บทที่ 143 ไปฉินโจว
ถังหลี่ช่วยพยุงลุงหลี่ให้ลุกขึ้น เขาอยากขอร้องนางแม้ว่าจะดูน่าละอายอยู่บ้างแต่ลุงหลี่ก็กัดฟันพูดออกมา
“เสี่ยวถัง ข้าขอไปฉินโจวกับเจ้าได้หรือไม่ ถ้า…ถ้าอาเฉิงไม่สามารถกลับมาได้ ข้าจะได้ไปบอกเขาเรื่องหลันฮวา”
อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอหลานเขย
หัวใจของถังหลี่เจ็บปวด นางตอบตกลง จากนั้นจึงให้หลี่โหยวไฉ่กลับไปบอกข่าวคราวให้ป้าเกา และปลอบโยนหลันฮวา
“ถังหลี่ เจ้าต้องระวังตัวเมื่อไปถึงเมืองฉินโจวนะ ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นค่อนข้างสับสนวุ่นวาย” หลี่โหยวไฉ่กล่าวเตือนนาง
ถังหลี่พยักหน้ารับ นางเริ่มเก็บสัมภาระ
ในตอนนั้นรถม้าของไป๋มู่หยางก็เคลื่อนมาจอดที่หน้าบ้านถังหลี่ นางพยุงลุงหลี่ขึ้นไปนั่งบนรถม้า ภายในห้องผู้โดยสารมีไป๋มู่หยางนั่งอยู่ก่อนแล้ว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย รถม้าจึงได้ออกเดินทางไปยังเมืองฉินโจว
เมืองฉินโจวอยู่ห่างออกไปจากเหยาสุ่ย พวกเขาออกเดินทางในเช้า แล่นไปตามถนนโดยไม่มีการหยุดพัก แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเมืองฉินโจว ตอนนี้ฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว
ถังหลี่เคยอยากเดินทางไปดูเมืองอื่น ๆ มานานแล้ว สภาพแวดล้อมและบรรยากาศของยุคนี้เป็นสิ่งที่นางอยากเห็นกับตาตนเองมาโดยตลอด นางอยากลองไปเมืองชิงเหอ และฉินโจว ไม่เคยคิดเลยว่าการไปเมืองฉินโจวในครั้งแรกของนางจะมีสาเหตุมาจากเรื่องของจูเฉิง
ตลอดการเดินทาง ถังหลี่แทบไม่มีแก่ใจที่อยากจะชื่นชมทิวทัศน์บนท้องถนน เป็นเพราะมีเรื่องไม่สบายใจติดค้างอยู่ ยิ่งเข้าใกล้เมืองฉินโจวมากขึ้นเท่าใด นางก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีมากขึ้นเท่านั้น
ถังหลี่ใส่เสื้อคลุมบุนวมอยู่ในรถ แต่ว่าลุงหลี่ไม่ได้ใส่ เมื่อเห็นเช่นนั้นไป๋มู่หยางจึงถอดเสื้อคลุมของตนออกให้ลุงหลี่ทันที
“ไม่ต้อง ๆ ข้าชินแล้ว ข้าไม่หนาวหรอก!” ลุงหลี่รู้สึกยินดีแต่ก็ปฏิเสธไป
ชายชราเห็นว่าไป๋มู่หยางคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เขาไม่ใช่คนชนชั้นเดียวกับพวกเขา ลุงหลี่จึงได้แต่นั่งตัวลีบซุกอยู่ที่มุมห้องผู้โดยสาร เพราะเกรงว่าจะไปทำให้รถม้าของเขาสกปรก แล้วจะทำให้ถังหลี่ตกที่นั่งลำบากเดือดร้อนขึ้นมาได้ ตอนนี้ชายหนุ่มตรงหน้ากลับยื่นไมตรีให้เขาทำให้ลุงหลี่รู้สึกตกใจมาก
“ลุงหลี่ถ้าพี่ชายของข้าให้ท่าน ท่านก็รับไว้เถิด พี่ชายข้าเป็นคนดีอย่าได้ปฏิเสธความมีน้ำใจของเขาเลย” เมื่อถังหลี่พูดแบบนั้น ลุงหลี่จึงรับเสื้อคลุมมา
“คนดีหรือ?” ไป๋มู่หยางมองนางด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“ใช่สิ! พี่ใหญ่ของข้าทั้งหน้าตาหล่อเหลา สง่างาม อีกทั้งเป็นคนถ่อมตนอีกด้วย!”
คำพูดของหญิงสาวเต็มไปด้วยความจริงใจ ภายในใจของนางนั้นไป๋มู่หยางเป็นเช่นนี้ตลอดมา
เขากระตุกมุมปากแล้วคลี่ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
รถม้าวิ่งไปตามถนนจนถึงประตูเมืองฉินโจว
เมืองฉินโจวและเมืองเหยาสุ่ยมีความแตกต่างกันอย่างมาก ที่เมืองเหยาสุ่ยเมื่อฟ้ามืดร้านรวงต่าง ๆ จะปิด บนถนนเหลือเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้น ในขณะที่เมืองฉินโจวยังดูมีชีวิตชีวา ทุกครัวเรือนมีแสงไฟส่องสว่าง ประตูร้านค้าต่าง ๆ เปิดต้อนรับลูกค้า ตามถนนก็มีผู้คนขวักไขว่
รถม้าของพวกเขาแล่นไปหยุดที่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีชื่อว่า ‘เสี่ยวหยวนชุนเซ่อ’ มีเถ้าแก่เนี้ยนามว่าแม่นางฮวา นางค่อนข้างสนิทสนมกับไป๋มู่หยางเป็นอย่างดี
“เถ้าแก่เนี้ยฮวา ขอห้องพักสี่ห้อง” ไป๋มู่หยางพูดกับแม่นางฮวา
“ได้เลย”
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์กำลังจะพาพวกเขาขึ้นไปบนห้อง แต่แม่นางฮวาเดินเข้ามาทักทายก่อน
“ข้าจะพาพวกท่านขึ้นไปที่ห้องเอง”
แม่นางฮวาพาทั้งสี่คนขึ้นไปยังห้องพัก ซึ่งเป็นห้องนอนสี่ห้องเรียงกัน ระหว่างทางเถ้าแก่เนี้ยฮวาลอบมองมาทางถังหลี่หลายครั้ง จนหญิงสาวรู้สึกแปลกใจ แต่สายตาที่จับจ้องก็ไม่ได้ส่อเจตนาร้าย ถังหลี่จึงส่งยิ้มให้นาง
ถังหลี่เดินเข้าไปในห้องนอนของตน เถ้าแก่เนี้ยเดินตามนางเอนตัวพิงกับประตูห้องถังหลี่ ถังหลี่คิดว่านางเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มาก
“เถ้าแก่เนี้ยฮวา..”
“แม่นางน้อย เรียกข้าว่าพี่ฮวาก็ได้” ฮวาเหนียงจื่อพูดด้วยรอยยิ้ม
“พี่ฮวา…”
“เจ้าน่ารักมาก มาคุยกันเถอะ” เถ้าแก่เนี้ยฮวาพูดก่อนจะเดินเข้ามาในห้องและปิดประตู
ถังหลี่ : ….
ถังหลี่ทำตัวไม่ถูก แต่คิดว่าหญิงสาวผู้นี้น่าสนใจ
“แม่นางน้อย..” เถ้าแก่เนี้ยฮวาเดินเข้าหาถังหลี่
“ข้าชื่อว่าถังหลี่” ถังหลี่กล่าว
“เสี่ยวถังถัง บอกพี่สาวคนนี้ได้ไหมว่าเจ้ามีความสัมพันธ์เช่นไรกับนายท่านไป๋?”
ดวงตาของแม่นางฮวาส่องประกายระยิบระยับอย่างอยากรู้อยากเห็น
“เขาเป็นพี่ชายใหญ่ของข้า” ถังหลี่กล่าว
“พี่ใหญ่หรือ? แล้วเจ้ารู้จักสตรีที่พี่ใหญ่ของเจ้าชอบพอหรือไม่?” ฮวาเหนียงจื่อถาม
“พี่ใหญ่ชอบใครหรือ?” ถังหลี่รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยิน
“ใช่แล้ว เขาบอกว่านางเป็นสาวงามอีกทั้งมีความมั่นใจมาก” ฮวาเหนียงจื่อพูดกับถังหลี่
ย้อนกลับไปในตอนที่ไป๋มู่หยางมาที่โรงเตี๊ยมของนางครั้งแรก ฮวาเหนียงจื่อเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว นางไล่ตามชายหนุ่มอย่างบ้าคลั่ง แต่เขาปฏิเสธนาง พูดแต่เพียงว่าตัวเองมีคนที่ชอบพออยู่แล้ว
ในยามที่ไป๋มู่หยางพูดถึงสตรีผู้นั้น ท่าทางของเขาดูอ่อนโยน ดวงตาเป็นประกายระยับ เห็นได้ชัดว่าเขาชอบนางมากเพียงใด
ฮวาเหนียงจื่อจึงเชื่อคำพูดเขาอย่างไม่มีข้อสงสัย
นางอิจฉาสตรีผู้ที่สามารถทำให้ไป๋มู่หยางหลงรักได้
ฮวาเหนียงจื่อสงสัยใคร่รู้มาตลอดว่าสตรีแบบไหนที่ไป๋มู่หยางถูกใจ น่าเสียดายที่ตลอดเวลาที่ผ่านมานางไม่พบเบาะแสใด ๆ เลย
แต่คราวนี้ข้างกายของไป๋มู่หยางมีสตรีอยู่เคียงข้าง ฮวาเหนียงจื่อไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป เดิมที่นางคิดว่าถังหลี่คือคนที่ไป๋มู่หยางหลงรักอย่างแน่นอน แต่ไม่คาดคิดว่าถังหลี่เป็นเพียงน้องสาวของเขา
ถังหลี่ไม่ค่อยรู้เรื่องชีวิตส่วนตัวของพี่ชายมากนัก นางจึงส่ายหัวปฏิเสธ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะไม่ได้อยู่ในเมืองเหยาสุ่ย แต่เป็นซ่างจิงก็เป็นได้ ถังหลี่เองก็หน้าบางเกินกว่าที่ไปจะถามเขา หากเป็นยามปกตินางก็อยากรู้เรื่องนี้เช่นกัน แต่ว่าตอนนี้เมื่อมีเรื่องของจูเฉิงรบกวนจิตใจอยู่ ทำให้ไม่มีเวลาจะไปสนใจเรื่องอื่น
เมื่อเห็นว่าฮวาเหนียงจื่อยังไม่ยอมออกจากห้อง ถังหลี่จึงเอ่ยปากถามเกี่ยวกับเมืองฉินโจว
“ไม่นานมานี้ มีชายหนุ่มแข็งแรงมากมายถูกเกณฑ์เข้ากองทัพจากทุกหนแห่ง แต่เมื่อการคัดเลือกจบลงข้าก็ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
ฮวาเหนียงจื่อพูดขึ้น นางเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
“ตอนเหนือของเมืองฉินโจวเป็นชายแดนที่ติดกับเผ่าซยงหนู ข้าไม่รู้ว่าเผ่าซยงหนูมีการเคลื่อนไหวหรือไม่? แต่อย่าได้ไปยุ่งกับพวกนั้นเลยจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากสำหรับพวกเราชาวเมืองฉินโจว”
“แต่เมื่อไม่นานมานี้มีแม่ทัพคนหนึ่งมาที่เมือง แล้วเริ่มเกณฑ์คนหนุ่มไป…ข้าไม่รู้หรอกว่าแม่ทัพคนใดหน้าตาเป็นเช่นไร เรื่องนี้ข้าฟังจากคนข้างบ้านมาอีกที”
ถังหลี่เริ่มถอดใจกับการหาคำตอบ นางเดาว่าฮวาเหนียงจื่อไม่รู้เรื่องนี้แน่นอน จึงปล่อยนางกลับไป
เมื่อเถ้าแก่เนี้ยฮวาออกจากห้องนอนถังหลี่ นางก็รู้สึกผิดปกติ นี่นางไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาหาข่าวของไป๋มู่หยางหรอกหรือ? เหตุใดกลายเป็นนางที่ตอบคำถามของน้องสาวถังไปได้?
ถังหลี่รู้สึกเหนื่อยจากการเดินทาง หลังจากพักชั่วครู่ นางก็ขึ้นเตียงและนอนหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น
ถังหลี่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่ด้านนอก เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าท้องฟ้าสดใส ถังหลี่จึงไม่ได้นอนต่อ นางรีบลุกขึ้นแต่งตัว ขอให้บ่าวรับใช้นำน้ำร้อนมาเพื่ออาบน้ำ หลังจากเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว นางจึงเดินลงไปข้างล่าง
ที่ชั้นล่าง ไป๋มู่หยาง ลุงหลี่ และองค์รักษ์ชุดดำของไป๋มู่หยางเเต่งตัวเรียบร้อยรออยู่แล้ว
“ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ” ไป๋มู่หยางพูด
ทั้งสี่คนกินอาหารง่าย ๆ ที่ร้านอาหารข้างโรงเตี๊ยม ระหว่างที่กินไป๋มู่หยางจึงพูดขึ้นว่า
“พวกเราเดินทางมาจนสุดชายแดนแล้ว ตลอดทางที่ผ่านมาไม่มีการเกณฑ์ทหารใด ๆ ซึ่งหมายความว่าคนที่โดนเกณฑ์มาทั้งหมดนั้น มีไว้สำหรับป้องกันชายแดนของเมืองฉินโจว ข้าพอรู้จักเจ้าเมืองฉินโจวอยู่บ้าง ข้าจะลองไปถามเขาดู”
ถังหลี่พยักหน้ารับ ไม่คิดเลยว่าไป๋มู่หยางจะลอบสังเกตทุกอย่างเงียบ ๆ ถ้าเป็นดั่งเช่นพี่ชายของนางพูดล่ะก็ มันไม่ใช่เรื่องดีแน่!
…………….