บทที่ 95 เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจนัก
วันถัดมา
ขงซวนไปที่เป่าชิงเก๋อเพื่อรับงาน มารดาของเขาให้เสื้อผ้าใหม่แก่เขา ส่วนบิดาก็จัดหาเกวียนวัวราวกับเขาเป็นขุนนางชั้นสูง
คนบังคับเกวียนพาขงซวนไปหยุดที่หน้าร้านเป่าชิงเก๋อ
ขงซวนลงจากเกวียนวัวและมองไปที่ประตูร้านอยู่ครู่หนึ่ง เขาเดินเอามือไขว้หลัง ร้านนี้เป็นร้านค่อนข้างใหญ่ ตกแต่งอย่างดี ไม่เลว… เขาทำสีหน้าพึงพอใจ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าแล้วพบกับเจิ้งติ่ง
“เจ้าเป็นคนงานที่นี่หรือ?” เขาถามอย่างเย่อหยิ่ง
“ใช่แล้ว” เจิ้งติ่งพยักหน้า
ขงซวนทำท่าทางรังเกียจ ร้านใหญ่โตขนาดนี้ จะมีคนงานผิวคล้ำผอมโซเช่นนี้ได้อย่างไร? หรือจะเป็นแรงงานถูก สตรีที่สายตาไม่กว้างไกลจะมาบริหารกิจการได้อย่างไร? หากเขาได้เป็นคนดูแลร้านเมื่อไหร่ ขงซวนจะเปลี่ยนคนงานใหม่ทั้งหมด
“ท่านเป็นใคร?” เจิ้งติ่งมองเขา
“ข้าเป็นพี่เขยของเถ้าแก่เนี้ยถัง! เจ้านายเจ้าอยู่ไหน?” ขงซวนขึ้นเสียง
“ข้าจะไปตามนาง” เจิ้งติ่งจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังวิ่งเข้าไปในร้าน
ไม่นานนักหญิงสาวในชุดสีชมพูก็เดินออกมา ผิวพรรณของนางขาวมาก ใบหน้าสวยงดงาม ดวงตากลมโตอิ่มน้ำ รูปร่างผอมเพรียวแต่มีทรวดทรง
วันก่อนนั้นเขาได้แต่มองเห็นนางไกล ๆ เท่านั้น แต่เมื่อได้มองใกล้ ๆ เขาก็ตกตะลึงทันที
เว่ยฉิงไปทำบ้าอะไรมาถึงได้แต่งงานกับเมียที่สวยและหาเงินเก่งเช่นนี้!
เขาฉลาดกว่าเว่ยฉิงมากรูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้แย่ไปกว่าเว่ยฉิง เหตุใดจึงไม่พบของดี ๆ เช่นนี้บ้าง?
ถังหลี่มองไปที่ชายร่างเตี้ยที่อยู่ตรงหน้า นางขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาจาบจ้วงของเขา
“ท่านคือพี่เขยหรือ?” ถังหลี่ถาม
“ใช่แล้วน้องสะใภ้! เจ้าเป็นผู้หญิงดูแลร้านอยู่คนเดียวเช่นนี้น่าจะเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก เว่ยฉิงก็ไม่มาช่วยเจ้าดูแลบ้าง…ให้พี่เขยคนนี้ช่วยเจ้าเองเถอะ!” ขงซวนพูดอย่างกระตือรือร้น
ถังหลี่รู้สึกขุ่นเคืองในหัวใจมากขึ้น หากแต่นางยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ได้
“ข้าไม่เหนื่อยเท่าไรนักหรอก… พี่สาวบอกว่าพี่เขยอยากหางานทำ ข้าเลยอยากช่วยเหลือ”
ขงซวนที่ถูกบิดามารดายกยอล้างสมองมาตลอดคืนว่าตนเองคืออัจฉริยะด้านการค้า และทุกคนต้องการจะให้เขาไปทำงานด้วย
คำพูดของถังหลี่จึงทำให้เขาอึดอัดใจมาก
“ตอนนี้น้อง ๆ อยากช่วยเหลือข้า แต่ในไม่ช้าพวกเจ้าจะรู้ว่าข้านี่แหละกำลังช่วยพวกเจ้าอยู่”
“พี่เขยเชิญนั่งลงคุยกันก่อนเถอะ ” ถังหลี่ยิ้ม
เขาเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลง หญิงสาวนั่งที่ด้านข้างของเขา
“พี่เขยอยากทำอะไรหรือ?” ถังหลี่ถาม
“น้องสะใภ้ ถึงบ้านข้าจะฐานะไม่ดีนัก แต่ข้าสามารถช่วยเจ้าดูแลร้านได้ เจ้านอนพักผ่อนอยู่บ้านรอนับเงินได้เลย” ขงซวนกล่าวอย่างจริงจัง
คนดูแลร้าน?
ช่างกล้าพูด!
ดูเหมือนเขาจะหลงตัวเองมาก
ถังหลี่ได้ฟังเกือบจะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“เจิ้งติ่ง เจ้าไปหาเสมียนจางแล้วหยิบสมุดบัญชีมาให้ข้าทีเถิด” ถังหลี่พูดกับเจิ้งติ่ง
เจิ้งติ่งวิ่งเข้าไปในห้องด้านในและออกมาอีกครั้งพร้อมกับสมุดบัญชีแยกประเภทและส่งให้ถังหลี่ นางมอบสมุดบัญชีในมือให้กับขงซวน
“พี่เขย สิ่งพื้นฐานของคนที่จะมาดูแลร้านนี้คือต้องเข้าใจบัญชีแยกประเภทพวกนี้ ในเมื่อท่านมีท่าทางมั่นใจดังนั้นข้าต้องการรู้ว่าท่านทำได้หรือไม่? เหตุใดพี่เขยไม่ช่วยข้าตรวจสอบสมุดบัญชีพวกนี้หน่อยเล่าว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”
“เรื่องง่าย ๆ” ขงซวนรับสมุดบัญชีไป จากนั้นก็พลิกอ่าน
ขงซวนไม่รู้หนังสือเลยสักคำ และในสมุดบัญชีก็มีตัวหนังสือหนาแน่นมาก มันทำให้เขารู้สึกปวดหัว
อย่างไรก็ตามเขายังคงตั้งใจดูและพลิกทีละหน้า ราวกับว่าเขาเข้าใจมัน
“น้องสะใภ้ สมุดบัญชีเล่มนี้ไม่มีอะไรผิดปกติ เสมียนที่เจ้าจ้างมานั้นทำงานดีมาก น้องสะใภ้เจ้าต้องให้ค่าตอบแทนอย่างดีเพื่อรักษาเขาไว้นะ” ขงซวนพูดอย่างจริงจัง
“พี่เขย สมุดบัญชีในมือท่านกลับหัวอยู่” ถังหลี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ขงซวนรู้สึกตื่นตระหนกและรีบกลับสมุดบัญชีให้ตรง ใบหน้าของเขาแสดงความอับอายออกมา
“พี่เขยการเป็นคนดูแลร้าน จำเป็นต้องรู้หนังสือเป็นพื้นฐาน เหตุใดท่านจึงไม่ไปร่ำเรียนก่อนแล้วค่อยมาเป็นคนดูแลร้านหลังอ่านหนังสือได้เล่า?” ถังหลี่แนะนำอย่างจริงจัง
ใบหน้าของขงซวนนั้นดูไม่ดีเป็นอย่างมาก
“น้องสะใภ้เจ้าไม่สามารถตัดสินความสามารถของใครด้วยการรู้หนังสือนะ คนดูแลร้านต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการ เพียงแค่หาคนที่มีความสามารถและให้พวกเขาทำหน้าที่พวกนั้น”
“หากท่านอ่านหนังสือไม่ออก อ่านบัญชี และอ่านใบจัดซื้อไม่ได้ ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองพบคนงานที่มีความสามารถแล้ว?”
“นี่…นี่…”
“ข้าเป็นเถ้าแก่เนี้ยร้านนี้ ไม่คิดว่าท่านเหมาะที่จะเป็นคนดูแลร้าน ถ้าพี่เขยของข้ายืนกรานที่จะเป็นคนดูแลร้านล่ะก็ เหตุใดท่านไม่ลองไปที่ร้านอื่นเล่า?” ถังหลี่กล่าวต่อ
รอยยิ้มบนใบหน้าของถังหลี่หายไป และเมื่อนางมีใบหน้าที่เย็นชาบรรยากาศจึงดูค่อนข้างกดดัน ขงซวนพบว่าแท้จริงแล้วเขากลัวนางขึ้นมาบ้าง
“น้องสะใภ้ข้ามาช่วยร้านเจ้าแล้ว จะไปที่ร้านอื่นได้เช่นไร ในเมื่อข้าไม่เหมาะที่จะเป็นคนดูแลร้าน แล้วข้าควรทำอย่างไรดี” ขงซวนปาดเหงื่อออกจากหน้าผากของเขา
“พี่เขย เจ้าน่ะไม่รู้หนังสือ หน้าตาไม่ดี ไม่รู้จักมองคนให้ดี หากรับสมัครปกติข้าคงไม่จ้างเจ้า แต่เพราะเห็นแก่พี่สาวของสามีข้า ข้าจะจัดหางานให้เจ้า เจ้าเป็นผู้ช่วยฉางลู่ไปเถิด เขาจะสอนงานเจ้าเอง” ถังหลี่กล่าว
ใบหน้าของขงซวนร้อนจัดและเขารู้สึกอับอายมาก
อย่างไรเสียเขาก็ไม่สามารถพูดตอกกลับออกไปได้
เขาต้องการเดินออกจากทีนี้ แต่มันก็ช่างยากเย็น
ทุกคนในหมู่บ้านพากันรู้ข่าวว่าเขาจะได้เป็นผู้จัดการร้าน หากเขากลับไปมือเปล่าเช่นนี้จะไม่ถูกหัวเราะเยาะหรือ?
เขาต้องอยู่ที่นี่และพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง ผู้หญิงคนนี้จะได้ไม่กล้าดูถูกเขาอีก!
“ตกลงน้องสะใภ้ข้าจะเรียนรู้งาน” ขงซวนพยักหน้า
ถังหลี่ให้ขงซวนเรียนรู้งานจากฉางลู่
ตอนนี้ที่ร้านมีคนงานสองคนคือฉางลู่และเจิ้งติ่ง ร้านนี้แตกต่างจากร้านอื่นเพราะพวกเขาทุกคนต้องเข้าไปทักทายลูกค้าและแข่งขันกันทำยอดขายก่อนจะรายงานให้นักบัญชีทราบ
ขงซวนค่อนข้างพอใจเมื่อได้ยินกฎเกณฑ์นี้ คนงานสองคนที่มีอยู่ คนแรกดูเหมือนลิง อีกคนก็เป็นแค่เด็กผอมแห้ง พวกเขาจะมาสู้ขงซวนได้อย่างไร?
ในไม่ช้าเขาจะสามารถพิสูจน์ความสามารถของตัวเองได้
“พี่ขง ข้าจะแนะนำให้ท่านรู้จักกับชาดของร้านเรา…” ฉางลู่อุทิศตนเพื่อนายท่านและนายหญิง ถังหลี่เองมีความสุขมากยามที่เขาทำเงินได้ ดังนั้นเขาจึงชวนขงซวนและพูดคุยกับชายหนุ่ม แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ในการค้าขายของเขาให้ขงซวนรู้
“ข้ารู้ ข้ารู้ดีกว่าเจ้า ข้ายังต้องให้เจ้าสอนด้วยหรือ?” ขงซวนใจร้อน
ฉางลู่รู้สึกไม่สบายใจแต่ในขณะนั้นก็มีลูกค้าเข้ามา ขงซวนรีบเข้าไปทักทายดูแลลูกค้าท่านนั้น ทว่าเมื่อลูกค้าถามคำถามเขาสองสามคำ ขงซวนก็ไม่เข้าใจและลังเลที่จะตอบ เมื่อหมดความอดทนลูกค้าท่านนี้จึงให้ฉางลู่และเจิ้งติ่งแนะนำแทน
หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน ขงซวนขายไม่ได้เลยแม้สักชิ้นเดียว ฉางลู่มอบเงินจำนวน ยี่สิบสองตำลึงกับห้าร้อยอีแปะให้กับเสมียนจาง ส่วนเจิ้งติ่งมอบเงินจำนวนสิบเอ็ดตำลึงกับอีกสองร้อยสามสิบอีแปะให้กับเสมียนเช่นกัน ในขณะที่ขงซวนไม่มียอดขายเลย
ขงซวนรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า
“พี่ขงนี่เป็นวันแรก เป็นเรื่องปกติที่จะขายไม่ได้ วันหน้ามันต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอน” ฉางลู่คุ้นเคยกับสถานการณ์นี้ เขาเอ่ยปลอบโยนด้วยความหวังดี
ใบหน้าของขงซวนมีสีหน้าดีขึ้น
ใช่แน่นอนเพราะเป็นวันแรก!
“ข้าว่าข้าดูดีกว่าเจ้า เหตุใดเขาจึงไม่ถามข้าเล่า!”
ฉางลู่เหลือบมองใบหน้าของขงซวนที่มีดวงตาหรี่เล็ก จมูกงองุ้มและริมฝีปากที่หนา เขากลืนคำพูดลงไปในคออย่างเงียบ ๆ
*****************