บทที่ 182 เรื่องราวชีวิตของเอ้อร์เป่า
ตอนที่ถังหลี่เข้ามาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ เด็กทั้งสามคนอย่าง ต้าเป่า เอ้อร์เป่า ซานเป่า ก็เป็นบุตรบุญธรรมของเว่ยฉิงแล้ว ถังหลี่จึงไม่รู้ภูมิหลังของเด็ก ๆ ทั้งสามคน
“พวกท่านหมายความว่าอย่างไร?” เว่ยฉิงขมวดคิ้ว
ฟางเจี๋ยยังคงนิ่งเงียบ ส่วนนางถังภรรยาของเขานั้นดูขี้อายมาก นางขยับเข้าไปใกล้สามีก่อนจะผลักเขาเบา ๆ ให้อีกฝ่ายเปิดปากตอบ
“พวกข้ามีบุตรคนหนึ่งแต่เขาหายไปตอนอายุได้สี่ขวบ พวกเราตามหาเขามาหลายปี ต่อมามีคนแจ้งเบาะแสว่าพบเขาที่ชิงเหอ พวกเราตามหาไปทั่วเขตชิงเหอจนมาหยุดที่เมืองเหยาสุ่ย เอ้อร์เป่า…เป็นเด็กที่อายุใกล้เคียงและหน้าตาคล้ายบุตรของพวกข้ามาก ดังนั้นข้าจึงมาไต่ถามพวกท่านดู นอกจากนี้ พวกท่านทั้งสองยังดูอายุน้อย..
สามีภรรยาคู่นี้อายุราวสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถมีบุตรตั้งแต่อายุสิบขวบได้ ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากว่าเอ้อร์เป่าไม่ใช่บุตรของพวกเขา ฟางเจี๋ยและนางถังเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเอง เพราะพวกเขาแน่ใจว่าบุตรที่หายไปคือเอ้อร์เป่า
ร่างกายของถังหลี่เย็นยะเยือก
เอ้อร์เป่าเป็นเด็กที่เว่ยฉิงเก็บมาเลี้ยงอย่างไม่ต้องสงสัย
หากพ่อแม่ที่แท้จริงของเขามาหาถึงหน้าประตู และพาเขากลับไป….
ถังหลี่และเว่ยฉิงไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ
ถังหลี่อยู่กับเอ้อร์เป่ามาปีกว่าแล้ว เด็กคนนี้มีความประพฤติดี มีสัมมาคาระ และเฉลียวฉลาด หญิงสาวถือว่าเอ้อร์เป่าเป็นบุตรของนางมานานแล้ว เมื่อคิดว่าเด็กชายต้องจากไป ทำให้ถังหลี่รู้สึกเศร้าและไม่สบายใจมากขึ้น จนนางไม่อยากพูดอะไรต่อไปอีก
“เด็กคนนี้เป็นบุตรบุญธรรมของข้า” เว่ยฉิงกล่าว
ดวงตาของฟางเจี๋ยและนางถังเปล่งประกาย
“แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นลูกของพวกท่าน ลูกของพวกท่านมีลักษณะพิเศษใดหรือไม่?” เว่ยฉิงถาม
“เหยียนเอ๋อร์มีปานที่เอว เป็นปานแดงขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือข้า” นางถังกล่าว
ปานแดง…
ถังหลี่ช่วยเอ้อร์เป่าอาบน้ำ ดังนั้นนางรู้ว่าเขามีปานแดงที่เอว ถังหลี่นิ่งเงียบ ตอนนี้นางเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าความรู้สึกของพ่อแม่บุญธรรมที่ตั้งใจเลี้ยงดูบุตร แล้ววันหนึ่งพ่อแม่ที่แท้จริงมาถึงบ้านเป็นเช่นไร?
“มีอะไรอีกไหม?” เว่ยฉิงถาม
“เหยียนเอ๋อร์มีไฝที่ไหล่ขวาของเขา” นางถังพูดอีกครั้ง
เว่ยฉิงไม่พูดอะไรต่อทำให้ฟางเจี๋ยและนางถังมีความสุขมาก
“เด็กคนนั้นคือเหยียนเอ๋อร์จริง ๆ หรือ?”
“เหยียนเอ๋อร์! เหยียนเอ๋อร์ของข้า!”
นางถังรีบวิ่งออกจากห้องรับรองตรงไปที่เอ้อร์เป่าและกอดเขาไว้ในอ้อมแขน เด็กชายที่ถูกกอดไว้แน่นรู้สึกจึงกลิ่นบางอย่างที่พุ่งมายังจมูกของเขา ด้วยความรู้สึกบางอย่างเขารู้สึกว่าตัวเองเกลียดกลิ่นนี้มาก เด็กชายพยายามที่จะออกจากอ้อมกอดของนาง
“เหยียนเอ๋อร์ นี่แม่เอง! เจ้าลืมแม่ไปแล้วหรือ!” นางถังร้องไห้
เอ้อร์เป่ายังคงดิ้นรนอย่างหนัก นางถังทำได้เพียงปล่อยเขาไปเท่านั้น เมื่อเด็กชายเป็นอิสระเขาวิ่งไปหาถังหลี่พร้อมกับกอดแขนข้างหนึ่งของนางไว้แน่น แม้จะไม่พูดอะไรแต่เด็กชายก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าสตรีผู้นี้คือมารดาของเขา ทำให้นางถังยิ่งร้องไห้หนักขึ้น
ฟางเจี๋ยรีบเข้าไปหาภรรยาและปลอบโยนนางทันที
ถังหลี่รู้สึกอารมณ์เสียและหงุดหงิดกับเสียงร้องไห้ นางจับเอ้อร์เป่าไว้แน่น ในที่สุดนางถังก็หยุดร้องไห้ นางยืนข้าง ๆสามีอย่างเชื่อฟังแต่สายตาก็ยังคงจับจ้องไปที่เด็กชาย
“ขออภัยด้วย พวกเราตามหาเหยียนเอ๋อร์มาหลายปี ทำให้ภรรยาของข้าสติไม่อยู่กับตัว นางจึงได้เสียกิริยากับพวกท่าน ได้โปรดยกโทษให้พวกข้าด้วยเถิด” ฟางเจี๋ยกล่าว
ถังหลี่ถอนหายใจ
ถังหลี่รู้ว่านางไม่สามารถตำหนิหญิงคนนี้ได้
นางรู้ว่ามันยากเพียงใดสำหรับพ่อแม่ที่เสียลูกไป
แม้ว่าฟางเจี๋ยจะต้องการพูดคุยกับบุตรชายมากเพียงใด แต่เขารู้ดีว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อครอบครัวสกุลเว่ยมาก เหยียนเอ๋อร์บุตรชายของเขา ทั้งอ่อนโยนและสะอาดสะอ้าน เห็นได้ชัดว่าเขาถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ครอบครัวนี้รักใคร่เขามาก
ฟางเจี๋ยรู้ดีว่าต้องให้เวลาพวกเขา…เขาจึงพาภรรยากลับไป ทั้งสองไปพักที่โรงเตี๊ยมในเมืองเหยาสุ่ย
ตอนนี้บ้านสกุลเว่ยมีบรรยากาศที่เคร่งเครียด
ถังหลี่ได้วางแผนสำหรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงแล้ว แต่เมื่อเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น หากเป็นคนไม่ดีก็สามารถจัดการได้ตรง ๆ แต่นั่นคือบิดามารดาผู้ให้กำเนิด เมื่อพวกเขาสูญเสียก็ต้องเสียใจมากเช่นกัน ไม่มีใครผิดหรือถูก จึงเป็นเรื่องยากที่จะจัดการ
เมื่อรับประทานมื้อเย็นทั้งถังหลี่และเว่ยฉิงต่างก็คีบอาหารลงไปในชามเอ้อร์เป่า เด็กชายรู้สึกหดหู่มากในขณะที่กำลังกินข้าว ตั้งแต่ที่ชายหญิงสองคนนั้นมา พ่อแม่ของเขาก็อารมณ์ไม่ดี แต่ก็พยายามรักษาท่าที
เด็กชายเงยหน้าขึ้น
“ท่านพ่อท่านแม่…ตั้งแต่ที่ข้าจำได้ พวกท่านคือบิดามารดาของข้า มีพี่ชายคนโต และมีน้องสาวคนหนึ่ง พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน หากข้าไม่ไปพวกท่านก็อย่าขับไล่ข้าไปเลย”
ตั้งแต่เอ้อร์เป่าจำความได้ ท่านพ่อเป็นคนเลี้ยงดูเขามา เขาไปล่าสัตว์ทุกวันเพื่อให้มีเงินซื้อเสื้อผ้าที่อบอุ่นและให้พวกเขาอิ่มท้อง แม้ว่าพี่ชายและน้องสาวของเขาจะไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นเหนียวแน่นกว่าพี่น้องร่วมสายเลือดเสียอีก
เขารักครอบครัวนี้ และจะไม่ยอมไปจากที่นี่อย่างเด็ดขาด!
“เอ้อร์เป่า พ่อกับแม่เคารพการตัดสินใจของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจอย่างไร พ่อแม่ก็จะสนับสนุนเจ้า” เว่ยฉิงกล่าว
พ่อของเขาเป็นคนรักษาสัญญาเสมอ และด้วยคำพูดนี้ก็ทำให้เอ้อร์เป่ารู้สึกสบายใจมากขึ้น
ในตอนกลางคืนซานเป่าเดินกอดหมอนมาเคาะประตูของเอ้อร์เป่า
“พี่รอง ข้าขอนอนด้วยได้ไหม?” ซานเป่าถามอย่างกังวล
เอ้อร์เป่าหลีกทางให้เด็กหญิงเข้ามาในห้อง สองพี่น้องยังคงไม่นอนพวกเขามุดตัวอยู่ในผ้าห่มและพูดคุยกัน
“พี่รอง จะไปไหม?”
“ไม่หรอก ข้าคุยกับท่านพ่อท่านแม่แล้ว”
“จริงหรือ?”
“จริงสิ!”
ถังหลี่และเว่ยฉิงที่อยู่อีกด้านของกำแพงก็ยังคงไม่หลับเช่นกัน พวกเขากำลังพูดคุยเรื่องเอ้อร์เป่า
“สามี เจ้าพบกับเอ้อร์เป่าครั้งแรกเมื่อใดหรือ?” ถังหลี่ถาม
เว่ยฉิงจมดิ่งลงไปในห้วงความทรงจำของเขา
“ที่เมืองเหยาสุ่ย เขาอาศัยอยู่กับขอทานกลุ่มหนึ่ง มีคนเห็นและสงสารเลยโยนซาลาเปาให้เขา พวกขอทานคนอื่นรีบเข้ามาแย่งเอาซาลาเปาของเขาไป เขาดูหิวโหยผอมจนตาแทบจะโปนออกมา ข้าอดสงสารไม่ได้จึงซื้อซาลาเปาให้เขา”
“เด็กคนนั้นกินไปเพียงครึ่งเดียว ซ่อนอีกครึ่งลูกไว้ในแขนเสื้อ เขาถามว่าให้ข้าพาไปส่งบ้านได้หรือไม่? ข้าตกลงเลยพาเขาไป บ้านเขาเป็นกระท่อมร้างซอมซ่อมีคนป่วยนอนอยู่ในนั้น เป็นหญิงชราผู้หนึ่ง เอ้อร์เป่าเอาซาลาเปาอีกครึ่งมอบให้แก่นาง”
“เขาเรียกหญิงคนนั้นว่า “ท่านยาย” แต่จริง ๆ แล้ว นางไม่ใช่ยายของเอ้อร์เป่า นางเป็นคนไปเจอเขา ในตอนที่พบเขา ร่างกายเขามีแต่บาดแผลสภาพปางตาย พวกค้าทาสคิดว่าเขาตายไปแล้ว จึงโยนเขาทิ้ง พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกันสองคน หลังจากนั้นทุกครั้งที่ข้าไปที่เมืองก็จะซื้ออะไรไปมอบให้ วันหนึ่งเมื่อข้าไปหาปรากฏว่ายายเขาก็เสียชีวิตแล้ว เขานั่งเฝ้าอยู่ข้างศพ ข้าจึงช่วยฝังให้ เอ้อร์เป่าได้แต่คุกเข่าร้องไห้ ข้าจึงพาเขามาเพราะถ้าไม่พากลับมา เขาคงจะอดตาย”
“ตอนนั้นข้าเลี้ยงดูต้าเป่าแล้ว อยากเลี้ยงเด็กไว้อีกสักคนหรือสองคน ข้าจึงพาเข้ากลับบ้านเรียกเขาว่าเอ้อร์เป่า”
เอ้อร์เป่าน่าสงสาร เขาถูกพวกค้าทาสลักพาตัวมาขาย หลังจากเกิดเรื่องมากมาย เขาก็หาเลี้ยงชีพด้วยการขอทานตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเด็กชายต้องทนทุกข์มากแค่ไหน
โชคดีที่เขาได้พบกับเว่ยฉิง เว่ยฉิงกับต้าเป่าก็รักเขา เอ้อร์เป่าจึงเติบโตมาอย่างดี