหนึ่งมีใจสู้ แต่อีกคนเอาแต่แบกทุกข์โศก เราเป็นคนนอกจะไปพูดอะไรได้เล่า! ”
ถังหลี่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก ก็เป็นอย่างที่ชาวบ้านพูดนั่นแหละ นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัว ไม่ว่าจะอย่างไรนั่นก็เป็นสิ่งที่พวกเขาเลือก ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนาง หากแต่สามีที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ ถังหลี่ก็ไม่ต้องการคนแบบนี้เป็นสามีเช่นกัน
ถังหลี่ไปที่ร้านและเรียกเสมียนบัญชีที่รับเข้าทำงานไม่กี่วันก่อนมา เสมียนคนนี้แซ่จาง เขาเป็นนักทำบัญชีสูงอายุและมีประสบการณ์มากมายในการทำบัญชี ถังหลี่พิจารณาดูบัญชีอย่างจริงจัง ชายผู้นี้เป็นคนเข้มงวดในการทำงาน งานบัญชีนั้นเป็นงานที่ซับซ้อน หากเป็นชายหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์เขาจะต้องทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ชายสูงวัยผู้นี้มีประสบการณ์ในการทำบัญชีมากมายก็จริง แต่เขามีนิสัยที่เข้มงวดเหมือนกับการทำบัญชีของเขา ทำให้เข้ากับผู้อื่นยาก แต่ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลต่อการทำงาน ถังหลี่ก็ยอมปิดตาเมินนิสัยส่วนตัวของเขาไปได้
ถังหลี่ส่งบัญชีแยกประเภทคืนให้กับเขา
“ผู้เฒ่าจาง บัญชีแยกประเภทนี้ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ขอบคุณที่ทำงานหนัก”
“ขอบคุณขอรับเถ้าแก่เนี้ย” เสมียนจางถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขาเคยพบเจ้านายที่ไม่รู้วิธีทำบัญชี พวกเขามักจะชอบยื่นคำขอแปลก ๆ ต่อเขาเสมอ และนั่นยิ่งทำให้ชายชราปวดหัวในการทำบัญชีมาก แต่หญิงสาวผู้นี้ดูคุ้นชินกับการทำบัญชีเป็นอย่างดี เมื่อเขามองผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ตรงหน้า ก็รู้ได้ว่านางเข้าใจในการทำบัญชีอย่างถ่องแท้ นางเป็นคนฉลาด หากมีข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยนางจะมองออกทันที เขาจึงไม่กล้าที่จะคิดไม่ซื่อกับนาง ได้แต่ก้มหน้าทำงานอย่างขยันขันแข็งต่อไป
……
สองวันต่อมา หลังจากที่ถังหลี่เจอชายขี้เมากับภรรยาของเขา ในขณะที่หญิงสาวเดินตลาดอยู่ ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงร้องดังขึ้น
“มีคนเป็นลม!” ใครบางคนตะโกนขึ้นมาก่อนที่ฝูงชนจะเข้าไปมุงดู
“นั่นภรรยาของขี้เมาคนนั้น เหตุใดนางจึงเป็นลมอีกแล้วละ”
“จะเป็นเพราะอะไรได้เล่า นางเหนื่อยมากนะสิ ผู้หญิงคนนี้ช่างน่าสงสารจริง ๆ นางต้องเลี้ยงดูสามีและบุตรชาย ทำให้ร่างกายนางอ่อนแอเกินไป”
“ท่านแม่ ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป?”
เด็กชายร่างผอมต้องการช่วยนาง แต่เขาก็ยังเด็กเกินว่าจะพยุงตัวนางเอาไว้ได้ ผู้คนที่ผ่านไปมาพูดจาซุบซิบกันไม่หยุด แต่ไม่มีใครยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือสองแม่ลูกเลย
พวกเขาไม่สนิทชิดเชื้อกับครอบครัวนี้ และไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชายสติไม่ดีผู้นั้น
เด็กน้อยหอบหายใจใบหน้าแดงก่ำ ในที่สุดเขาก็พยุงมารดาขึ้นมาได้ แต่เมื่อเด็กชายก้าวเท้าเดิน ทั้งคู่เดินก็โซเซไปอย่างทุลักทุเล ถังหลี่ทนมองไม่ไหว นางเดินเข้าไปพยุงผู้หญิงคนนี้อีกข้างหนึ่ง เมื่อผู้หญิงคนนั้นทิ้งน้ำหนักตัวมาที่ถังหลี่ เด็กน้อยจึงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
เด็กชายมองถังหลี่อย่างซาบซึ้ง
ทั้งสองคนช่วยกันพามารดาของเด็กชายไปที่โรงหมอ นางนอนลงที่เตียงพักและฟื้นคืนสติขึ้นมาในไม่ช้า ใบหน้าของนางซีดเผือดราวกับกระดาษ เด็กน้อยวิ่งเข้าไปหามารดา เขาสะอื้นออกมาเบา ๆ
“ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านฟื้นแล้ว ข้ากลัวแทบตาย ฮึอ…ฮือ”
ผู้หญิงคนนั้นยื่นมือสั่นเทาออกมาลูบหัวลูกชายเบา ๆ
“คนไข้ไม่เป็นอะไรมากนัก นางเป็นลมเพราะอ่อนเพลีย ต่อให้กิานยาแต่ร่างกายของนางอ่อนแอเกินไป นางขาดสารอาหาร ดังนั้น เจ้าต้องดูแลแม่เจ้าให้ดี ไม่อย่างนั้น…”
เด็กน้อยยังคงร้องไห้เมื่อได้ยินที่หมอพูด หากแต่เขาไม่อยากรับฟัง “ท่านหมอ ข้าไปเอายากับท่านเอง” ถังหลี่พูดออกมา
ถังหลี่เดินออกไปกับหมอ ผู้เป็นมารดาผลักบุตรชายของนางทันทีที่ได้ยิน
“ติ่งเอ๋อร์ ไปเถอะ แม่ไม่กินยานะ ไม่ต้องซื้อยา…รีบไป”
เด็กน้อยปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแล้วเดินตามเข้าไป หมอกำลังหยิบห่อยาส่งให้ถังหลี่
“หนึ่งตำลึง”
ถังหลี่หยิบเงินจากมาจากถุงหนึ่งเหรียญแล้วยื่นให้หมอก่อนรับยา พอหญิงสาวหันกลับมา นางก็เห็นเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ยืนรออยู่อยู่ด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
ถังหลี่ส่งห่อยาให้แก่เขา
“นี่ยาของแม่เจ้า”
“ขอบคุณขอรับ” เด็กน้อยรับยาไป
จากนั้นเขาก็หยิบเงินหนึ่งตำลึงออกมาจากแขนเสื้อส่งให้ถังหลี่ หญิงสาวรับเงินไป
“นั่น…อย่าบอกท่านแม่ข้าว่าข้ามีเงินนะขอรับ บอกนางว่ายาพวกนี้ท่านซื้อให้” เด็กน้อยพูด
“เพราะเหตุใดเล่า? ข้าไม่ช่วยเจ้าโกหกหรอกนะ” ถังหลี่มองเขา
“ข้าขายภาพวาดของท่านพ่อและโกหกท่านแม่ว่าใช้เงินไปหมดแล้ว หากท่านแม่รู้ว่ายังมีเงินอยู่นางจะต้องบังคับให้ข้าคืนท่านพ่ออย่างแน่นอน ข้าไม่ให้ ข้าจะเก็บเงินไว้รักษาท่านแม่! ”
ถังหลี่ไม่ได้คาดหวังว่าเด็กคนนี้จะมีความกตัญญู เด็กชายนำภาพวาดนั้นมาขายเพราะต้องการที่จะดูแลมารดา
ถังหลี่ยินดีที่จะช่วยเขา
————————–