บทที่ 187 กลับสู่ตระกูลฟาง
ในช่วงกลางดึกคืนนั้น เว่ยฉิงตัดสินใจตามไปกับเอ้อร์เป่า ถังหลี่รีบเข้าไปเก็บเสื้อผ้าสองสามชุดให้ลูกชายพร้อมทั้งเอาขนมที่เขาชอบยัดใส่ลงไปในกระเป๋าพร้อมกับส่งให้เว่ยฉิง
“สามี เดินทางระวังตัวด้วย ให้เอ้อร์เป่าใส่เสื้อผ้าหลายชั้นหน่อยจะได้ไม่เป็นหวัด
เว่ยฉิงจูบนางที่แก้ม “เข้าใจแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวล”
หลังจากพูดจบเขาก็จูงมือเอ้อร์เป่าออกไป “พี่รอง!” ซานเป่าตะโกนเรียก เอ้อร์เป่าหยุดหันไปมองนาง
ซานเป่าวิ่งซอยเท้าสั้น ๆ มาหาพี่ชาย ในมือมีสร้อยทำจากเชือกสีแดง
“ให้พี่!” สร้อยข้อมือดูน่าเกลียด แต่เอ้อร์เป่ากลับรับไว้อย่างยินดี เขารู้ดีว่านางตั้งใจทำให้เขา
เด็กชายเอามือลูบหัวน้องสาว เม้มปากหันไปหาเว่ยฉิง
ถังหลี่จับมือซานเป่าเดินไปที่ประตู เฝ้ามองเว่ยฉิงอุ้มเอ้อร์เป่าเข้าไปในรถม้า นายท่านฟางก็ขึ้นรถม้าไปด้วย คืนนั้นรถม้าขับหายไปในความมืด
บนรถม้าคันนั้น เอ้อร์เป่ายกผ้าม่านขึ้น เขามองไม่เห็นร่างของมารดาและน้องสาวอีกต่อไป แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะยืดหัวหันไปมอง จนกระทั่งเว่ยฉิงกอดเขา เด็กน้อยถึงได้ฝังหัวเล็ก ๆ ไว้ในอ้อมกอดของเว่ยฉิงอย่างไว้เนื้อเชื่อใจ
เมื่อฟางเจี๋ยเห็นฉากนี้ เขารู้สึกอึดอัดไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เมื่อรถม้าวิ่งไป เว่ยฉิงก็กอดลูกชายไว้ในอย่างแน่นหนา เด็กตัวน้อยก็หลับไหลไปในในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขาแบบนั้น
“เว่ยฉิง…ท่านเมื่อยมือหรือไม่?” ฟางเจี๋ยกระซิบถาม
เว่ยฉิงไม่เมื่อย หากเมื่อคิดดูแล้วเขาก็ส่งเอ้อร์เป่าให้ฟางเจี๋ย
นายท่านฟางเป็นพ่อค้า ร่างกายเขาย่อมไม่แข็งแรงทนทานเท่าเว่ยฉิง เขาอุ้มเอ้อร์เป่าอยู่แค่ครึ่งชั่วยามก็เมื่อยมือเสียแล้ว หลังจากทนกัดฟันอยู่ได้สักพักก็มือชา เว่ยฉิงจึงกลับมาอุ้มลูกชายอีกครั้ง
ในตอนนั้นเริ่มสว่างแล้ว เอ้อร์เป่าตื่นมาขยี้ตางัวเงียเมื่อพบว่าตนเองนอนอยู่ในอ้อมกอดของบิดาเขาก็หน้าแดง
เด็กน้อยผละตัวออกจากอ้อมแขนของเว่ยฉิงแล้วนั่งข้าง ๆ เขา พร้อมกับจับมือเว่ยฉิงเอาไว้
“เว่ยฉิง…ท่านนอนเถิด” ฟางเจี๋ยพูดกับเขา
“ท่านพ่อนอนเถอะขอรับ ข้าไม่นอนแล้ว ข้าจะเรียกท่านหากต้องการอะไร?” เอ้อร์เป่าพูดกับเขา เว่ยฉิงถึงได้หลับตาลงพักผ่อน เขากอดอกหลับตา แม้ในยามหลับหลังเขาก็ยังเหยียดตรง
เอ้อร์เป่านั่งข้างเขาอย่างว่าง่าย
ฟางเจี๋ยอยากพูดกับเอ้อร์เป่าสักสองสามคำ แต่เด็กชายกลับหันมาขู่เขาเพราะกลัวบิดาตื่น นายท่านฟางได้แต่กลืนสิ่งที่เขาอยากจะพูดลงท้องไป
เด็กคนนี้เป็นเด็กกตัญญู เพียงแต่ความกตัญญูนั้นไม่ใช่สำหรับเขาเท่านั้นเอง
ยามเที่ยงวัน รถม้าก็ถึงประตูเมืองฉินโจว
ครั้งนี้เป็นครั้งสองแล้วที่เว่ยฉิงมายังเมืองฉินโจวแห่งนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเขา เพียงแต่เอ้อร์เป่าที่ไม่เคยไปไหนไกลขนาดนี้รู้สึกตื่นเต้นคึกคักขึ้นมา เขาเปิดม่านหน้าต่างออก เอาคางเกยมองไปที่ถนนด้านนอกอย่างอย่างตื่นตาตื่นใจ
ทันใดนั้นเด็กชายเห็นบางสิ่งบางอย่างบนท้องถนน เขาอุทานออกมาอย่าแปลกใจ
“ท่านพ่อ! ดู!”
เว่ยฉิงหันไปมองที่สะพานมีโคมไฟแขวนอยู่มากมาย เอ้อร์เป่าไม่เคยเห็นสะพานที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย
“ตอนกลางคืน โคมเหล่านี้จะถูกจุดขึ้นมา พวกมันสวยงามมีสีสันน่าดู เมืองฉินโจวนี้เจริญมาก มีที่ท่องเที่ยวสวยงามมากมาย ต่อไปเจ้าจะได้เห็นเอง”
เอ่อร์เป่าไม่ตอบหากพูดเบา ๆ ว่า
“ข้าอยากพาท่านแม่กับน้องสาวมาดูด้วย” น่าเสียดายที่คนทั้งคู่จะไม่ได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้
ฟางเจี๋ยแสดงอาการหดหู่ขึ้นมา
รถม้าแล่นผ่านตลาดในเมืองฉินโจว ที่นี่ดูมีชีวิตชีวามากกว่าเมืองเหยาสุ่ยที่เขาอยู่หลายเท่านัก ถนนกว้างมีร้านค้าเรียงรายสองข้างทาง ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาบนท้องถนน ใส่เสื้อผ้าสวยงามกว่าในเมืองเหยาสุ่ยหลายเท่านัก
เอ้อร์เป่ามองตลาดที่พลุกพล่านเต็มไปด้วยผู้คน เขาพยายามจำสิ่งละอันพันละน้อยเพื่อไปเล่าให้มารดาและน้องสาวฟัง รถม้าแล่นผ่านไปจนหยุดหน้าจวนหลังงามแห่งหนึ่ง
“นายท่านกลับมาแล้ว!” ผู้คนพากันทักทายเขา
“เหยียนเอ๋อร์ พวกเราถึงบ้านแล้ว!”
เอ้อเป่าร์จับมือเว่ยฉิงไว้แน่น แหงนหน้าขึ้นมองจวนใหญ่โตแห่งนั้น มันดูงดงาม ทว่าให้ความรู้สึกแปลกแยกไม่เหมือนบ้านเอาเสียเลย
“เว่ยฉิง…ข้าจะพาเหยียนเอ๋อร์ไปหาบิดาของข้าก่อน ท่านเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมากแล้วไปพักผ่อนที่ห้องรับรองก่อนเถิด
เว่ยฉิงพยักหน้า
เอ้อร์เป่าถูกฟางเจี๋ยพาตัวไปในขณะที่เว่ยฉิงมีคนพาไปนอนที่ห้องรับรองแขก เมื่อเขานอนพักผ่อนอยู่บนตียง ชายหนุ่มเอาผ้าห่มคลุมหัวไว้ เขาง่วงนอนหากแต่นอนไม่หลับ คิดถึงแต่ว่าเอ้อร์เป่าจะกลัวหรือไม่?
…………………
ที่เรือนหลักของตระกูลฟาง
ชายชรารูปร่างซูบผอมนอนอยู่บนเตียง อาศัยโสมเป็นที่ยึดเหนี่ยวลมหายใจสุดท้ายเอาไว้
“เหยียน…เอ๋อร์…” น้ำเสียงแหบเครือสำลักอยู่ในลำคอ ผู้ชายที่อยู่ข้างเตียงคือฟางจวิ่น เป็นนายน้อยรองของตระกูลฟาง
“ท่านพ่อ ท่านรอหน่อยเถิด พี่ใหญ่ไปรับเหยียนเอ๋อร์แล้ว”
ฟางจวิ่นเดินไปมาหน้าเตียงอย่างใจจดใจจ่อ
เหตุใดป่านนี้ยังมาไม่ถึงอีกนะ?
ตั้งแต่เหยียนเอ๋อร์หายไป ท่านผู้เฒ่าฟางก็ล้มป่วยเขาพูดเพ้อหาแต่หลานชายทุกวัน จนกลายเป็นคนสติไม่ค่อยดี เจอใครก็เอาแต่ถามหาหลานชาย …พอฟางจวิ่นเดินไปที่ประตูก็มีแต่เสียงผู้คนในตระกูลที่พากันร่ำไห้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
เขาขมวดคิ้วมองอย่างเย็นชา ผู้คนในตระกูลล้วนพากันเกรงใจเขาจึงไม่กล้าส่งเสียงดังมากนัก
ฟางจวิ่นเดินไปที่ประตูอีกครั้ง ก่อนพูดกับบ่าวรับใช้ว่า
“ไปดูที่ลานด้านนอกหน่อยเถิด พี่ใหญ่กลับมาหรือยัง?”
คนรับใช้รับคำก่อนที่จะเดินไป ฟางจวิ่นยืนรออย่างกระวนกระวายที่ประตูสักพัก จากนั้นจึงเห็นร่าง ๆ หนึ่งที่กำลังเดินอย่างรีบร้อนเข้ามา เขามีความสุขขึ้นมาทันที
ฟางเจี๋ยพาเด็กมาแล้ว ฟางจวิ่นมองเด็กคร่าว ๆ เห็นว่าเป็นเด็กโตมากแล้ว ต่อให้อยากเข้าไปกอดหรือซักถามอะไร ก็คงไม่ใช่เวลาที่ดีมากนัก เขาจึงรีบรุดพาพี่ชายเดินเข้าไปในห้องทันที
ในห้องมีแต่กลิ่นยาอบอวล เอ้อร์เป่าถูกพาเข้าไปยังห้องที่ด้านใน เห็นชายชราผอมซูบนัยน์ตาขุ่นมัวนอนนิ่งอยู่บนเตียง ท่าทางราวกับหาชีวิตไม่แล้ว
“ท่านพ่อ ข้าพาเหยียนเอ๋อร์มาแล้ว” ฟางเจี๋ยพูดกับบิดาเบา ๆ
“เหยียน…เอ๋อร์…” พอได้ยินชื่อ ชายชราก็หันหน้ามาทันที เชายื่นมือผอมแห้งออกมาที่เอ้อร์เป่า
เอ้อร์เป่าเดินมาจับมือเขาเอาไว้
“เหยียน…เอ๋อร์…เป็นเจ้าจริง ๆ” น้ำตาของชายชราไหลออกมาทันที
เอ้อร์เป่าร์ยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงอย่างสำรวม เขามองไปที่ชายชรา ทันใดนั้นก็รู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย
เอ้อร์เป่าที่ไม่ต้องการเรียกนายท่านฟางว่าบิดาหรือนางถังว่ามารดา หากกลับหลุดปากเรียกนายท่านผู้เฒ่าฟางออกมาอย่างคุ้นเคยว่า
“ท่านปู่!” นายผู้เฒ่าฟางน้ำตาไหลมากยิ่งขึ้น
ทันทีที่เอ้อร์เป่ามาถึงสภาพจิตใจชองนายผู้เฒ่าก็ดีขึ้น เขายกชามยาขึ้นดื่ม
ผู้ที่เฝ้าอยู่นอกห้องล้วนเป็นทั้งผู้อาวุโสและเด็ก ๆ ในตระกูลฟาง พวกเขาพากันร่ำไห้คร่ำครวญ เมื่อเห็นนายผู้เฒ่าอาการดีขึ้นแล้ว ฟางเจี๋ยจึงได้บอกให้พวกเขาไปพักผ่อนก่อน ทุกคนพากันพยักหน้าอย่างสุภาพก่อนจะเดินกลับไป
เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ผู้อาวุโสในตระกูลต่างพากันรวมตัวพูดคุยเสียงเบา ๆ
“นายท่าน หาเด็กคนนั้นเจอได้อย่างไรกัน?” แม้ว่านายท่านฟางจะไม่เก่งเท่านายท่านรองในทุก ๆ เรื่องก็ตาม แต่บุตรชายคนนี้ช่างเกิดมาได้จังหวะดีจริง ๆ นายผู้เฒ่ารักเขามากจริง ๆ”
“ใช่ นายผู้เฒ่าโปรดปรานเขาจริง ๆ วันนี้เขาร้องโอดครวญทั้งวัน แต่พอเห็นเด็กคนนั้นมากลับก็มีกำลังใจขึ้นมาทันที ตอนที่เด็กคนนั้นหายไป นายผู้เฒ่าเสียใจมากเก็บตัวอยู่ในห้องไม่กินไม่ดื่มอยู่ถึงสองวันเลยทีเดียว!”
“พอเด็กคนนั้นกลับมา นายผู้เฒ่าน่าจะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลให้นายท่านฟางเป็นแน่ “
“ใช่แล้ว ต่อให้บ้านรองร้องไห้แทบตายก็คงไม่ได้สมบัติหรอก! เพราะมีแต่ลูกผู้หญิง”